พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 569 ไม่เคยพบเจอ
ฟ่านเจียงหลินทำหน้ามุ่ย มองดูขันทีที่เข้ามาส่งสาส์นเดิน
จากไป
“กะแล้วเชียว” เขาเอ่ย
“ท่านพี่ เฉิงเจียวเหนียงไม่เป็นอะไรใช่ไหม” แม่นางหวงที่
ใบหน้าเริ่มซีดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ฟ่านเจียงหลินเอามือลูบหนวดของตน พลางนึกย้อนไปตอน
อดีตที่เขาเป็นเด็กจากหมู่บ้านชนบทเล็กๆ บนภูเขาเม่าหยวนซาน
เขาเคยมีความฝันที่อยากจะเป็นทหาร ไม่ได้นึกได้ฝันเลยว่าวันหนึ่ง
เขาจะได้มียศใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนแห่งใดก็มีแต่คนให้
ความเคารพ
ตั้ง
แต่ที่เขาต้องมาปะทะกับพวกเหลวแหลกไม่เอาไหนระดับ
ล่าง ไปจนถึงระดับผู้มีอำนาจ ไหนจะต้องปะทะกับพวก
คนใหญ่คนโตที่มีความผิดทางทหารและทางอาญา ไหนจะแม่ทัพ
อารักขาผู้นั้น ไหนจะราชนิกูล แล้วล่าสุดคือไทเฮาคนพวกนี้และเรื่องราวที่เขาพบเจอนั้นแม้แต่ในฝันก็ไม่กล้าฝัน
ถึง ต่อให้ตื่นมากลางดึกก็ตามเขาก็ยังอยากให้เรื่องพวกนี้เป็นแค่ฝัน
ไปก็เท่านั้น
เพราะเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยว่าเรื่องพวกนี้มัน
เกิดขึ้นได้อย่างไร
ฟ่านเจียงหลินกลืนน้ำลาย พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไม่มีอะไรหรอก”
แม่นางหวงไม่ได้ปักใจเชื่อคำพูดจากสามีตัวเองมากนัก
จึงหันไปถามโจวฝู
“ท่านพี่ตระกูลโจว” แม่นางหวงตะโกนเรียกเขาจนลืมไปเสีย
สนิทเลยว่านางต้องเรียกเขาว่าท่านชาย “เจียวเหนียงจะไม่เป็นอะไร
จริงรึ”
“นางไม่เป็นอะไรหรอก” โจวฝูเอ่ย ท่าทีของเขาดูนิ่งๆ แข็งทื่อ
แม่นางหวงมองว่าท่านชายโจวรู้เรื่องในวังเยอะกว่าสามีของ
ตน น่าจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่า พอได้ยินเขาตอบมาอย่างนั้น
แล้ว แม่นางหวงก็โล่งใจไปเปราะนึงสาวใช้ที่ยืนอยู่ริมประตูเรือนหันมามองปั้นฉิน พลางเอ่ย
ถามด้วยความงุนงงปนตกใจเล็กๆ
“ปั้นฉิน เจ้าไม่รู้สึกเศร้ารึ”
ปั้น
ฉินทำหน้านิ่งเฉย
“ให้เศร้าอะไรอีกเล่า” นางถามย้อน
สาวใช้จุ๊ปากทีสองที
หากเกิดเรื่องกับนายหญิง นางก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ ในเมื่อ
นางเกิดมาเพื่อเป็นคนของนายหญิง ตายไปก็คงต้องไปรับใช้นาย
หญิงต่อในปรโลก ไม่ว่าจะอยู่หรือไป นางขอแค่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็
เป็นพอ
ปั้น
ฉินเม้มปาก สองมือเริ่มกำแน่น
ฟ่านเจียงหลินเดินมาส่งท่านชายโจวที่ประตู
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ งั้นรึ” ฟ่านเจียงหลินอดไม่ได้ที่จะ
ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
โจวฝูมองตาเขา
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสินะ…พลางคิดในใจ ป่านนี้ถ้าบิดาของตนรู้เรื่องเข้าคงรีบเตรียมรถ
เดินทางออกไปนอกเมืองหลวงแล้ว…
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” โจวฝูให้คำตอบ “เดี๋ยวข้าไป
ถามตระกูลฉินมาให้แล้วกัน”
นั่นสินะ ตระกูลฉินเองก็เป็นถึงราชนิกุลเช่นกัน อีกทั้งพวกเขา
สนิทกับเจียวเหนียงด้วย
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องลำบากท่านชายด้วย…” ฟ่านเจียงหลิน
ทำท่าคารวะ แต่ยังไม่ได้เอ่ยจบ ก็ถูกโจวฝูถลึงตาใส่แล้วตะโกน
ตัดบทเสียก่อน
“นางเป็นน้องข้า!” โจวฝูเอ่ยอย่างหนักแน่น พลางเอานิ้วชี้
ตัวเอง “น้องที่สนิทกันมากด้วย!”
พอเอ่ยจบก็สะบัดเสื้อเดินจากไป
นางเป็นน้องข้า นางสนิทกับข้ามากที่สุด! ไม่เห็นจะลำบาก
ตรงไหน!
ม้าที่กำลังถูกควบให้วิ่งไปด้านหน้าจู่ๆ ก็ชะลอความเร็วลงบ่าวรับใช้ที่ขี่ม้าตามมาจากทางด้านหลังเองก็ต้องหยุดตาม
ม้าของเขาล้ำไปด้านหน้ากว่าม้าของโจวฝู บ่าวจึงรีบเดินถอยหลัง
กลับมา พลางมองโจวฝูด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“มีอะไรหรือนายท่าน” บ่าวเอ่ยถาม
โจวฝูเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า ปรากฏเรือนของตระกูลฉินที่
ตั้ง
อยู่ตรงสุดปลายถนน
“ให้ไปกินนางฟ้าผ่านทางในช่วงอากาศแบบนี้นะหรือ จะ
ไม่ร้อนไปหน่อยรึ!”
“ต้องร้อนๆ แบบนี้สิถึงสะใจ!”
เสียงของคนแปลกหน้าบนถนนคุยกัน โจวฝูได้ยินพวกเขา
เอ่ยถึงนางฟ้าผ่านมาจึงเอาแต่จ้องคนแปลกหน้าสองคนนั้น
นางฟ้าผ่านทางงั้นหรือ
‘เจ้านั่นมันข่มขู่เจ้า ก็เลยเกิดกลัวขึ้นมาสินะ เดิมทีนางฟ้าผ่าน
ทางนั้นเป็นของเจ้า เถ้าแก่โต้วดันบอกว่าเป็นของตนเสียอย่างนั้น
เจ้ายอมได้รึ’
‘ก็นั่นไม่ใช่ของข้า เหตุใดต้องไม่ยอม’‘หรือว่าเจ้าเห็นว่าเขาทำได้ไม่ดี ก็เลยตักเตือนเขา’
‘ก็ข้าแค่บอกความจริงออกไปว่าพวกเขาทำออกมาไม่ดีจริงๆ
เสียชื่ออาหารหมด ก็เลยต้องตักเตือนกันบ้าง จะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น’
นางไม่เคยกลัวว่าใครจะมาข่มขู่นาง หรือแม้แต่เอาของนางไป
เป็นของตัวเอง แต่ถ้าหากมายุ่มย่ามกับนางแล้วละก็ นางไม่ปล่อยไว้
แน่
ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนก็ตาม นางจะไม่มีวันอ่อนข้อให้ และจะ
ใช้อาวุธหน้าไม้จัดการเท่านั้น เพราะในสายตาของนาง คนผู้นั้นก็
เป็นได้แค่สัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง หรือคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน และ
จะกำจัดทิ้งอย่างไม่ลังเลด้วย
เพราะนางถือว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำ ระ ใครดีมาดี
ตอบ และถ้าหากใครร้ายมา นางก็จะใช้หน้าไม้โต้ตอบ
คนอย่างนางไม่เคยยอมอ่อนข้อก้มหัวให้ใคร แต่ว่าครั้งนี้ เป็น
ถึงระดับไทเฮา ระดับองค์จักรพรรดิ ในที่แบบนั้น แม้แต่ผีสางเทวดา
เองยังหนีไม่รอด
โจวฝูมองไปยังสุดถนนอีกครั้งเขาคือตระกูลฉิน คือท่านชายสิบสามแห่งตระกูลฉิน นามว่า
ฉินหู
ในเมื่อคนอย่างนางไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร แล้วอย่างฉินหู
จะกล่อมให้คนพวกนั้นอ่อนข้อให้นางได้หรือไม่นะ
โจวฝูคิดพลางดึงบังเหียนม้า
“นายท่าน” บ่าวเอ่ยเรียกพลางเหงื่อตก เหตุใดท่านชายถึงไม่
ไปต่อแล้วล่ะ มัวแต่เหม่อลอยอะไรอยู่อีก
…
“ท่านแม่!”
ฉินหูใช้เสียงสูงเรียกมารดาของตน
“ได้ยินแล้ว ไม่ต้องตะโกนแล้ว” ฮูหยินฉินบ่น พลางทำมือโบก
ปัด “ข้ากำลังเตรียมตัวจะเข้าไปในวังอยู่เนี่ย”
“ท่านแม่ หากเข้าไปแล้ว รีบไปหานางก่อน ที่นางกล้าเข้าไปใน
วังนั้น นางน่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคงออกมาไม่ได้ ท่านแม่ลองไปดูหน่อยว่านางมีแผนรับมืออย่างไร” ฉินหูเอ่ย “อย่าเพิ่งไปพูดอะไรสุ่ม
สี่สุ่มห้ากับไทเฮาก่อนเล่า”
ฮูหยินฉินหยุดฝีเท้า หันมาเอ็ดลูกชาย
“เจ้านี่พูดมากเสียจริง ข้ารู้แล้วน่า ข้าจะฟังที่แม่นางเฉิงพูด
ทุกอย่าง”
ฉินหูทำหน้าดีใจ
“ลำบากท่านแม่ด้วยนะขอรับ”
“ไม่ลำบากหรอก ข้ายินดีต่างหาก” ฮูหยินเบะปากก่อนเดิน
จากไปพร้อมกับผู้ติดตาม
พอเห็นมารดาของตนเดินออกไปแล้ว ฉินหูก็บ่นพึมพำกับ
ตนเอง
“ลองหลอกให้เจ้าโจวหกตกใจเล่นดีกว่า เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
เวลาผ่านพ้นไปจนพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น จนบ่าวที่ยืน
เฝ้าประตูต้องรีบหลบเข้าไปด้านใน
“หรือว่าเจ้านั่นจะยังไม่ได้ข่าวกันนะ” ฉินหูยังคงมองประตู
พลางพูดคนเดียว “หรือว่าพวกเขาจะหนีไปแล้ว”พอเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็รีบส่ายหัว
“คนอย่างเขาไม่หนีไปไหนหรอก คงจะเอาแต่คอยอยู่แต่ใน
เรือนของนางไม่ไปไหนสินะ”
เขาหัวเราะออกมา
“ข้าว่าคงต้องยกเลิกแผนแกล้งแล้วล่ะ กลัวว่าเขาเข้ามาแล้ว
จะตกใจจนเป็นลมล้มตายไปเสียก่อน ข้าเองก็ทำให้คนฟื้นคืนชีพ
ไม่เป็นเสียด้วยสิ”
แสงแดดตอนเที่ยงแผดเผาลงมาบนร่างกายของเขา บ่าวที่ยืน
อยู่ด้านข้างเหงื่อแตกจนต้องใช้แขนเสื้อคอยซับ
“นายท่านจะยืนตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่ขอรับ” บ่าวเอ่ยถาม
“เข้าไปรอด้านในก็ได้นี่ขอรับ”
ฉินหูไม่โต้ตอบ สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูตามเดิม
“ไม่ได้หรอก” เขาค่อยๆ เอ่ย “สำ หรับข้า พวกเขาไม่เหมือนใคร
ข้าอยากให้พวกเขารับรู้ว่าข้ามองพวกเขาอย่างไร ข้าอยากให้เขาเจอ
กับข้าเลยเมื่อเขาเดินเข้าประตูมา”
บ่าวทำหน้าไม่เข้าใจ พลางขมวดคิ้วเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย
สายลมยามบ่ายพัดเข้ามายังลานว่างในเรือน เสียงต้นใบหญ้า
ที่กระทบกับลมได้ดังขึ้น
ทันใดนั้น มีเสียงมาจากด้านหน้าประตู ฉินหูเมื่อได้ยินดังนั้นก็
หูผึ่งแล้วรีบเดินไปที่ประตู
มาแล้วสินะ!
แต่พอเปิดประตูออกไปเท่านั้น ใบหน้าอันยิ้มแย้มของเขา
เป็นอันต้องหุบลง
“ชายสิบสาม” เบื้องหน้าเขาปรากฏฮูหยินฉินที่กำลังลงจาก
รถม้า ในมือของนางถือพัดเพื่อเอามาบดบังแสงแดด พอนางได้เห็น
ฉินหูก็มีท่าทีตกใจไม่น้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ดูสิ รีบอะไร
ขนาดนั้น นี่เจ้ามายืนรอข้าหรอกหรือเนี่ย”
พอเอ่ยจบนางก็ใช้พัดในมือโบกไปที่หัวของเขา
“เด็กบ้าคนนี้ ถ้าจะรอก็ไม่เห็นต้องออกมารอร้อนๆ แบบนี้เลย
นี่ เข้าไปรอด้านในก็ได้”
นางบ่นพลางหัวเราะ“แล้วที่เจ้ามายืนรออยู่นี่ คืออยากพบข้า หรือว่าเป็นห่วง
แม่นางเฉิงกันแน่”
“นี่ข้าเสียเปรียบอยู่นะ ดูสิ ถ้าเป็นฮูหยินบ้านอื่นคงโกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟไปแล้ว ยังไม่ทันจะได้แต่งงานก็ลืมแม่เสียแล้ว”
ฉินหู คลี่ยิ้มออกมา พลางเอื้อมมือคว้าหมับพัดของมารดา
“ท่านแม่ อย่าล้อเล่นสิ”
ฮูหยินฉินหัวเราะพลางลากแขนเขาและเดินเข้าไปในเรือน
“เอาละ ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกน่า นี่เมื่อก่อนไม่เห็นเจ้าจะเป็น
แบบนี้เลยนะ” นางเอ่ย
เพราะว่าเขายืนอยู่ข้างนอกนั่นนานไปหน่อย เลยมีเมื่อยเท้า
บ้าง แต่สักพักก็เดินได้เป็นปกติ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปชำ เลืองที่
ประตู
บริเวณประตูนั่นก็กลับเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงคนตามเดิม
“ท่านแม่ นางว่าอย่างไรบ้าง” เขาหันหน้ามาทางมารดาแล้ว
รีบเอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้เจอนาง” ฮูหยินตอบฉินหูทำหน้าตกใจ
“หรือว่า นางจะถูกขังไว้แล้ว” เขาขมวดคิ้ว “แม้แต่ท่านแม่เอง
ก็เข้าไปพบนางไม่ได้รึ”
เนื่องจากฮูหยินฉินเป็นที่ชื่นชอบของไทเฮามาโดยตลอด ไฉน
ครั้งนี้ท่านแม่กลับทำไม่สำ เร็จล่ะ
“พวกตระกูลเกานี่มันจะเหิมเกริมนัก ไม่เห็นไทเฮาอยู่ใน
สายตาบ้างเลยหรือไร!”
ฮูหยินฉินพ่นเสียงหัวเราะพลางส่ายหัว
“ไทเฮามีหรือจะไม่ให้ข้าเข้าไปพบนาง” ฮูหยินอธิบาย “เป็นข้า
เองต่างหากที่ไม่ได้ไปขอพบนาง”
ฉินหูทำหน้าประหลาดใจอีกรอบ พลางมองตาผู้เป็นแม่
ฮูหยินฉินจ้องเขาตอบ
“ตอนนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังเข้าพบนางอยู่” ฮูหยินเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องงั้นรึ…
ใช่เหรอ“เขาเองหรอกหรือ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยถ้าเป็นเขา” ฉินหู
หัวเราะ “แต่ท่านแม่ก็ขอพบนางได้นี่นา แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงไม่ทำ
เล่า”
ฮูหยินหัวเราะ
“ไทเฮาเป็นคนจิตใจดี หากจิ้นอันจวิ้นอ๋องมองทุกอย่างกระ
จ่างล่ะก็ คงไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับนางหรอก ข้าเองก็ไม่
จำ เป็นต้องเข้าพบนางแล้ว” ฮูหยินเอ่ย
ฉินหูมองหน้ามารดา พลางตั้งคำถาม
“แล้วถ้าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านแม่ว่าเล่า”
…
“อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเริ่มชินหรือยัง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถามเฉิงเจียวเหนียง สายตาพลางมองไปยัง
รอบกาย ที่แห่งนี้คือตำหนักเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตำหนักของฮ่องเต้
เพื่อสะดวกเวลาจะเรียกใช้นาง
เฉิงเจียวเหนียงเองก็มองไปรอบห้อง“ก็ชินนะ” นางตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพ่นหัวเราะ
“เจ้าพูดออกมาอย่างกับว่าเคยอยู่ที่นี่ยังไงยังงั้น”
วังหลวงแห่งนี้…
หลังจากที่ฮ่องเต้สละบัลลังก์ หยางซ่านก็เข้ามาสืบต่อ
ก่อนที่จะมีงานราชาภิเษก จำ ได้ว่านางย้ายเข้ามายังวังแห่งนี้
เนื่องจากนางยังไม่ได้เป็นฮองเฮาเต็มตัว นางจึงไม่สามารถพักใน
ตำหนักฮองเฮาได้ นางกับหยางซ่านในตอนนั้นพำนักอยู่ที่ทางเดินใน
วังเก่า
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าค่อนข้างลำบาก แต่ก็พอได้อยู่ แต่พอมาคิดดู
แล้ว ที่ตอนนั้นนางต้องอยู่ตรงนั้น ก็เพื่อให้เขาได้ฆ่านางได้อย่าง
สะดวกขึ้นก็เท่านั้นเอง
“เฉิงฝั่ง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเรียกนาง “ตอนนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุด
สำ หรับเจ้าคือข้าต้องขอพื้นที่จากไทเฮา จากนั้นจึงรีบพาเจ้าหนีออก
ไปจากเมืองหลวงให้ไกลที่สุด”
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา“พื้นที่นั้นจะต้องเป็นพื้นที่ที่ไกลพอสมควร ไกลพอที่ใครๆ ต่าง
ก็นึกไม่ถึง หนีไปครั้งนี้ เจ้าอาจจะไม่ได้กลับมายังเมืองหลวงอีก” เขา
อธิบายต่อ “แต่ว่า ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย เฉิงฝั่ง ข้าทำเช่นนั้นมิได้”
“ทำในสิ่งที่ควรทำ ยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองอยากทำ ไม่เห็นจะ
ต้องขอโทษขอโพยกันเลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แต่ข้าอยากขอโทษเจ้า” เขาเอ่ย พลางทำท่าจะหัวเราะ
ทำอย่างไรได้เล่า ก็ทุกครั้งที่เขาได้เจอนาง ได้พูดคุยกับนาง ก็
มักจะเผลอยิ้มและหัวเราะโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้มัน
ไม่สมควรนัก
“ขอโทษข้าอย่างนั้นรึ แต่นั่นมันเป็นธุระของข้านี่” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย “เจ้ามาขอโทษข้า ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพ่นเสียงหัวเราะออกมาจนได้
“เฉิงฝั่ง เจ้ามองโลกแง่ดีเกินไปแล้วนะ”
“ไม่ให้ข้ามองโลกในแง่ดี แล้วจะให้มองแบบไหนเล่า” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย พลางหัวเราะไปด้วย “ให้ข้ากอดเข่าเจ้าแล้วร้องไห้หรือ
หรือให้ข้าฟูมฟายแล้วเอาแต่ส่ายหัวไปมาดีล่ะ”จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง พลางนึกจินตนาการภาพที่นางกำลัง
ร้องไห้กอดเข่าเขา หรือภาพนางกำลังฟูมฟายแล้วเอาแต่ส่ายหัว
ไปมา แค่นึกก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ใครๆ ต่างก็อยากทำเพื่อตนเองกันทั้งนั้น ในเมื่อเจ้าเป็น
ผู้ตัดสินใจ ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงอธิบาย
“ดังนั้นแล้ว สำ หรับข้า ไม่มีการขอโทษคนอื่น อีกทั้งจะไม่มีการโทษ
คนอื่นด้วย”
“แต่ว่า หากฝ่าบาทเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าก็จะ…” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เอ่ยด้วยความกังวล “หรือว่า…”
“ช่วงนี้ฝ่าบาทจะยังไม่เป็นอะไรมาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลาง
พยักหน้า
อุบายของไทเฮารวมถึงพวกตระกูลเกาที่ต้องการใช้โอกาสนี้
ล้างแค้นให้ผิงอ๋อง แต่หารู้ไม่ว่า ฮ่องเต้จะยังคงมีชีวิตอยู่ไปจนถึงอีก
หนึ่งปีถัดไป
ไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้ มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นแล้ว ทั้งแผนของ
ไทเฮาและแผนของตระกูลเกา ล้วนเป็นเรื่องตลกทั้งเพจิ้นอันจวิ้นอ๋องนิ่งไปสักพัก ทำหน้ายิ้มเจื่อนๆ พลางคิด
นั่นสินะ นางคงไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจุดอันตรายหรอก หาก
ฮ่องเต้อาการทรุดหนักกว่าเก่าในช่วงที่นางเข้ามาอยู่แล้วละก็ นาง
คงไม่อยู่เฉยๆ รอให้พวกนั้นเข้ามาล้างแค้นเป็นแน่
แต่ว่า ฝ่าบาทเอง ไม่เร็วก็ช้า คงจะ…
“เรื่องในอนาคต ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไป” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ยพลางมองไปรอบๆ ตำหนักแห่งนี้ “จะทำการอันใดก็อย่า
ได้คิดเยอะ พอคิดเยอะเข้าก็จะแยกแยะเรื่องหลักเรื่องรองไม่ได้
กลายเป็นว่ามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรื่องในอนาคตมันแน่นอน
เสียที่ไหนกันเล่า”
“แล้วเรื่องตรงหน้านี้เล่า…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงหันไปทางนอกตำหนัก
“ก็เรื่องงานราษฎร์งานหลวงอย่างไรเล่า” นางเอ่ย
…
“ปล่อยให้นางเข้ามาพำนักในวังอย่างนั้นรึ!”เกาหลิงปอมองหน้าฮูหยินพลางตะโกนเสียงดัง แล้วรีบ
กระโดดตัวลงมาจากเตียงนอน
“เจ้านี่มันเขลานัก เหตุใดถึงได้วางแผนเช่นนั้นกันเล่า!”
ฮูหยินแคว้นฉีเมื่อได้ยินเสียงบ่นของสามีตัวเองก็เริ่มทำตัวไม่
ถูก
“นายท่าน ก็นายท่านพูดเองมิใช่หรือว่าอยากจะกำจัดสตรีผู้นี้
ข้าว่านี่เป็นโอกาสอันดีเลยละ”
“ดีบ้าดีบออะไรกัน!” เกาหลิงปอสบถ “นางไม่ใช่คนเขลา! เจ้า
เลือกขุดหลุมให้คนกระโดดลงไป! หากนางกล้ากระโดดจริงๆ ละก็
นั่นก็แปลว่าที่เจ้าขุดนั้นมันไม่ใช่หลุม! เจ้าก็รู้นี่ว่านางรักษาคนได้ อีก
ทั้ง
นางยังวินิจฉัยได้ด้วยว่าอาการป่วยนั้นรักษาได้หรือจะต้องรอ
ความตายอย่างเดียว ในเมื่อนางกล้าเข้ามาในวังขนาดนี้ นั่นก็
หมายความว่าฝ่าบาททรงไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ฝ่าบาทเป็นถึงขนาดนั้น ยังมีทางรักษาอีกด้วยรึ” ฮูหยินเริ่ม
หวาดกลัว “แต่หมอหลวงบอกข้าว่า ฮ่องเต้คงไม่ฟื้นแล้ว”“ก็นั่นแหละ ไม่ฟื้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นอะไรไปนี่
หรือแม้กระทั่งอาจไม่เป็นอะไรเลยไปอีกพักใหญ่” เกาหลิงปอแสยะ
ยิ้ม “เรื่องบางอย่าง ก็ควรที่จะรีบจัดการได้แล้วสินะ!”
ขณะเดียวกัน ณ พระราชวัง เฉินเซ่ากำลังขอเข้าพบไทเฮา
“กระหม่อมประสงค์ที่จะเจรจาถึงเรื่องการสถาปนาพ่ะย่ะค่ะ”