พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 568 ช่างกล้า
สาส์นเชิญจากฮองเฮาอย่างนั้นรึ
สาวใช้ที่กำลังจะก้าวไปเบื้องหน้า แต่ถูกโจวฝูขัดเสียก่อน
“ขออภัยหากข้าเสียมารยาท แต่สถานการณ์ช่วงนี้ไม่ปกติ ข้า
คงต้องขอดูสาส์นเชิญ” เขาเอ่ยขึ้น
ตั้ง
แต่ที่ผิงอ๋องจากไปและฮ่องเต้กำลังประชวรหนัก งานในวัง
ทั้ง
หมดจึงอยู่ในความดูแลของไทเฮา แถมยังมีตระกูลเกาคอย
หนุนหลังไทเฮาอยู่ สาส์นเชิญปลอมใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ต่อให้เฉิง
เจียวเหนียงเก่งแค่ไหนแต่นางก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อีก
ทั้ง
ใช่ว่าใครหน้าไหนจะเข้าไปเยือนวังหลวงกันได้ง่ายๆ หากมีอะไร
เกิดขึ้นด้านในละก็คงยากที่คนข้างนอกจะรับมือไหว
ขันทีเข้าใจความกังวลของโจวฝู จึงขานรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แล้วยื่นสาส์นเชิญให้เขา
เขารับสาส์นมา พลางสังเกตตราประทับของฮองเฮาและ
ลายลักษณ์อักษรของราชเลขา ตราประทับของฮองเฮานั้นอาจมีบุคคลอื่นทำแทนได้ แต่ลายลักษณ์อักษรของราชเลขาต่างหากที่
ปลอมแปลงไม่ได้ ในเวลาแบบนี้ เฉินเซ่าเองคงเพิ่มความระมัดระวัง
เป็นพิเศษ
หากเฉินเซ่าอยู่ด้วย พวกตระกูลเกาคงไม่กล้าลงมือทำเรื่อง
บ้าบอแน่นอน
“ขอบใจอย่างยิ่ง” โจวฝูเอ่ย พลางยื่นหนังสือกลับไป
ขันทียิ้มพลางน้อมรับ จากนั้นก็หันไปทางเฉิงเจียวเหนียง
ซึ่งตอนนี้กำลังลุกขึ้นยืน
“ฮองเฮาต้องการพบข้าด้วยเหตุใด” นางเอ่ยถาม
“ฮองเฮามีความประสงค์ให้แม่นางตรวจอาการประชวรขอรับ”
ขันทีตอบ
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าโจวฝูก็เริ่มเปลี่ยน
“นางมิอาจตรวจอาการประชวรสุ่มสี่สุ่มห้าได้” เขารีบแย้ง
“นางเองก็เคยแจ้งให้ทราบแล้ว”
ขันทีหน้านิ่ง ทำตัวไม่ถก
เฉิงเจียวเหนียงก้าวมาด้านหน้า พลางเอ่ย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ในเมื่อฮองเฮามีรับสั่งเชิญข้า ข้าก็จะเข้าไป”
เจ้าบ้าไปแล้ว!
โจวฝูหันมาถลึงตาใส่
“เจ้าบ้าไปแล้ว! จะไปได้อย่างไรกัน!”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ พลางดึงแขนเสื้อเขา
“วางใจเถิดท่านพี่” นางเอ่ย “ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
วางใจเถิด…ท่านพี่…อย่างนั้นหรือ
เขารู้สึกจั๊กจี้หัวใจตอนที่นางกำลังดึงแขนเสื้อ จึงยืนนิ่งแข็งทื่อ
ไม่พูดอะไรต่อ
พอจะพูดอะไรบางอย่างออกมา กลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
ขันทีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ใจชื้น รีบโค้งตัวขอบคุณเฉิงเจียวเหนียง
ยกใหญ่
“เชิญแม่นางขอรับ”
…ไม่ว่าเรื่องอะไรหรือแม้แต่หนังสือฉบับใดก็มิอาจหลุดรอดไป
จากไทเฮาได้ พอฮองเฮามีคำสั่งรีบยื่นสาส์นเชิญไปให้ราชเลขา
อนุมัติแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง เรื่องก็ไปถึงไทเฮาในทันที
“ไทเฮา ให้กระหม่อมเอาหนังสือนั้นกลับมาไหมขอรับ” ขันที
นายหนึ่งเอ่ยขึ้น
“นางต้องการอะไร” ไทเฮาย่นคิ้วเอ่ยถาม
“ฮองเฮามีประสงค์จะให้แม่นางเฉิงเข้ามาดูอาการของฝ่าบาท
พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตอนนี้มีอาการหายใจไม่เป็นจังหวะ เหล่าหมอ
หลวงเองก็เริ่มจนปัญญา นางเลยนึกถึงตอนที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องนำ
ยาน้ำให้ชิ่งอ๋องดื่มแล้วอาการดีขึ้น ก็เลยมีความคิดว่าจะให้แม่นาง
เฉิงเข้ามาตรวจอาการของฝ่าบาท เผื่อจะให้นางถวายยาน้ำสำ หรับ
รักษาอาการของฝ่าบาทให้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีอธิบาย
เป็นเช่นนี้นี่เอง เรื่องนั้นไทเฮาเองก็รู้อยู่
“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญมาเสียสิ” ไทเฮาเอ่ย
ขันทีอีกนายหนึ่งทำหน้ากระวนกระวาย พลางขยับมาข้างหน้า“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “สงสัยเป็นเพราะว่าชิ่งอ๋องกลับ
เข้ามายังวังแล้ว นางเลยเกิดใจร้อน อยากเร่งให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาเร็ว
ๆ …”
ขันทีคนนั้นยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ไทเฮาพอฟังคำที่เขาพูดก็พลัน
สีหน้าเปลี่ยน จากนั้นง้างมือฟาดเข้าไปที่หน้าของขันทีในทันใด
“ลากออกไป เฆี่ยนมันให้ถึงตาย!” ไทเฮาตะโกนสั่ง
ขันทีคนนั้นตกใจจนรีบก้มหัวลงพื้น จากนั้นก็ถูกขันทีคนอื่นๆ
อุดปากแล้วลากตัวออกไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกรึ”
เสียงของฮูหยินนางหนึ่งดังลอยมาจากด้านนอก
“ฮูหยินแคว้นฉี” เหล่าขันทีพอเห็นเข้าก็รีบโน้มตัว
ทำความเคารพ
“ไทเฮา มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ” ฮูหยินแคว้นฉีเอ่ยขึ้น
ไทเฮาเอ่ยน้ำตาซึม
“มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เว้น มิหนำซ้ำ ยังมีพวกที่บังอาจไม่อยากให้
ฝ่าบาทฟื้นร่างกาย พูดออกมาได้อย่างไรกัน” ไทเฮาเอามือทาบเข้าไปที่อก “นั่นลูกข้านะ ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ ให้ข้ายอมตายเพื่อลูก
ข้าก็ทำได้โดยไม่ต้องยั้งคิด พวกคนบาป บังอาจมาพูดจาแบบนี้กับ
ข้า คิดว่าข้าไม่อยากให้เขาฟื้นขึ้นมาหรืออย่างไร หากฮ่องเต้อาการ
ไม่ดีขึ้น แล้วข้าจะดีขึ้นได้อย่างไร!”
พอเห็นสภาพไทเฮา ฮูหยินแคว้นฉีเองก็เริ่มร้องไห้ตาม
“นั่นสิเพคะ ความเป็นแม่ในตัวพวกเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ”
ฮูหยินเอ่ย “หากฝ่าบาททรงแข็งแรงขึ้น ไทเฮาเองก็คงเช่นกัน ไย
จะต้องมาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้กันเล่า”
ไทเฮาคว้ามือฮูหยินพลางเอ่ย
“ดังนั้น ไทเฮาควรรู้เอาไว้ว่า ไม่ใช่ทุกคนในวังที่มีจิตวิญญาณ
ความเป็นแม่อย่างพวกเรา อีกทั้งไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นห่วงฮ่องเต้”
ฮูหยินแคว้นฉีอธิบายอย่างหนักแน่นพลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“ไทเฮาเพคะ เรื่องฝ่าบาท พวกเราจะประมาทไม่ได้เลยนะ”
พอฮูหยินเอ่ยถึงตรงนี้ ไทเฮาก็หยุดร้องไห้ แล้วพยักหน้า
“ไปตามคนมา แล้วหากำลังคนไปเฝ้าที่ตำหนักฮ่องเต้ให้
มากกว่าเดิม”ความรักของคู่ครองมันจะยิ่งใหญ่เทียบกับความรักของแม่ได้
อย่างไร มิหนำซ้ำ คู่ครองที่ว่านั่น บัดนี้ก็ยิ่งไว้ใจไม่ได้เสียด้วยสิ
ไทเฮากัดฟันกรอดพลางคิด ช่วงนี้คงต้องเฝ้าระวังกันไปก่อน
หากผ่านช่วงนี้ไปได้ นางจะเอาคืนให้สาสมเลยคอยดู!
พอสิ้นคำสั่งของไทเฮา ขันทีก็รีบขานรับในทันควัน
ฮูหยินแคว้นฉีเห็นขันทีเดินออกไปด้านนอก ก็รินน้ำชาใส่ถ้วย
ยื่นให้ไทเฮาด้วยตนเอง
“ว่าไปแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมา” ฮูหยินเอ่ยขึ้น
ไทเฮาเมื่อได้ยินก็รีบดึงสีหน้า
“ไทเฮา หม่อมฉันหมายความว่า ไม่อยากให้ฝ่าบาทตื่นขึ้น
มาแล้วพบเจอกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้” ฮูหยินแคว้นฉีรีบ
อธิบาย นางยังคงสะอื้นอยู่เหมือนเดิม “สำ หรับฝ่าบาทแล้ว ผิงอ๋อง
นั้น
เป็น…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ไทเฮาเริ่มร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ก็เพราะแบบนี้แหละ ฝ่าบาทถึงได้อาการหนักอย่างทุกวันนี้”บนโลกนี้จะมีทุกข์ใดที่ทุกข์ไปกว่าการได้เห็นคนที่เรารัก
เจ็บป่วยทรมาน
“เดิมฝ่าบาทก็กังวลเรื่องลูกหลานสืบทอดอยู่แล้ว พอ
มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น กลายเป็นว่ากังวลเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกนะ
เพคะ” ฮูหยินแคว้นฉีสะอื้นเอ่ย
ไทเฮาพยักหน้า
“ก็นั่นนะสิ ฝ่าบาทรักลูกมากแค่ไหน ขนาดว่าแค่ไข้ขึ้นนิดเดียว
ก็กังวลจนแทบจะนอนไม่หลับ” ไทเฮาเอ่ย “ยิ่งถ้ามีเรื่องอันตราย
เกิดขึ้นแล้ว ตัวเขาเองก็ยิ่งเก็บมาคิดจนปวดหัวใจ”
ผิงอ๋องที่ถูกฟ้าผ่าขนาดนั้น ฮ่องเต้จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เพียงใด
ไทเฮาร้องไห้โฮเอามือปิดหน้า
“ดีที่ยังมีชิ่งอ๋องอยู่นะเพคะ ก็ยังถือว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน”
ฮูหยินแคว้นฉีเอ่ยพลางน้ำตาซึม “ไทเฮา ต้องคอยดูแลองค์ชิ่งอ๋อง
ให้ดีนะเพคะ”
ไทเฮาเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็รีบพยักหน้า“ชิ่งอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ฮูหยินถามไถ่
“ดียิ่งนัก นี่เพิ่งกินอิ่มไป จากนั้นก็เล่นสักพัก ตอนนี้เข้านอน
แล้วเพคะ” นางสนมรีบเอ่ยตอบแทน
ไทเฮาพอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ สักพักก็มีขันทีรีบวิ่งเข้ามาทูล
ข่าวให้ทราบ
“ทูลไทเฮา กระหม่อมทราบเรื่องว่าแม่นางเฉิงเข้าไปดูอาการ
ให้ฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเป็นอย่างไรเล่า” ไทเฮาเอ่ยถาม
“แม่นางเฉิงกล่าวว่า ยาน้ำของชิ่งอ๋องนั้นทำไว้เพื่อรักษา
อาการเฉพาะของชิ่งอ๋องเท่านั้น ไม่สามารถนำมารักษาฝ่าบาทได้
พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาเบ้ปาก
“ทำเป็นเล่นตัว ที่แท้ก็ไม่เห็นจะมีดีอะไรเลย” ไทเฮาบ่นอุบอิบ
“ไทเฮา หม่อมฉันว่าอาจดูไม่เหมาะนักที่จะให้นางเข้ามาดู
อาการฝ่าบาท” ฮูหยินแคว้นฉีเอ่ยเบาๆ
ไทเฮาหันหานาง“ไทเฮาลืมไปแล้วหรือ ก่อนที่ฝ่าบาทจะล้มป่วย ฝ่าบาทเรียกให้
นางมาเพราะต้องการเอาผิดนาง” ฮูหยินแคว้นฉีเอ่ย พลางมองไป
ทางนอกประตู “หากฝ่าบาทฟื้น คนที่ต้องถูกหมายหัวคนแรกคง
ต้องเป็นนาง”
ไทเฮาเมื่อได้ยินดังนั้น ความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ถาโถม
เข้ามา
“ข้าไม่น่าให้นางเข้ามาในวังเลย!” ไทเฮาเอ่ย
“ไทเฮาเพคะ ถ้าหากไม่ให้นางเข้าวัง นางอาจไหวตัวทันก็
เป็นได้ และอาจคิดว่าไทเฮานั้นจงใจเมินเฉยต่ออาการป่วยของ
ฝ่าบาท แต่ถ้าหากให้นางเข้ามา ไทเฮาก็สามารถสั่งให้นางอยู่ในวัง
ได้นี่เพคะ” ฮูหยินแคว้นฉีเสนอแนะ
ไทเฮาอึ้งไปชั่วครู่
“จะเอาคนน่ากลัวแบบนั้นมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อเหตุใดเล่า อยากให้
ฝ่าบาทได้รับอันตรายหรืออย่างไร” ไทเฮาขมวดคิ้ว
“เก็บนางไว้ใกล้ตัวเพื่อจะได้มีหลักฐานไว้เอาโทษนาง
อย่างไรเล่าเพคะ” ฮูหยินแคว้นฉีเอ่ย “ในเมื่อฮองเฮาออกสาส์นเชิญนางเข้าวังมาแล้ว ก็ให้นางอยู่ในวังนานๆ หน่อยจะเป็นไรไป
เพคะ”
หากฝ่าบาทเกิดเป็นอะไรขึ้นมา…
หากตอนนั้นมีนางที่คอยเป็นผู้ดูแลอาการป่วยของฝ่าบาทอยู่
ด้วยแล้วละก็ ไทเฮาจะคาดโทษนางหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับไทเฮาแล้ว
เล่า
ไทเฮานิ่งไปสักพักแล้วพยักหน้าช้าๆ
…
ฮองเฮาทำหน้านิ่งเมื่อรู้ว่าไทเฮาเพิ่มกำลังคนมาคอยเฝ้า
ฮ่องเต้
“ในเมื่อจะให้หม่อมฉันอยู่ในวังแล้ว ได้โปรดให้หม่อมฉัน
ส่งจดหมายไปยังเรือนของหม่อมฉันด้วยเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ขันทีรีบขานรับคำขอของนาง
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” ขันทีนายหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางเอ่ย
ถาม “แม่นางเฉิงต้องการฝากสิ่งใดอีกหรือไม่ขอรับ”“หม่อมฉันไม่กล้าเอาของส่วนตัวเข้ามาใช้ในวังหรอก ขอบใจ
ท่านอย่างยิ่ง” เฉิงเจียวเหนียงย่อตัวคำนับ “เท่านี้พอเจ้าค่ะ”
ขันทีคิดในใจ แม่นางเฉิงผู้นี้ช่างรู้งานยิ่งนัก ไม่เห็นเหมือนที่
ฮูหยินแคว้นฉีเคยเดาไว้ว่านางเป็นคนโหวกเหวกโวยวาย ดูแล้วนาง
ก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยแถมยังว่าง่ายอีกต่างหาก
ดูท่าหมอเทวดาผู้นี้ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่ใครเขาว่ากัน
ขันทีขานรับ จากนั้นก็ขอตัวออกไป
ฮองเฮามองดูเฉิงเจียวเหนียง พลางเอ่ยทัก
“ครั้งนี้เลยต้องลำบากเจ้าหน่อยนะ” ฮองเฮาเอ่ย “ข้าเองก็คิด
วิธีอื่นไม่ออกแล้ว”
ฮองเฮาเอ่ย สายตาพลันมองไปยังตำหนักจักรพรรดิ
“หากฝ่าบาทจากไป ข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไรเหมือนกัน ข้า
อยากให้ฝ่าบาทดีขึ้น ก็เลยออกสาส์นโดยพลการ อยากให้แม่นาง
มาดูอาการฝ่าบาทให้เสียหน่อย”
“ที่จริงแล้ว ข้าก็แอบคิดในใจว่าแม่นางจะไม่รับคำขอของข้า”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮองเฮาก็หันหน้ามาทางเฉิงเจียวเหนียง“แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่ข้าได้พบกับเจ้า แต่ข้ากลับรู้สึก
คุ้นเคยกับเจ้าเหลือเกิน”
ฮองเฮาเอ่ยไปยิ้มไป
“เขาน่ะมักเอ่ยถึงเจ้าอยู่บ่อยครั้งตอนที่มาเยี่ยมข้า”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ภาพและเสียงของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ลอยเข้ามา
ในหัว
‘ฮองเฮา นางก็ยิ้มเป็นเหมือนกันนะ’
ใบหน้าชายหนุ่มรูปงามที่เมื่อไหร่พอได้เอ่ยถึงนาง ดวงตาของ
เขาเป็นประกาย อีกทั้งมือเท้ายังออกท่าทีโดยไม่รู้ตัวด้วย
‘ฮองเฮารู้หรือไม่ว่านางเก่งขนาดไหน…’
‘…ข้ารู้สึกว่านางเก่งไปเสียทุกอย่างเลย…’
‘…นางเป็นคนดีมากเลย ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้มีคน
แบบนางอยู่ด้วยหรือเนี่ย…’
ฮองเฮาก้าวฝีเท้าออกไป เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นช่วยให้
เรียกสติกลับมา“พอได้ยินเข้าบ่อยๆ แม้ว่าตัวข้าเองจะไม่เคยได้พบและรู้จักกับ
แม่นาง แต่ก็รู้มาว่าแม่นางเป็นคนฉลาดและอ่อนโยน อีกทั้งยังเป็น
สตรีแกร่งอีกด้วย” ฮองเฮาเอ่ย พลางชายตามองแม่นางเฉิง “โปรด
วางใจได้เลยว่าจะไม่มีใครบังคับขู่เข็ญเจ้าหากมีเรื่องใดที่เจ้าทำแล้ว
รู้สึกลำบากใจ”
“แม่นางน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า การเข้ามาในวังครั้งนี้นั้น เข้าง่าย
ออกยาก”
“ที่จริงแล้ว หากเจ้าปฏิเสธคำเชิญของข้า ก็อาจเป็นขี้ปากของ
คนบางกลุ่ม ประการแรก แม่นางไม่ได้เป็นขุนนาง ประการที่สอง
แม่นางไม่ได้เป็นหมอหลวง คงไม่แปลกที่เจ้าจะปฏิเสธ อาจเป็นการ
สร้างความเกลียดชังให้คนบางกลุ่มแล้ว ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อเสีย
ด้านอื่น”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮองเฮาก็เริ่มหัวเราะ
“อย่างไรเสีย ข้ารู้ว่าแม่นางไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดเจ้าถึงรับปากมาเยือนที่วังนี้
เล่า”เฉิงเจียวเหนียงมองดูใบหน้าอันซีดเซียวของฮองเฮาที่ซ่อน
อาการอยากรู้เอาไว้ไม่อยู่ ก็อดหัวเราะไม่ได้
“ฮองเฮาเชิญหม่อมฉันเข้ามาเองมิใช่หรือเพคะ”
“แต่เจ้าเคยพูดไว้ว่าเจ้าไม่อาจรักษาอาการของฝ่าบาทได้
มิใช่รึ” ฮองเฮาเอ่ยถาม
ในเวลาแบบนี้ หากนางตอบไปว่ารักษาได้ ภายหลังคงมีปัญหา
ตามมาเป็นแน่แท้
“อาการของฝ่าบาท หม่อมฉันมิอาจรักษาได้ก็จริง” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย “แต่หม่อมฉันสามารถรักษาโรคถึงตายของฮองเฮาได้นะ
เพคะ”
โรคถึงตายอย่างนั้นรึ!
ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนในทันใด
“แม่นางเฉิงนี่ช่างเป็นคนใจกล้าอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ ด้วย”
ฮองเฮาหัวเราะ