พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 566 เคราะห์ยังดี
เสียงฟ้าร้องเริ่มจางไป สายลมหยุดนิ่ง เม็ดฝนเริ่มซา
“เรารู้อยู่แล้วว่าผิงอ๋องไม่ได้ถูกฟ้าลงโทษ”
ไทเฮาเอ่ยขึ้น หลังจากที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
“ขอรับ ไทเฮา ในเหตุการณ์ มีคนยืนอยู่รอบๆ หุ่นไล่กาอยู่
ประมาณสามสี่คน แต่พอตอนฟ้าผ่า พวกเขาก็หมอบตัวลง แล้ว
ฟ้าก็ผ่าไปที่ตัวหุ่นไล่กา ข้าน้อยถึงได้รู้ว่า หากผู้ใดยืนสูงกว่า ผู้นั้นก็
จะถูกฟ้าผ่าได้ง่ายขอรับ” ขันทีเอ่ย “เรื่องขององค์ผิงอ๋องคงเป็น
อุบัติเหตุจริงๆ”
ไทเฮาฟังพลางปาดน้ำตา
“เคราะห์ยังดี เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ แค่อุบัติเหตุเท่านั้น…”
ไทเฮาสะอื้น
จากนั้นก็หยุดคิด พลางนิ่งไปสักพัก
เคราะห์ดีงั้นรึ
นี่มันเรื่องดีที่ไหนกันล่ะ!หลานชายแท้ๆ ตายไปทั้งคน! ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีใด แต่ก็คือ
ตายแล้ว!
ไทเฮาร้องไห้
“เรื่องร้ายมาเยือนเร็วนัก”
เมื่อเห็นไทเฮาร้องห่มร้องไห้ เหล่าขันทีและนางสนมต่างก็รีบ
เข้ามาปลอบ
“ไทเฮา ระวังร่างกายด้วยเพคะ ต่อจากนี้ ไทเฮาจะต้องเป็น
ผู้ดูแลราชสำ นักแล้วนะเพคะ” เหล่านางสนมเองก็น้ำตาไหลพราก
ตามๆ กัน
บัดนี้ ฮ่องเต้กำลังป่วยหนัก งานหลวงเองก็หนักหน่วง ร้องไห้
แค่นี้มันจะไปพออะไร
พอนึกขึ้นได้เช่นนี้ ไทเฮาก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
“หลานชายผู้น่าสงสาร”
จู่ๆ มีขันทีนายหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ให้ข้าไปทูลฮองเฮาไหมพ่ะย่ะค่ะ” ขันที
ผู้นั้นก้มหน้าเอ่ยถามฮองเฮางั้นรึ…
พอได้ยินขันทีเอ่ยถึงฮองเฮา ไทเฮาก็หยุดร้อง
“ฮองเฮาอยู่ที่ใดกัน”
“ฮองเฮาคอยเฝ้าดูอาการฝ่าบาทอยู่ตลอดพ่ะย่ะค่ะ
ไม่ละสายตาเลย” ขันทีเอ่ยตอบ
ไทเฮาเอนตัวพลางครุ่นคิด พลันนึกถึงคำพูดที่เกาหลิงปอเคย
เอ่ยไว้ แล้วมือไม้ก็เริ่มกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ในวังแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เสียใจกับเรื่องของผิงอ๋อง
ใครที่จริงใจ เราต่างก็รู้ดี ส่วนคนที่ไม่จริงใจ ก็คงไม่ต้องเอ่ยถึงให้
มากความ” ไทเฮาเอ่ย
ตั้ง
แต่ที่ผิงอ๋องสิ้นพระชนม์ และฮ่องเต้ก็ล้มป่วยลง บรรยากาศ
ในวังเริ่มแย่ลง อีกทั้งยังมีคลื่นใต้น้ำที่รอวันจะได้ซัดสาดเข้ามาอย่าง
รุนแรง
ขันทีก้มหัวขานรับ จากนั้นจึงกลับไปยืนประจำ จุดดังเดิม
“กุ้ยเฟยเล่า” ไทเฮาเอ่ยถาม“กุ้ยเฟยยังเหมือนเดิมขอรับ พอได้กินยาแล้วนอนหลับก็
ไม่อาละวาดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยตอบ
ตั้ง
แต่ที่กุ้ยเฟยทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของผิงอ๋อง นางก็
กลายเป็นบ้าไปในทันที ทั้งร้องไห้ฟูมฟายทั้งอาละวาด แถมยังเอ่ย
วาจาที่คนฟังแล้วต้องตกใจออกมา ไทเฮาจึงจำ ใจให้คนคอยเอายา
ให้นางเพื่อที่นางจะได้สงบลง
พอนึกถึงช่วงเวลาที่กุ้ยเฟยที่เคยพูดคุยหยอกล้อด้วยกัน แล้ว
ตัดภาพมาตอนนี้ มันแค่ชั่วพริบตาเดียวจริงๆ
ช่างน่าขมขื่นยิ่งนัก
ไทเฮาทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“ไทเฉา ฮูหยินจากแคว้นฉีมาเยือนพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทูลข่าวให้
ไทเฮาทราบ
ฮูหยินจากแคว้นฉีผู้นี้ก็คือภรรยาของเกาหลิงปอ
เนื่องจากตำแหน่งของเกาหลิงปอยังไม่สูงพอที่จะเข้ามา
รับหน้าที่ในวังได้ จึงให้ฮูหยินของเขาออกหน้าไปก่อน แม้ว่าการที่
นางปรากฏตัวในครั้งนี้ออกจะดูเสียมารยาทไปบ้าง แต่เหล่าทหารที่เฝ้ายามอยู่ด้านหน้าก็รู้งานว่าเกาหลิงปอกับนางก็คือคนๆ เดียกัน
จะห้ามจะปามอะไรมากเกินก็คงมิได้
ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะหอบเรื่องอะไรมาอีก
ฮองเฮาคิด แค่จะร้องไห้ให้มันสาแก่ใจสักครั้งนึงก็ไม่ให้กันเลย
นะ!
ไทเฮาหยัดตัวนั่งตรงพลางเอากำปั้นทุบตีลงไปบนเตียงของ
ตนเอง
แล้วจะให้ทำเช่นไรได้อีกเล่า ในเมื่อลูกชายของตนมาป่วยเอา
อย่างนี้ นางมิอาจมองดูสิ่งที่ลูกชายตนสร้างมาพังลงต่อหน้าต่อตา
นางทำเช่นนั้นไม่ได้
“ไปเรียกให้เข้ามา” ไทเฮาเอ่ย
…
บานประตูตำหนักฮ่องเต้ถูกเปิดออก ปรากฏชายผู้หนึ่งรีบวิ่ง
เข้ามายังด้านใน
“ฮองเฮา ฮองเฮาขอรับ” ขันทีนายหนึ่งเอ่ยขึ้นฮองเฮาที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแท่นบรรทมของจักรพรรดิเมื่อได้ยิน
คนเรียกก็หันหน้าไปตามเสียง ย่นคิ้วลง จากนั้นก็ลุกไปยังด้านหน้า
ม่าน
ขันทีรีบย่องเข้าไปแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะเบา
ได้
“ฮองเฮา คนจากจินสุ่ยย่วนส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าแม่นางเฉิง
สามารถล่อสายฟ้ามาได้จริงๆ” ท่าทีของขันทีแลดูตื่นเต้นและชอบใจ
ฮองเฮาถอนหายใจ
“แล้วไป เคราะห์ยังดี” นางเอ่ย
คำว่าเคราะห์ยังดีของฮองเฮากับไทเฮานั้นแตกต่างกัน
โดยสิ้นเชิง
“ว่าแล้วว่าแม่นางเฉิงจะต้องไม่เป็นอะไร” นางเอ่ยต่อ
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ นางเป็นถึงหมอเทวดาเชียวนะขอรับ”
ขันทีเอ่ยชง
“ถ้านางเป็นหมอเทวดาจริงๆ ป่านนี้คงไม่ต้องมาทำเรื่องอะไร
เช่นนี้หรอก” ฮองเฮาส่ายหน้า ตาพลางมองไปยังด้านในผ้าม่านหลังผ้าม่านริ้วบางนั้น มีชายผู้หนึ่งนอนหลับอยู่บนแท่นบรรทม
อย่างสงบ
ตอนที่ชายผู้นั้นยังอยู่ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขามีประโยชน์
อะไร พอมาเห็นเขานอนลงอย่างนี้ เพิ่งจะรู้ถึงคุณค่าของการมีอยู่
ของเขา
อย่างน้อยยังมีเขาอยู่ นางเองจะได้รอวันตายอย่างสบายใจ
ตั้ง
แต่เมื่อไหร่กันนะ ที่นางเริ่มกลัวความตาย คงเป็นเพราะ
วันนั้นสินะ…
“ฮองเฮาขอรับ” เป็นเสียงของขันทีอีกนายที่พุ่งตัวเข้ามา สีหน้า
ของเขาแลดูตกใจ “ฮูหยินแคว้นฉีมาเยือนอีกแล้วขอรับ”
ฮองเฮาหันไปทางต้นเสียง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นางเอ่ยถาม
ขันทีก้าวเท้าไปด้านหน้า พลางกระซิบ
พอได้ฟัง ฮองเฮาสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็เผยอยิ้มออกมา เป็น
ยิ้มที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน
“คาดไม่ถึงเสียจริง” นางเอ่ย “สุดท้าย ก็ต้องเป็นเขา”…
ไม่ว่าด้านนอกนั้นจะพูดกันอย่างไร หรือแม้แต่คนในวังเองจะ
มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เวลานี้ ณ เรือนตระกูลเฉิงกลับดู
สงบเงียบ
“นี่คือแผ่นป้ายของนายใหญ่”
“ฮูหยินตระกูลข้าวานให้ข้ามาถามไถ่ถึงแม่นางเฉิงว่าเป็น
อย่างไรบ้าง”
มีบ่าวใช้สองคนเอาของขวัญมามอบให้ พลางฝากคำทักทาย
จากฮูหยินมาให้
“ช่วงเวลานี้อาจไม่สะดวกนักที่จะเข้าไปในเรือน แต่คนของ
พวกเราคอยส่งความเป็นห่วงในแม่นางอยู่เสมอนะขอรับ”
เหล่าสาวใช้ต่างพากันเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณอย่างสูงสำ หรับน้ำใจจากฮูหยินเฉินและนายใหญ่เฉิน
นะเจ้าคะ นายหญิงของเราปลอดภัยดี” สาวใช้เอ่ยบ่าวของเฉินเซ่ามิอาจอยู่นานขึงขอตัวลาก่อน เหล่าสาวใช้เอง
ก็ทราบดีว่าเวลาแบบนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ การที่พวกเขาส่งคน
มาเยี่ยมเยียนถามไถ่ถึงขนาดนี้ก็นับว่าไม่ง่ายเลย
เกรงว่าหลังจากนี้คงจะได้รับแต่สาส์นจากเฉินเซ่า
มาเต็มไปหมดนี่สิ
รถม้าของตระกูลเฉินออกตัวไปได้ครู่เดียว ก็มีชายหนุ่ม
กระโดดลงจากหลังม้า
“ท่านชายฉิน” เหล่าสาวใช้ต่างพากันตกใจ
ฉินหูก้าวเท้าไปด้านหน้า แล้วเอ่ยถาม
“ข้าขอพบนายหญิงของพวกเจ้าได้หรือไม่”
สาวใช้มองหน้าเขาตอบด้วยท่าทีเล่นทีจริง
“ท่านชายฉินไม่กลัวหรือเจ้าคะ ในเวลาแบบนี้” สาวใช้เอ่ยถาม
ฉินหูหัวเราะร่า
“ข้าก็แค่คนตัวเล็กๆ ไม่ใช่คนใหญ่คนโตมาจากไหน ไม่เห็น
มีอะไรต้องกลัว” ฉินหูหยุดฝีเท้า พลางเอ่ย “ฝากบอกให้นางรู้ด้วยว่า
ข้ามา”“บอกอะไรกันเจ้าสิบสาม จะมายืนเล่นตัวตรงนี้อยู่ไย”
เสียงดังมาจากด้านในประตู
พอฉินหูเงยหน้าขึ้น ก็ปรากฏท่านชายโจวฝูเดินออกมา
“ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ยังจะต้องมาพิธีรีตองอันใดอีก” โจวฝูเอ่ย
พลางขมวดคิ้ว
แต่ครั้งนี้ฉินหูไม่ได้มีอารมณ์ขันเหมือนอย่างเคย แต่
สีหน้าท่าทางของเขากลับดูหนักแน่น
“ข้ารู้ว่า ข้าจะได้พบนางหรือไม่” ฉินหูเอ่ย พลางมองไปด้านใน
‘ท่านชายฉิน’
ค่ำคืนอันเงียบสงัดในตอนนั้น เขาเห็นแววตาของหญิงสาวที่
สะท้อนทั้งความหวาดผวาแล้วก็ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจในคราว
เดียวกัน หรือตอนนั้นเขาจะมองผิดไป
‘นั่นเจ้าใช่ไหม’
พอเขาเอ่ยประโยคคำถามนั้นออกไป สีหน้าท่าทางของนางที่
พลันเปลี่ยนเป็นความนิ่งดูดาย ยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าเขาไม่ได้มองผิด
เขาเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นสีหน้าท่าทางแบบที่ไม่เคยเห็น
มาก่อน คาดไม่ถึงเลยว่าตอนนั้นเขาจะได้เห็นจริงๆ
สีหน้าของนางในตอนนั้นเขาจดจำ มันได้ดี ในหัวของเขาเอาแต่
ฉายภาพใบหน้าของนางซ้ำ แล้วซ้ำ แล้ว และทุกครั้งที่เขานึกถึงมันก็
มักจะรู้สึกราวกับมีคมมีดเข้ามาทิ่มแทงตรงกลางใจเขาอยู่ตลอด
ไม่สิ หรือเป็นเพราะคำพูดของเขาต่างหากที่คอยทิ่มแทงใจ
ของนาง
นางคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยคำพูดแบบนั้นออกมา ดูปฏิกิริยา
ของนางตอนนั้นสิ…
ฉินหูกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ” โจวฝูเอ่ยถามพลางคว้าแขนของเขา
“ข้าได้ยินจากปั้นฉินมาว่า วันนั้นเจ้ารอนางอยู่ที่หน้าวังหลวง เจ้า
พวกเจ้า…”
“ข้าสงสัยนางน่ะ” ฉินหูมองหน้าโจวฝูแล้วเอ่ยตอบ
โจวฝูเมื่อได้ยินเข้าก็นิ่งไปแวบหนึ่ง สักพักก็ทำท่าโล่งอก“เรื่องแค่นี้เอง” เขาเอ่ย “ไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียวหรอกที่สงสัย
นาง”
เขาเบะปากแล้วหันหน้าไปทางวัง พลางคิดในใจ ในนั้นมีคนอีก
เป็นเบือที่สงสัยนางเหมือนกัน หากให้หาคนที่ไม่คิดสงสัยนางเลย
น่าจะยากเสียกว่า
อีกทั้งตัวเขาเองและบิดาของเขา หรือแม้แต่ฟ่านเจียงหลินเอง
ก็อดคิดเช่นนั้นไม่ได้
“พวกเจ้าจะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่ข้าไม่ควรนี่สิ” ฉินหูเอ่ย
โจวฝูมองเขาแล้วพ่นเสียงหัวเราะออกมา แล้วยื่นมือไปตบบ่า
คนตรงหน้า
“เช่นนั้นที่วันนี้เจ้ามาหานางก็เพื่อจะมาสารภาพผิดสินะที่
เผลอคิดไม่ดีกับนาง เพื่อเจ้าจะได้สบายใจขึ้น” โจวฝูเอ่ยติดตลก
“ท่านชายฉินสิบสาม ฟังข้านะ ไม่มีใครดีไปกว่าใครหรอก เจ้าคิดว่า
ทำแล้วได้อะไรขึ้นมา ไหนจะมาอะไรควรอะไรไม่ควร คิดมากน่า”
นั่นสินะ วันนี้ที่เขามา ก็เพื่อจะมาขอโทษนางอย่างนั้นหรือ
มีอะไรให้น่าขอโทษขอโพยกัน ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ยังจะย้อนความเดิมแล้วบีบเค้นนางอีกทำไมกัน
ฉินหูเงยหน้าขึ้นพลางต่อยตัวเองเรียกสติ แล้วพยักหน้าให้โจว
ฝู
“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่ควรไปตอแยนางแบบนั้น” เขาเอ่ย พลาง
โบกมือลาโจวฝู ขึ้นม้าแล้วออกตัวไป
สาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่าง
เหม่อลอย จากนั้นก็หันหน้าไปทางโจวฝู
“ท่านชายหกเจ้าคะ ข้า…ควรไปบอกให้นายหญิงรู้ดีไหม
เจ้าคะ” สาวใช้ขอความเห็นจากเขา “นายหญิงตอนนี้น่าจะพักผ่อน
เต็มอิ่มแล้ว”
“ไม่ต้องหรอก อย่าไปใส่ใจคนไม่การงานทำอย่างเขาเลย” โจว
ฝูเอ่ย พลันหันหลังเดินจากไป
พอเดินไปได้แค่สองก้าว เขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้น พอหัน
ไปดู ก็เห็นว่าเป็นฉินหูกำลังกระโดดลงมาจากหลังม้า แถมด้าน
หลังเขายังตามมาด้วยบ่าวที่เป็นคนควบม้า“นายท่าน นายท่าน คิดจะทำอะไรหรือขอรับ…นายใหญ่สั่งให้
รีบกลับมิใช่หรือขอรับ” บ่าวเอ่ยถามฉินหู
แต่เขากลับไม่สนใจคำพูดของบ่าว เอาแต่ฟึดฟัดพลางเร่ง
ฝีเท้าเข้าไปยังด้านในเรือน
“เฮ้ย เฮ้ย!” โจวฝูตะโกนเรียก “ยังไม่รู้เลยนี่นาว่านางจะให้
เข้าพบหรือไม่ให้เข้าพบน่ะ!”
ฉินหูยังคงไม่สนใจ แล้วรีบเดินต่อ
เฉิงเจียวเหนียงที่กำลังยืนอยู่ตรงทางเดินพอดี นางกำลังมองดู
แม่นางหวงกับสาวใช้พาลูกน้อยวิ่งกระโดดเล่นไปทั่วในสวน พอเห็น
ว่าฉินหูเข้ามา แม่นางหวงเลยชุลมุนรีบพาคนหลบออกไป
“ท่านพี่สะใภ้ ไม่ต้องหรอก เล่นกันต่อเถิด เดี๋ยวพวกเรา
จะเข้าไปคุยในห้องเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยกับแม่นางหวง พลาง
ผายมือเชิญฉินหู
แต่ฉินหูกลับส่ายหน้าให้นาง
“ไม่ต้องหรอก ข้าแค่จะมาพูดเรื่องเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เขา
เอ่ยเฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วพยักหน้า จากนั้นอมยิ้มตั้งใจฟัง
คนตรงหน้า
เขาอยากมาดูให้เห็นกับตาว่านางเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า ก็
ไม่เห็นว่ามีอะไรต่างจากเดิม ถ้าตัวเขาปล่อยวางได้ นางเองก็
ปล่อยวางเหมือนกัน ถ้าเขาไม่วอแว นางก็ไม่วอแวตอบ คนจริงแบบ
นาง ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ
ฉินหูพยักหน้าพลางหัวเราะ
“ไทเฮาพาชิงอ๋องกลับวังแล้วนะ” เขาเอ่ย
โจวฝูที่เดินตามหลังเข้ามาพอได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็ได้หยุด
ฝีเท้าลง พลันทำหน้าตกใจ
ชิ่งอ๋องอย่างนั้นรึ!
เฉิงเจียวเหนียงร้องอ๋อ แต่สายตายังคงมองไปยังในสวน
ฉินหูเองก็มองทิศทางเดียวกับนาง ในสวนนั้น แม่นางหวง
กำลังพาลูกน้อยที่ในมือถือกังหันลมจิ๋วอยู่วิ่งไล่จับกับเหล่าสาวใช้ ทั้ง
สวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานวัยเด็กอันไร้เดียงสา ไร้ความทุกข์ใดๆ นี่แหละคือช่วงเวลาชีวิต
ที่สนุกที่สุด
ขณะเดียวกัน ที่พระราชวัง ตำหนักของชิ๋งอ๋องเองก็เต็มไปด้วย
บรรยากาศคึกคัก
กล่องสัมภาระใบแล้วใบเล่าทุกคนโยกย้าย จนรถม้าที่บรรทุก
ของใกล้จะรับน้ำหนักไม่ไหว
“ฝ่าบาท ของพวกนี้ไม่ต้องเอาไปหรอกขอรับ” ขันทีที่สวม
อาภรณ์เรียบหรูนายหนึ่งกำลังเอ่ยเตือนจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
คนถูกเตือนส่ายหน้า
“ของพวกนี้เป็นของที่เขาใช้จนเคยชินแล้ว หากเปลี่ยนใหม่ คง
ได้มีอาละวาดแน่” เขาเอ่ย พลางหันหน้าไปอีกทาง ปรากฏขันทีกลุ่ม
หนึ่งกำลังพาชิ่งอ๋องมาทางนี้
ชิ่งอ๋องที่ถูกขัดจังหวะจากการเล่นอยู่นั้นสีหน้าดูไม่พอใจ
เป็นอย่างมาก เลยเอาแต่สะบัดมือและร้องตะโกน
“ลิ่วเกอร์ พวกเราไปเยี่ยมไทเฮาในวังกันเถอะ พอถึงที่นั่นเดี๋ยว
ก็ได้เล่นต่อละนะ ข้าจะอยู่คอยเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้าไปจูงมือชิ่งอ๋องพลางเอ่ยโน้มน้าว
ชิ่งอ๋องที่ฟังรู้เรื่อง ก็ทำเป็นหัวเราะแล้วสะบัดสะบิ้งไปมา
ขันทีต่างก็หัวเราะและเข้ามาช่วยจิ้นอันจวิ้นอ๋องอีกแรงใน
การพาชิ่งอ๋องขึ้นรถม้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังก้าวขาขึ้นรถม้า กลับถูกขันทีปรามไว้
“ฝ่าบาท” ขันทีเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฝ่าบาทมิต้องเปลือง
แรงพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจัดการได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอึ้งไปสักพัก แล้วหันไปมองหน้าขันที
ขันทีหุบยิ้ม สีหน้าดูจริงจังกว่าเดิม
“ไทเฮามีรับสั่งให้มารับชิ่งอ๋องกลับวังพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีก้มหัวเอ่ย
เสียงค่อย “ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ไทเฮาเลยมิได้มีคำสั่ง
เปิดรับให้ราชนิกุลกลับเข้ามาในวังพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างนี้เองหรือ…
ชายหนุ่มทิ้งมือลงข้างลำตัวพลางยืดหลังตรง