พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 571 มิแน่นอน
พวกขันทีนางกำนัลที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เดิมทีก็น้อย
อยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกถอดถอนออกไปอีกจำ นวนหนึ่ง
“หมอหลวงบอกว่า ฝ่าบาทต้องพักรักษาตัวอย่างสงบเงียบ
ฮองเฮาก็ควรพักผ่อนเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮองเฮาควรจะพักผ่อนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขันทีนอกตำหนักกระซิบพูดคุยกัน
พอเห็นว่าคนออกไปแล้ว บรรดาขันทีที่ยืนอยู่อีกด้านก็
ขมวดคิ้ว
“ออกมาทำไมเล่า” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“มีหมอหลวงอยู่น่ะ” คนที่ออกมาเอ่ยตอบแฝงไว้ด้วยความ
ไม่แยแส “วางใจเถอะ ยามนี้กระทั่งประตูตำหนักฮองเฮาก็ออกมา
ไม่ได้แล้ว”
นางกำนัลสองคนปิดประตูลง แล้วพยักหน้าให้ฮองเฮา
“แม่นางเฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่”ยามนี้ฮองเฮากดเสียงลงต่ำ เอ่ยกับเฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้า
คล้ายว่าโกรธเกรี้ยว
“บุตรบุญธรรม! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดเช่นนี้!”
นางเดินวนไปมา
“อำนาจของฮ่องเต้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น!”
“แต่บุตรบุญธรรม[1] ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าขัดขึ้น
“บุตรบุญธรรมเป็นการสืบทอดเชื้อสาย แล้วอำนาจจะตกไปอยู่ใน
มือคนอื่นได้อย่างไร”
พูดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะออกมา
“หากไม่มีบุตรบุญธรรมอำนาจของฮ่องเต้ก็จะตกไปสู่มือ
คนอื่น”
ผิงอ๋องที่สติสมประกอบคนหนึ่งยังทำลายบ้านเมือง หากให้
เป็นชิ่งอ๋องที่สติไม่สมประกอบมาแทน เกรงว่า
รัชสมัยที่มีมาสี่สิบห้าปีนี้คงจะล่มสลายลงแน่
ฮองเฮาหยุดฝีเท้ามองนาง“เชื้อสายอย่างนั้นรึ” นางเอ่ยขึ้น “หากฝ่าบาทไร้ทายาท
ก็แล้วไปเถอะ ยามนี้ฝ่าบาทยังมีทายาทอยู่นะสิ เจ้าว่าเจี่ยหนาน
เฟิงกับฮุ่ยตี้เหตุใดอู่ตี้รู้อยู่แก่ใจว่าโอรสโง่เขลาแต่ก็ยังให้สืบทอด
บัลลังก์เล่า เพราะนั่นคือทายาทของพระองค์ คือสายเลือดของ
พระองค์ คือเชื้อสายของพระองค์!”
“ลูกเลี้ยงก็สามารถทำได้เช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ลูกเลี้ยงก็สามารถเกิดการถกเถียงผูอี้[2]ขึ้นได้” ฮองเฮา
กัดฟันเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าไม่อยากให้ฝ่ายาทต้องมาแบ่งแยก
สายเลือดกับใคร และข้าก็ไม่อยากไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าบรรดา
ขุนนางอำมาตย์มากมายเพื่อทำเรื่องนี้ขึ้น ข้าจะมีหน้าไปพบ
บรรพบุรุษได้อย่างไร ข้าจะมีหน้าไปมองคนทั้งแผ่นดินได้อย่างไร ข้า
ยอมไปพร้อมกับฝ่าบาทดีกว่ามาแบกคำครหานี้เอาไว้”
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง
“คำครหาพวกนั้น ไม่ใช่เฉาไทเฮา[3]เป็นคนแบกไว้” นางเอ่ย
คำครหาพวกนั้นล้วนเป็นฮ่องเต้และบรรดาขุนนางใหญ่โตที่ทำ
เรื่องพรรค์นี้ขึ้นแบกเอาไว้ฮองเฮานิ่งอึ้งไป
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้!” นางสะบัดแขนเสื้อเอ่ยขึ้น “เรื่องพรรค์นี้
ใครอยากจะเสนอก็เสนอไป ข้าไม่อาจเสนอได้เด็ดขาด”
“เรื่องนี้ มีเพียงแค่ฮองเฮาเท่านั้นที่จะเสนอได้เพคะ” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ยบอก “บรรดาขุนนางมิควรออกปากเสนอขึ้นก่อนอยู่แล้ว”
บรรดาขุนนางอย่างนั้นหรือ มิควรอย่างนั้นหรือ ออกปาก
อย่างนั้นหรือ
ฮองเฮามองเฉิงเจียวเหนียง
นางบอกว่าบรรดาขุนนางไม่ควร แต่ไม่ได้บอกว่าบรรดา
ขุนนางไม่อาจทำได้ เช่นนั้นก็หมายความว่า…
เสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นนอกประตู
“ฮองเฮาเพคะ” เสียงนางกำนัลดังขึ้นด้านนอก
ยังไม่ทันขานรับ ผ้าม่านก็ถูกคนเลิกเปิดขึ้น
ฮองเฮาเห็นขันทีบุกเข้ามาสีหน้าก็พลันเขียวคล้ำ
“บังอาจ!” นางตวาดลั่น
สีหน้าขันทีกลับไม่หวาดกลัวเท่าใดนัก คำนับให้อย่างนอบน้อม“ไทเฮาให้ถามแม่นางเฉิงว่าอาการประชวรของฝ่าบาท
สามารถรักษาได้หรือ” เขาเอ่ยขึ้น
ไม่ทันได้รับอนุญาตก็บุกเข้ามาในที่บรรทมของฮองเฮา ซ้ำ ยัง
ถามข้ามหน้าข้ามตาฮองเฮาอีก สีหน้าฮองเฮาอึมครึมขึ้นมา ยาก
จะปกปิดความอับอายและกริ้วโกรธ
เฉิงเจียวเหนียงมองฮองเฮาแวบหนึ่ง
“ทูลไทเฮา ไม่ได้เพคะ” นางเอ่ย
“หากไม่ได้ละก็ แม่นางก็ออกจากวังไปเสียเถิด” ขันทีเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ แล้วคำนับให้ฮองเฮา
“เหนียงเหนียงโปรดรักษาร่างกายด้วย” นางบอก “ดีขึ้นมาก
เพียงนี้แล้ว คงไม่อาจกลับมาหนักเหมือนเดิมได้หรอกกระมัง ยาที่
ควรเสวยก็ยังคงต้องเสวยนะเพคะ”
ขันทีขมวดคิ้ว สายตากวาดมองระหว่างใบหน้าเฉิงเจียวเหนียง
และฮองเฮา
นางกำนัลคนหนึ่งยกถ้วยยาเข้ามาได้อย่างเหมาะเจาะ
“ไทเฮา” นางเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา…
“หมายความว่าฮองเฮาหยุดยาอย่างนั้นรึ”
ไทเฮาเอ่ยถาม
ขันทีพยักหน้า
“แม่นางเฉิงตรวจดูนางแล้ว เอ่ยโน้มน้าวให้ไทเฮาเสวยยาต่อ
หน่อยพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก
ไทเฮาแค่นเสียงเฮอะออกมา
“เล่นละครให้ใครดูกัน อยากจะตายก็ตายไปสิ” นางเอ่ยด้วย
อย่างเหยียดหยามและรังเกียจ “รีบร้อนไปทำไม เป็นเรื่องที่ไม่
ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
ประโยคนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยรับ บรรดาขันทีพากันก้มหน้ากัน
หมด
“ส่งนางออกไปหรือยัง” ไทเฮาเอ่ยถามอีกครั้ง
ขันทีขานตอบ
“พวกกระหม่อมส่งออกไปด้วยตัวเองเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบไทเฮาพยักหน้าด้วยความวางใจ ทันใดนั้นก็ทุบโต๊ะอย่างแรง
อีกหน
“เฉินเซ่า! เจ้าสารเลวนั่น! น่าโมโหนัก!”
…
ประตูตำหนักปิดสนิท คล้ายว่าฮองเฮาใช้เรี่ยวแรงไปทั้งหมด
แล้ว นางเอนกายพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลง
มีคนยื่นหน้ามาจากด้านหลังผ้าม่านด้านข้าง มองซ้ายทีขวาที
จึงหันมา
“ฮองเฮาเพคะ” พระสนมอันคุกเข่าลงข้างเตียงของฮองเฮา ยก
แขนเสื้อมาปิดหน้าแล้วร้องห่มร้องไห้
“พอได้แล้ว ข้าไม่ได้ตายเสียหน่อย” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบทั้ง
ที่หลับตาอยู่
พระสนมอันจึงหยุดร้องทันที ในดวงตาก็ไร้ซึ่งน้ำตาอยู่ ก้มหน้า
ลงมองฮองเฮา พลางมองซ้ายมองขวา
“มองอะไรอยู่นั่น มีอะไรก็ว่ามา ข้ายังไม่ถึงขั้นที่กระทั่งคำพูดก็
ไม่กล้าพูดไม่กล้าฟังหรอกนะ” ฮองเฮาเอ่ยขึ้นยังคงหลับตาอยู่พระสนมอันยิ้มเจื่อน คลานเข่าไปด้านหน้า
“ฮองเฮา แม่นางเฉิงบอกว่าอย่างไรบ้างเพคะ” นางถามขึ้น
ฮองเฮาหัวเราะ ลืมตาขึ้น กำลังจะเอ่ยออกมาแต่เห็นพระสนม
อันเสียก่อนจึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“เจ้าแสร้งฆ่าตัวตายให้มันสมจริงหน่อยได้หรือไม่ อย่างน้อย
บนคอก็มีรอยแดงบ้างเถอะ” นางเอ่ย “แล้วก็ในเมื่อเจ้าจะปฏิเสธ
อาหาร ก็เช็ดคราบขนมที่ปากให้มันสะอาดหน่อยไม่ได้เลยรึ”
พระสนมอันยิ้มแหยรีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปาก
“หม่อมฉันมาหาฮองเฮาไม่ใช่หรือ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก
เพคะ” นางเอ่ย
ฮองเฮามองพระสนมอัน
“บางครั้งข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าใจกล้าหรือว่าโง่กันแน่”
นางเอ่ยขึ้น
พระสนมอันวัยแรกแย้มสะสวยเผยรอยยิ้มงดงามออกมา
“หม่อมฉันมันโง่นี่นา และหม่อมฉันยังขี้ขลาดด้วย ตอนนี้
หม่อมฉันกลัวยิ่งนัก หากฝ่าบาทกับฮองเฮาสวรรคตไป หม่อมฉันก็ต้องตายด้วยเช่นกัน” นางเอ่ย
ฮองเฮาหัวเราะเย้ยหยัน
“พูดแบบนี้ คือเจ้ายังคงตั้งใจจะตายหลังข้าอย่างนั้นรึ” นาง
เอ่ย
“เช่นนั้นฮองเฮาจะต้องรักษาร่างกายให้ดีนะเพคะ” พระสนม
อันเอ่ยด้วยหน้าเหยเก
คงมีเพียงคนแบบนี้เท่านั้นกระมังที่น่าจะส่งไปต่อกรกับกุ้ยเฟย
ได้
จริงๆ เลย…
ฮองเฮายกมือขึ้นนวดหน้าผาก พรูลมออกมาแล้วลุกขึ้นนั่ง บน
ใบหน้าไหนเลยยังจะมีความโกรธกริ้วและกระวนกระวายเมื่อครู่อยู่
อีก
“แม่นางเฉิงย่อมพูดในสิ่งที่นางควรพูดอยู่แล้ว” นางเอ่ย “นาง
เป็นคนฉลาด นางรู้ว่าต้องพูดอะไร และรู้ว่าข้าอยากได้ยินสิ่งใด”
พระสนมอันขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูด“คนฉลาดพูดคำฉลาด สิ่งที่พูดล้วนเป็นคำพูดที่คู่สนทนา
ต้องการจะฟัง” ฮองเฮาเอ่ยขึ้น
พระสนมอันกระจ่างแจ้งแล้ว
“เช่นนั้นแล้ว ฮองเฮา นางรู้ว่าท่านมีแผนการนานแล้วหรือ
เพคะ” นางรีบเอ่ยถาม “ถึงได้พูดตามที่ท่านต้องการ แล้ว… แล้ว
นางคิดอย่างไร นางคงไม่ได้ปลอบท่านกระมัง”
“แน่นอนว่าไม่ นางก็เหมือนกันกับข้านี่แหละ” ฮองเฮาเอ่ย
หากไม่ได้รู้ว่านางมีเจตนาเช่นนี้ ข้าก็คงไม่เรียกนางเข้ามา
หรอก
หากไม่ใช่เพราะนางรู้ว่าข้ามีแผนการนี้ นางก็คงไม่เข้าวัง
มาหรอก
โรคที่ต้องตายน่ะหรือ ไม่ใช่โรคที่ต้องตายของข้าเสียหน่อย
ในเมื่อทุกคนมีเจตนาเดียวกัน เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว
“ฮองเฮา ขอให้ครานี้โชคดีสักหน่อยนะเพคะ” พระสนมอัน
นั่งคุกเข่าพลางเอ่ยพึมพำคราที่แล้วจัดการตามแผนได้ดีเพียงนั้นแท้ๆ สมดังปรารถนา
ทุกอย่าง คิดไม่ถึงว่าผิงอ๋องนั่นจะโดนฟ้าผ่าตาย ฮ่องเต้ก็โมโหจน
เป็นลมล้มไป เหลืออีกแค่นิดเดียวพวกนางก็จะสำ เร็จแล้ว ดันมาถูก
เล่นงานกลับจนรับมือไม่ทัน
“ฮองเฮาเพคะ ไม่รู้ว่าที่นางพูดถึงขุนนาง คือขุนนางไหนกันแน่
ถึงเวลานั้นจะได้แน่หรือ” พระสนมอันทนไม่ไหวอีกครั้งกระซิบ
ถามขึ้น
ได้ไม่ได้ก็ต้องทำ
ฮองเฮาลุกขึ้น
“ดวงของข้าดีมาตลอด” นางเอ่ย “อีกอย่าง ทำมาถึงเพียงนี้
แล้ว คงไม่พลาดก่อนสำ เร็จหรอกกระมัง”
อย่างไรเสียก็ตายอยู่ดี สู้ให้ถึงที่สุดดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจ
มองเห็นคนสติไม่สมประดีขึ้นครองราชย์ ทนดูไทเฮาดูแล
การบ้านการเมือง ทนมองตระกูลเกาถืออำนาจได้อยู่แล้ว
หากเด็กบ้านั่นขึ้นครองราชย์ จะปล่อยไทเฮาไว้ไม่ได้ นางผู้เป็น
ฮองเฮาผู้นี้จะเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองเองแต่ถ้าหากมีไทเฮาอยู่ ก็ไม่อาจให้เด็กบ้านั่นขึ้นครองราชย์
นอกจากกำจัดไทเฮาที่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็
มีเพียงเปลี่ยนคนขึ้นครองราชย์เท่านั้นที่จะทำได้
ฮองเฮาสูดหายใจลึกกำหมัดแน่น
ได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับมาแล้ว โจวฝูก็ถอนหายใจ พลาง
มองไปยังลานบ้าน แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามาลานบ้านที่
วุ่นวาย
“…ตรงนี้ ตรงนี้ใส่ตรงนี้…”
“ใส่ไม่หมดก็ไม่ต้องเอาไป…ทิ้งไว้ที่นี่ไม่ต้องเอาแล้ว…”
นายใหญ่โจวมองบ่าวรับใช้และแม่นมขนของขึ้นรถวุ่นวายไป
หมด
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ไม่ต้องไปแล้ว” โจวฝูเข้าไปหาแล้วเอ่ยบอก
กับเขา
นายใหญ่โจวหันกลับมามองเขา
“เจียวเหนียงกลับมาแล้ว” โจวฝูเอ่ยบอกไฟภายในห้องถูกจุดขึ้น นายใหญ่โจวฟังคำพูดของพวกบ่าว
รับใช้และชิงเค่อจบสีหน้าก็ซับซ้อน
“นึกไม่ถึงว่าอำมาตย์เฉินจะกล้าบีบบังคับไทเฮาให้ขับไล่เกาห
ลิงปอออกไป อีกทั้งยังอนุญาตให้ไทเฮาว่าราชการหลังม่าน เขาก็
กล้าพูดเสียจริง” เขาเอ่ยพึมพำ “ซ้ำ ยังหยิบยกตัวอย่างของหยาง
เจียนออกมาด้วย ยามนี้ไม่ว่าอย่างไรเกาหลิงปอก็ไม่อาจอยู่ใน
ราชสำ นักได้แล้ว”
“แต่เฉินเซ่าทำเช่นนี้ ก็ยากจะเลี่ยงถูกคนครหาว่าเอา
เยี่ยงอย่างโจโฉได้” ชิงเค่อเอ่ยขึ้น
“แล้วอย่างไรเล่า บรรดาขุนนางในราชสำ นักเลี่ยงการเกิด
ประวัติศาสตร์ซ้ำ รอยโจโฉ จะต้องแย่งกันเป็นพูดโน้มน้าว ต้องแย่ง
กันปกป้องฮ่องเต้แน่นอน” นายใหญ่โจวเอ่ย “อย่างไรเสียคำครหา
อย่างการบีบบังคับฮ่องเต้ให้สละบัลลังก์ก็มีสองคนนั้นแบกไว้แล้ว
ขุนนางที่เหลือก็เป็นขุนนางผู้ใสสะอาดที่ช่วยนายน้อยปกครองได้
อย่างสบายใจ ชื่อเสียงดีงามของขุนนางมือสะอาดเล่าสืบต่อไปเป็น
พันปี ใครบ้างจะอยากปฏิเสธ อำมาตย์เฉิน…”เขาเอ่ยพลางพยักหน้า
“เพื่อให้ทายาทของฝ่าบาทนั่งปกครองบ้านเมืองได้อย่างมั่นคง
ไม่เสียดายที่จะแบกคำครหาเอาไว้ และต้องขจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่
ไม่เนรคุณต่อพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท”
“หากเป็นข้า ข้าคงทำไม่ได้”
ทุกคนภายในห้องพยักหน้าด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความสะทก
สะท้อนใจ
“แต่ว่า” นายใหญ่โจวนึกบางอย่างขึ้นมาได้อีกเขานั่งตัวตรงขึ้น
“นี่มันไม่เกี่ยวกับพวกเรา เจียวเหนียงถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าไทเฮากับตระกูลเกาไม่มีเวลามาจัดการนาง
เป็นการชั่วคราว การแต่งตั้งรัชทายาทและ
ออกว่าราชการหลังม่านต่างหากที่สำ คัญ แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่านางจะปลอดภัย รอให้การแต่งตั้งรัชทายาทและ
ออกว่าราชการหลังม่านนี้ได้ข้อสรุปแล้ว นางได้โดนจัดการแน่
”
เอ่ยพลางลุกพรวดขึ้น“เร็วเข้ารีบเก็บของ ออกจากเมือง ออกจากเมืองหลวงกลับ
ส่านโจวอย่าได้พัก”
โจวฝูรีบลุกขึ้นดึงนายใหญ่โจวไว้
“ท่านพ่อ” เขาเอ่ยเรียก “มันก็ไม่แน่หรอก”
นายใหญ่โจวมองเขา
“ไม่แน่อะไรกัน” เขาเอ่ยถาม
“หลังจากตัดสินใจเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทและออก
ว่าราชการหลังม่านแล้ว” โจวฝูมองบิดา เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “นาง
จะโดนจัดการหรือไม่ก็ไม่แน่”
หลังจากการแต่งตั้งรัชทายาท นางจะโดนจัดการหรือไม่ก็
ไม่แน่…
นายใหญ่โจวมองลูกชาย รู้สึกเพียงว่าสมองดังกึกก้องขึ้น
“นี่เจ้าลืมไปแล้วรึ คนที่เป็นพ่อสื่อ คนที่ก่อเรื่องขึ้นมาคนแรก
คือใคร”
ผิงอ๋อง!
“พูดแบบนี้ เรื่องนี้หากไม่แก้ไขคงจะไม่ได้แล้ว”แก้ไขก็ง่ายดายนัก แค่เสียสิ่งแลกเปลี่ยนอย่างอนาคตของ
วงศ์ตระกูล
“นั่นก็แค่เรื่องเล็กๆ”
ใช่น่ะสิ เรื่องที่เคยมองว่าไร้ทางออก กลายเป็นเรื่องเล็กๆ เป็น
เรื่องเล็กๆ ที่จัดการแล้วเสร็จได้
หรือว่า ผิงอ๋องคนเดียวยังไม่เรียกได้ว่าสำ เร็จอย่างนั้นรึ
นายใหญ่โจวตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
โธ่ ท่านคงจะเห็นแล้วสินะ หลานสาวที่ท่านเฝ้าปกป้องเลี้ยงดู
มา แท้จริงแล้วเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่!
[1] บุตรบุญธรรม ในที่นี้คือมอบบุตรชายของตัวเองให้กับพี่ชายหรือ
ญาติที่ไม่มีลูกชาย นอกจากนี้ยังหมายถึงคนที่ไม่มีบุตรของตนเองก็
เอาบุตรชายของพี่ชายหรือญาติมาเป็นบุตรชายตัวเอง จึงมี
สายเลือดของตระกูล ไม่ได้รับเด็กของคนอื่นมาเลี้ยง[2] การถกเถียงผูอี้ การถกเถียงในรัชสมัยพระเจ้าซ่งอิงจงเคารพต่อ
บิดาแท้ๆ ทำให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองหลายครั้ง ความว่าพระ
เจ้า
ซ่งเหรินจงไร้ทายาท หลังจากสวรรคต โอรสของผูอันอี้อ๋องจ้าว
อวิ๋นรั่งอย่างจ้าวสู่ขึ้นครองราชย์ต่อ ฉายานามว่าพระเจ้าซ่งอิงจง
พระเจ้าอิงจงครองราชย์ได้ครึ่งเดือน อำมาตย์หันฉีและพรรคพวกได้
ทูลขอให้หารือเรียกฐานันดรของบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าอิงจง
จึงก่อให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น บรรดาขุนนางต่างต่อต้าน แต่เพื่อ
ฐานันดรของบิดาแท้ๆ ของตนพระเจ้าอิงจงจึงขับไล่หลี่ว์ฮุ่ย หลี่ว์ต้า
ฝ่าง ฟ่านฉุนเหรินออกไป ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ใช้เวลาไปทั้งหมดสิบแปดเดือน ประวัติศาสตร์เรียกว่า ‘การถกเถียง
ผูอี้’
[3] เฉาไทเฮา เป็นมารดาบุญธรรมของพระเจ้าซ่งอิงจง พระเจ้า
ซ่งอิงจงไม่ลงรอยกันกับเฉาไทเฮา นางเคยฟ้องร้องต่ออำมาตย์ว่า
พระเจ้าซ่งอิงจงไม่เคารพกตัญญู