พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 570 สถาปนา (2)
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอกเพคะ หยางฮองไทเฮาเองก็ถูกปลดจน
กลายเป็นสามัญชน หิวโซและหนาวเหน็บจนตายไปเลยนี่เพคะ” เฉิง
เจียวเหนียงอธิบาย [1]
ฮองเฮาสีหน้าเริ่มไม่สู้ดี
“แต่รัชสมัยนี้ไม่มีเจี่ยหนานเฟิงอยู่มิใช่หรือ” นางย่นคิ้วท้วง
“แต่รัชสมัยนี้กำลังจะมีฮุ่ยตี้มิใช่หรือเพคะ” เฉิงเจียวเหนียง
สวนกลับ “พอมีฮุ่ยตี้แล้ว ก็ต้องมีเจี่ยหนานเฟิงตามมา”
“ต่อให้เจ้าจะหาว่าข้าเป็นเจี่ยหนานเฟิง แต่อย่าลืมสิว่าบิดา
ของข้าไม่ได้เป็นขุนนางระดับสูงที่มีอำนาจและบารมีมากถึงเพียงนั้น
” ฮองเฮาเอ่ย พลางส่ายหัว “เจ้าคิดมากไปแล้วล่ะ ข้าก็เป็นได้แค่
ฮูหยินธรรมดาคนหนึ่ง งานราษฎร์งานหลวงอะไรข้าไม่รู้เรื่องหรอก
เวลามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ข้าก็ทำได้เพียงแค่นั่งสวดมนต์ขอพรจาก
ฟ้าก็เท่านั้น”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ“ฮองเฮาเพคะ ถึงแม้บิดาของพระองค์มิได้มีอำนาจไประราน
ผู้อื่น แต่ตัวพระองค์เองนั่นแหละเพคะ ที่ใช้อำนาจของตนระราน
ผู้อื่น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ “ที่กุ้ยเฟยกลายเป็นคนเสียสติ รวมถึง
การตายของผิงอ๋อง ฮองเฮาเองคงไม่คิดว่าไทเฮาจะสงสัยและ
โกรธแค้นหม่อมฉันเพียงคนเดียวใช่ไหมเพคะ”
สีหน้าของฮองเฮาในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง
“ฮองเฮาเองคงรู้อยู่แก่ใจ เหตุใดต้องให้หม่อมฉันเอ่ยย้ำอีก
เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงสาธยายต่อ “ต่อให้หม่อมฉันต้องถูกลงทัณฑ์
ก็คงมีความผิดแค่โทษฐานสมรู้ร่วมคิดเท่านั้น ทั้งเรื่องสุริยุปราคา
เรื่องที่พระสนมอันเสียทายาทในครรภ์ เรื่องที่ผิงอ๋องถูกฟ้าผ่า เรื่องที่
ฮ่องเต้โกรธจนล้มป่วย เรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดนี้จะกล่าวโทษ
หม่อมฉันก็ได้ แน่นอนว่าไทเฮาคงไม่ปล่อยหม่อมฉันไว้แน่ อีกทั้งคง
ยิ่งไม่ปล่อยคนที่อยู่เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหลายนี้ไว้แน่ๆ
เพคะ ในช่วงเวลาเช่นนี้ อำนาจและบารมีของไทเฮาที่นับวันยิ่ง
แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่องทุกเรื่องในวังล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไทเฮา หากประตูวังถูกปิดลง ใครจะล่วงรู้ได้ว่า ยังมีฮองไทเฮาอีก
คนที่ยังอยู่ตรงนี้ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ไม่มีใครรับรู้ได้”
“โอหังนัก!” ฮองเฮาขึ้นเสียง
เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยอะไรต่อ ยิ่งทำให้ฮองเฮาโกรธจน
เลือดขึ้นหน้า พลางลุกขึ้นย่ำเท้า
“ไม่ว่าเจ้าตั้งใจจะรักษาฝ่าบาทมากแค่ไหน แต่การที่เจ้า
เหิมเกริมขนาดนี้ มันช่างน่าประหารให้ตายเป็นหมื่นๆ หนเชียว!”
ฮองเฮาเอ่ยพลางหยุดฝีเท้า “นี่นะหรือคือโรคที่เจ้าเคยบอกไว้ โรค
ที่จะพาข้าไปปรโลกน่ะ บ้าบอที่สุด”
เฉิงเจียวเหนียงยังคงไม่เอ่ยอะไร นางกลับก้าวเท้าแล้วเดินไป
ยังริมหน้าต่างที่มีแจกันดอกไม้วางอยู่
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร”
เฉิงเจียวเหนียงคว้าช่อดอกไม้ออกมาจากแจกัน จากนั้น
จึงปล่อยมือที่ถือแจกันลง
ฮองเฮาตกใจจนเผลอกรีดร้อง“หม่อมฉันได้เกร็ดความรู้กลับไปอีกแล้วสินะเพคะ หม่อมฉัน
ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าในวังแห่งนี้จะเลี้ยงดอกไม้ในแจกันด้วย
ยาบำรุงร่างกาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เศษแจกันที่แตกกระจายบนพื้นเจือปนด้วยกากขยากของ
ยาบำรุงร่างกาย
“หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าไทเฮาทรงเป็นห่วงอาการป่วยของ
ฮองเฮานัก จึงนำยาบำรุงกำลังมาให้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่ายานี้จะได้ผลอย่างไร เหตุใดฮองเฮา
ถึงไม่กินเพคะ”
“ใครเป็นคนบอกเจ้า จิ้นอันจวิ้นอ๋องงั้นรึ” ฮองเฮาเอ่ยถาม
มิอาจคงสีหน้าแบบเดิมไว้ได้แล้ว มือของนางกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้
แน่น
“ฮองเฮาเพคะ ถึงแม้หม่อมฉันมิอาจรักษาฮ่องเต้ได้ แต่อย่าง
น้อยหม่อมฉันก็มีความรู้เรื่องยาพวกนี้ ยาของฮ่องเต้กับยา
บำรุงกำลังพวกนี้มันมีกลิ่นที่ต่างกันอยู่ ฮองเฮาอาจหลอกคนอื่นได้
แต่หลอกหม่อมฉันมิได้หรอกเพคะ”ไทเฮามีท่าทีเปลี่ยนไป
“เหตุใดฮองเฮาถึงไม่กินยาเพคะ ทั้งฝ่าบาทและฮองเฮาจะได้
เสด็จเยือนปรโลกพร้อมๆ กันอย่างไรเล่าเพคะ ผู้คนจะได้ชื่นชมและ
ระลึกถึงท่านบ้าง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
ฮองเฮาเริ่มทำหน้าห่อเหี่ยว
“นั่นสินะ แม่นางพูดถูก อีกไม่นานข้าก็คงจะจากไป เพียงแต่
จะต้องให้ข้าทำเช่นไร”
…
เสียงตบโต๊ะดังเผียะ
“ว่ามา พวกเจ้าจะเอายังไง”
ไทเฮาเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
“พวกเจ้ารังเกียจที่หลานข้าเป็นคนสติไม่สมประกอบสินะ กลัว
ว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างนั้นสิ แล้วพวกเจ้ามีความเห็นอย่างไรล่ะ
มีเพียงชิ่งอ๋องเท่านั้นที่สืบเชื้อสายเลือดโดยตรง แล้วพวกเจ้าไม่คิด
หรือว่าข้าเองก็ไม่อยากให้ต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเหมือนกันน่ะ”“ไทเฮาโปรดใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าข้าราชสำ นักต่างพากันโค้งขอขมา
“หยุดพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว!” ไทเฮาเริ่มบันดาลโทสะ “ข้าไม่
มีเวลามาชักแม่น้ำทั้งห้ากับพวกเจ้า ในวันนี้ข้าก็แค่ต้องการจะบอก
พวกเจ้าว่า ข้าเหลือหลานชายแค่คนเดียวแล้ว พวกเจ้าก็ตัดสิน
กันเองแล้วกัน!”
ประโยคสุดท้ายทำเอาทั้งห้องตะลึงกันใหญ่ ดูเหมือนไทเฮา
จะพูดแรงไปหน่อย
คนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขามีที่ไหนจะกล้าตัดสินใจเรื่องแบบนี้
เองกันเล่า!
เป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ อารมณ์ของฮูหยินมักคาดเดาได้ยาก
เหล่าขุนนางต่างหันมองหน้าสบตากัน จากนั้นก็ส่ายหัว
ในเมื่อจะให้ชิ่งอ๋องสืบทอดตำแหน่งและขึ้นครองราชย์ อย่างไร
เสียจำ เป็นต้องมีไทเฮาคอยดูแลราชการหลังม่าน
แต่ว่า สภาพไทเฮาเช่นนี้ พวกเขาแทบไม่อยากจะคิดเลยว่า
ต่อไปจะลงเอยท่าไหน“กระหม่อมขอสถาปนาให้ชิ่งอ๋องขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร”
เฉินเซ่าลุกขึ้นยืนแล้วประกาศ
ทั้ง
ตำหนักตกอยู่ในความตะลึง
คาดไม่ถึงว่าเฉินเซ่าจะเป็นผู้สถาปนาเองกับมือ
คนดีๆ อย่างเขาสุดท้ายก็ต้องมาตกม้าตายเพราะ
สภาพแวดล้อมอันน่ารังเกียจ ในเวลาแบบนี้ คงไม่มีใครกล้าทำตัว
เฉกเช่นเว่ยกวนกันแล้วสินะ
ดูเหมือนว่า พอไม่มีฮ่องเต้แล้ว เฉินเซ่าเองก็คงจะไม่ไหว
เช่นกัน
พวกเขาต่างก็ยังคงมองหน้าสบตาไม่พูดไม่จา
ที่จริงแล้ว คนของเกาหลิงปอรวมไปถึงตัวไทเฮาเองก็ตกใจ
ไม่น้อยกับคำพูดของเฉินเซ่า
เพราะตามหลักแล้ว คนที่จะออกมาปฏิเสธเรื่องนี้คนแรก
ควรจะต้องเป็นเฉินเซ่า หากเขาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยออกมา เขาก็
จะยังคงยืนหยัดคำพูดของเขาและพยายามหาทางพิสูจน์คำพูดของเขาให้ได้ และพอเป็นเช่นนี้แล้ว เขากับไทเฮาก็จะมีปากเสียงกัน จน
สุดท้ายเขาถึงจะยอมแพ้และลาออกจากตำแหน่งไป
คนอย่างเขาควรลาออกไปเสียแต่แรกตั้งนานแล้ว!
แต่ใครจะไปรู้าเขาจะออกตัวเห็นด้วยขนาดนี้!
นี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่นะ!
คนที่อยู่ในตำหนักต่างพากันหรี่ตามอง ไทเฮาที่นั่งชะงักอยู่
สักพัก พอได้สติก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้มดีใจ
ถึงแม้เกาหลิงปอจะไม่ชอบขี้หน้าเฉินเซ่านัก แต่ไทเฮารู้ดีว่าเขา
เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ นางเองก็ไม่อยากบังคับให้เขาลาออกจาก
ราชการในขณะที่ฮ่องเต้เองก็ยังล้มป่วยอยู่ นางเองก็รู้ดีว่าหากนาง
ทำเช่นนั้น เสียงตอบรับจากด้านนอกที่มีต่อนางคงไม่ดีแน่
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามนี้” ไทเฮาพยักหน้าพลางแจ้งพระ
ราชโองการให้ทราบโดยทั่วกัน
“บัดนี้พระวรกายของฝ่าบาทยังไม่สู้ดีนัก ราชกุมารเองก็ยังไม่
สมบูรณ์แบบพอ กระหม่อมจึงมีความประสงค์ให้ไทเฮาเข้ามาดูแลงานราชการไปก่อนในช่วงนี้” เฉินเซ่าเอ่ย
ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ทำหน้าตกใจกันยกใหญ่
เอาล่ะ ดูเหมือนพวกเขาไม่อาจจะเอากรณีของเว่ยกวน
มาเปรียบเทียบกับเฉินเซ่าได้แล้วสินะ
เรื่องนี้มันช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก!
เสียงปึงดังขึ้น ทันใดนั้นไทเฮาลุกขึ้นจากแท่นพระที่นั่ง พลาง
ชี้นิ้วไปที่เฉินเซ่า
“โอหังนัก! เฉินเซ่า! นี่เจ้ามองข้าเป็นคนแบบไหนกันรึ!” ไทเฮา
ตะโกนด่า
…
“อำมาตย์เฉินบอกไว้ว่าไม่กล้าอย่างนั้นอย่างนี้กับไทเฮา
เท่าไหร่นัก เพียงแต่…”
ขันทีที่กำลังเล่าเหตุการณ์ให้ไทเฮาฟัง ก็ค่อยๆ ลดเสียงต่ำลง
แล้วนิ่งไปชั่วครู่
“เพียงแต่อะไรรึ” ฮองเฮาเอ่ยถาม“เพียงแต่ อำมาตย์เฉินกลัวว่าจะซ้ำ รอยกรณีของหยางเจี้ยนที่
ก่อตั้งราชวงศ์สุยน่ะขอรับ” ขันทีเอ่ย[2]
ฮองเฮาหัวเราะลั่น
“อำมาตย์เฉินพูดแบบนี้เท่ากับตบหน้าไทเฮาชัดๆ ” นางเอ่ย
“คำพูดเสียดสีเช่นนั้นใครจะไปรับไหว”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ไทเฮาเองก็โมโหกระฟัดกระเฟียดทุบโต๊ะ
ทำลายข้าวของจากนั้นก็สะบัดเสื้อเดินหนีไปเลยขอรับ” ขันทีเอ่ย
เสียงเบา
“ดูท่าแล้ว คงไม่ง่ายเลยที่จะให้ไทเฮามาว่าราชการหลังม่าน
เนี่ย” ฮองเฮาเอ่ย แต่ใบหน้ากลับค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“ไทเฮาจะว่าราชการหลังม่านหรือไม่นั้น ไม่ว่าจะงานราษฎร์
งานหลวง หรืองานวังหลัง สำ หรับพระองค์แล้วคงไม่แตกต่างมาก
นัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
ฮองเฮานิ่งไปสักพัก แล้วเอ่ยถาม
“แล้วต้องทำเช่นไรจึงจะดูแตกต่างล่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงหันไปหานาง พลางเอ่ย“บุตรบุญธรรมไงเพคะ”
บุตรบุญธรรมอย่างนั้นรึ!
ฮองเฮาตกใจกับคำตอบ ถึงกับลุกขึ้นยืนพลางตะโกนใส่เฉิง
เจียวเหนียง
“แม่นางเฉิง! ในเมื่อเจ้าพูดมาขนาดนี้ แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรล่ะ
!”
[1] เจี่ยฮองเฮา หรือ เจี่ยหนานเฟิง เริ่มแทรกแซงการเมืองโดยหาวิธี
กำจัดขั้วอำนาจฝ่ายหยางไทเฮา และ หยางจวิ้น บิดาไทเฮา ซึ่งกุม
อำนาจบริหารและมีอำนาจบารมีมากมาย โดยนางใช้วิธียุยง
ปล่อยข่าวว่า บิดาของไทเฮาวางแผนกบฏ เจี่ยฮองเฮาส่งคนไปหาสุ
มาเว่ย อ๋องแคว้นฉู่ สุมาเว่ยประกาศระดมพลนำทัพมุ่งสู่เมืองหลวง
ลั่ว
หยางทันที เจี่ยฮองเฮาให้จิ้นฮุ่ยตี้ออกพระราชโองการปราบกบฏตระกูลหยาง ตระกูลหยางถูกฆ่า ส่วนหยางไทเฮาถูกปลดจาก
ฐานันดรศักดิ์เป็นสามัญชนและล้มตายด้วยความหนาวเหน็บและ
หิวโหยไปในที่สุด
[2] หลังจากที่จักรพรรดิซวนแห่งโจวเหนือล้มป่วยจนสวรรคต
จักรพรรดิโจวจิ้งตี้ก็ขึ้นมาครองราชย์สิริอายุเพียง 8 ขวบ ต่อมาเขา
ถูกแทรกแซงโดยพ่อตาของเขานามว่าหยางเจี้ยน และจากนั้นหยาง
เจี้ยนก็สถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิและปลดโจวจิ้งตี้ลง จึงสิ้นสุด
ราชวงศ์โจวเหนือ และก่อตั้งราชวงศ์สุยขึ้น