พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 573 วิพากษ์วิจารณ์
ริมถนนจอแจ เรือในแม่น้ำสัญจรผ่านไปมาไม่ขาดสาย
ฉินหูเบนสายตามองไปภายในแม่น้ำ
“…พวกเจ้าได้ยินข่าวกันหรือไม่ ในราชสำ นักจะให้โอรส
บุญธรรมมาสืบบัลลังก์แล้วนะ”
“…ฮองเฮาเป็นผู้เสนอขึ้นมาล่ะ…”
“…ฮองเฮานี่ก็ช่างกล้าเสนอ นางไม่กลัวจะโดนครหาลับหลัง
หรือไร”
“…นั่นนะสิ ท่านลุงรองของน้องสะใภ้ของลุงสามบ้านข้าไม่มีลูก
สะใภ้ทุบหม้อขายเหล็กใบแล้วใบเล่าเพื่อซื้ออนุ เป็นตายร้ายดี
อย่างไรก็ไม่กล้าพูดคำว่าลูกบุญธรรมออกมาสักคำ…”
“…ลูกบุญธรรม กิจการครอบครัวที่ลำบากลำบนสร้างมาทั้ง
ชีวิตก็ยกไปให้คนอื่นๆ เช่นนี้น่ะรึ มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน ใครจะไป
ยอม”เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่อยู่ข้างหู ฉินหูเบนสายตามองตาม
ไป
นั่นนะสิ มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน ฝ่าบาทไม่ได้ไร้โอรสเสียหน่อย
ทั้ง
ไม่ได้สูญสิ้นทายาทสืบทอด คนพวกนี้จะกล้าได้อย่างไร
จะกล้าไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!
รังแกฝ่าบาทให้ประชวรหนัก ปิดปากไม่อาจพูดได้ พอพูดไม่ได้
ก็ด่าว่าพวกเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ทำเรื่องอกตัญญูเนรคุณไร้คุณธรรมหลอกลวงกษัตริย์ไร้
ซึ่งความละอายใจเช่นนี้ เห็นขุนนางข้าราชบริพารตายตายกันหมด
ไปแล้วหรือไร!
ฉินหูยกมือขึ้นทุบโต๊ะลงอย่างแรง
เสียงนั้นพาลให้ผู้ดูแลตกอกตกใจขึ้นอีกรอบ
“ชา” ฉินหูเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลร้านรีบพยักหน้าขานรับทันที เขาหยิบถ้วยชาที่สะอาด
ที่สุดชุดหนึ่งมารินชาให้แล้วรีบหลบไปทันที
กลิ่นหอมของชาอบอวล สายตาฉินหูเบนไปยังแม่น้ำอีกครั้งฮองเฮาเอาความกล้ามาจากไหน นางไม่รู้ถึงผลที่ตามมาหรือ
ไร อยู่บ้านต้องคิดกตัญญู รับใช้กษัตริย์ต้องนึกถึงความจงรักภักดี
นางโต้แย้งพระประสงค์ของไทเฮาอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งยังไม่สนใจว่า
ฮ่องเต้ทรงมีทายาทอยู่อย่างเปิดเผยอีก แบกคำครหาอย่างคำว่าไม่
จงรักภักดีและเนรคุณเอาไว้เพื่อเสนอโอรสบุญธรรมนี้ เอาความกล้า
มาจากไหนกันแน่
ความกล้าที่จางฉุนสนับสนุนหรือ
จางฉุน…
ฉินหูลูบถ้วยชาไปมา จางฉุนไม่ใช่คนที่จะมาเข้าร่วมเรื่อง
ทายาทการสืบทอดเช่นนี้เลย และยิ่งไม่น่าเกี่ยวพันอะไรกับฮองเฮา
ด้วย
เขาจะทำได้อย่างไร
“อันที่จริงฮองเฮาทำเช่นนี้ก็มีเหตุผลนะ”
เหตุผลอย่างนั้นรึ
ฉินหูย้ายสายตามองไปด้านข้าง ด้านนั้นมีคนสี่ห้าคนนั่ง
กระจายกันอยู่กำลังกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กัน หนึ่งในนั้นพิงเสาธงข้างกายไว้ บนเสาธงมีคำว่าวาจาสิทธิ์เขียนอยู่
ฉินหูขมวดคิ้ว คนอื่นๆ ก็มองไปยังหมอดูคนนั้นเช่นกัน
“เหตุผลใดหรือ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ไม่ควรมอบกิจการ
ของบ้านสามีให้คนอื่นอยู่ดี”
“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร กิจการของราชวงศ์เหมือนกับ
กิจการห่วยๆ ของบ้านลุงรองเจ้าหรือไร นั่นล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ได้
เลือกมาแล้วเชียวนะ”
ลิขิตสวรรค์อย่างนั้นรึ
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนที่ฮองเฮาจะเสนอเรื่องนี้ได้พบใคร
มาก่อน แม่นางเฉิงน่ะสิ! ศิษย์แห่งเทพเซียนเฉิงเจียวเหนียง! แล้ว
พวกเจ้ารู้เรื่องไท่ไป๋จรัสฟ้าหรือไม่ ไท่ไป๋จรัสฟ้าได้ทำนาย
ถึงอันตรายต่อรัชทายาท อีกนัยก็คือกิจการของราชวงศ์จะต้อง
เปลี่ยนคนสืบทอดแล้ว แม่นางเฉิงนั่นเป็นศิษย์ของเซียน ย่อมรู้ว่า
ใครเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง…”
เสียง ปั้ง ดังขึ้น ขัดจังหวะการพูดคุยของทางนี้ขึ้น ผู้คนหันไป
มองอย่างตื่นตระหนก เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งสีหน้าเขียวคล้ำมองมายังพวกเขา
ภายในร้านน้ำชาเงียบงันไปทั้งบริเวณ หมอดูคนนั้นคว้าธงไม้
ไผ่หันหลังแล้ววิ่งหนีทันที
ยามนี้ในราชสำ นักยังคงวิพากษ์ถกเถียงเรื่องเชื้อสายราชวงศ์
อยู่ หากจะไต่ถามต่อไปจริงๆ ได้โดนตัดหัวแน่!
เคยมีราชนิกุลคนหนึ่งแค่อ่านตำราปรากฏการณ์ท้องฟ้า ก็โดน
ตัดสินว่าคิดกบฏแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเขากลุ่มนี้กำลังถกเถียงกันอยู่
ว่าใครเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริงกันแน่ ใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วกระมัง
เห็นหมอดูวิ่งเผ่น
แนบไป คนที่เหลือก็หลุดจากภวังค์ แยกย้ายกันไปด้วยเสียง
โหวกเหวก
ผู้ดูแลร้านน้ำชาที่น่าสงสารนิ่งตะลึงงันไม่กล้าตามไปทวงเงิน
มองเด็กหนุ่มคนนี้จนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“ใต้เท้าน้อย นี่ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยเลยสักนิด ข้าน้อยไม่ได้ยิน
อะไรทั้งนั้นขอรับ” เขาประสานมือสั่นๆ เอ่ยขึ้น
ฉินหูพรูลมออกมาที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้พวกเขาเหล่านี้ต้องการใช้ประโยชน์จาก
สิ่งนี้นี่เอง
ตอนนั้นจู่ๆ ฮองเฮาก็เรียกนางเข้าวัง จากนั้นก็เสนอเรื่องโอรส
บุญธรรมขึ้น ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของนาง ใช้ประโยชน์จาก
ลิขิตสวรรค์มามัวเมาสร้างชื่อเสียงและอิทธิพลต่อประชาชน
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้า!
เขาเคยบอกไปนานแล้วจิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังใช้ประโยชน์จาก
นาง เขาบอกไปนานแล้ว! พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากนาง!
นางเข้าเฝ้าฮองเฮา จากนั้นฮองเฮาก็เสนอเรื่องโอรสบุญธรรม
ขึ้น ยากจะรับประกันได้ว่าไม่มีใครคาดคิดไปถึงว่านางกับฮองเฮา
พูดคุยอะไรกัน บอกว่ารัชทายาทมีอันตรายได้ ก็ย่อมบอกว่าใครเป็น
รัชทายาทได้เช่นกัน…
อาลักษณ์หลวงฉินที่กลับมาด้วยความเหนื่อยล้าพยักหน้าให้
ฉินหูหลังจากที่ฟังเขาพูดจบ
“ทุกคนคิดไปถึงจุดนี้ของนางกันหมดแล้วจริงๆ” เขาเอ่ย
“จังหวะที่ฮองเฮาเสนอความคิดนี้ขึ้นทำให้คนอดคิดขึ้นมาไม่ได้”“ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ฮองเฮาและจิ้นอันจวิ้นอ๋องได้วางแผนเอาไว้
เรียบร้อยแล้ว” ฉินหูเอ่ย “ตั้งแต่ตอนที่ดาวพระศุกร์จรัส
ฟ้าเป็นต้นมา ก็ได้วางแผนเอาไว้แล้ว”
อาลักษณ์หลวงฉินเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“แม่นางเฉิงจะไม่รู้สักนิดเลยหรือไร” เขาเอ่ยขึ้น
“นางไม่รู้” ฉินหูโพล่งขึ้นทันที “คนแบบนางใจกว้างไม่เสแสร้ง
พวกท่านกล้าถามนางก็กล้าตอบ ส่วนพวกเขาถามไปเพื่ออะไรนั้น
นางไม่สนใจและไม่ใส่ใจด้วย นางก็แค่พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ คนพูด
ไม่ได้ตั้งใจ คนฟังกลับเก็บเอามาใส่ใจ คนทำไม่มีเจตนา คนมอง
กลับคิดไกล”
พูดถึงตรงนี้ก็กำหมัดแน่นอีกครั้ง
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องใช้ประโยชน์ในจุดนี้ของนาง”
อาลักษณ์หลวงฉินมองฉินหู
“ชายสิบสาม เจ้าคิดแบบนี้ มีอคติหรือไม่” เขาโพล่งถามขึ้น
ฉินหูนิ่งอึ้ง ทันใดนั้นก็ยิ้มขื่นออกมา“ท่านพ่อ รักผู้ใดต้องให้รางวัลเขาด้วยความรู้สึกส่วนตัว
ชังผู้ใดก็ลงโทษเขาด้วยความรู้สึกส่วนตัว ในสายตาท่านพ่อลูกเป็น
คนไร้คุณธรรมเช่นนี้หรือนี่” เขาเอ่ยขึ้น
อาลักษณ์หลวงฉินหัวเราะออกมา
“ข้าหมายความว่าคนเราย่อมมีความเห็นแก่ตัว สูญเสีย
ความเป็นธรรมอย่างยากจะเลี่ยงได้” เขาเอ่ย
“ข้ารู้ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องกับนางรู้จักกันมาไม่นานมานี้เอง แต่
ความคิดที่ข้ามีต่อจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ท่านพ่อกระจ่างแจ้งมาโดยตลอด
อยู่แล้ว” ฉินหูเอ่ย “เคยเปลี่ยนไปด้วยหรือ”
อาลักษณ์หลวงฉินอมยิ้มพยักหน้า
ใช่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาที่เป็นบรรดาราชนิกุล
ไม่เห็นด้วยกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงดูอยู่ในวัง
มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเติบโต
เป็นผู้ใหญ่แล้ว
ยามนี้ดูๆ แล้ว ตอนนั้นไม่เห็นด้วยล้วนไม่ใช่เรื่องไร้สาระดังที่
คิดไว้จริงๆ“เกิดอะไรขึ้นกับจางฉุนผู้นั้นอีกก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลา
เบาปัญญาที่จะเชื่อเรื่องพรรค์นี้!” เขาเอ่ยต่อพลางขมวดคิ้ว
ฉินหูเม้มปาก
“ท่านพ่อ รู้หรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีคนประเภทหนึ่งที่แม้บุญคุณ
เท่าน้ำหยดเดียว ก็จะตอบแทนดุจสายธาร แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทุ่ม
สุดตัวเพื่อขอบคุณ” เขาเอ่ยถาม
“มีน่ะมันมีอยู่แล้ว แต่เห็นได้น้อยนัก” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย
แย้มยิ้มเอ่ยอีกว่า “พูดน่ะมันง่าย แต่ทำยาก”
ฉินหูหัวเราะ
“ข้าเคยเห็น เดิมทีคิดว่ามีแค่คนนี้ ยามนี้ดูท่าแล้วบางทีอาจจะ
มีสอง” เขาเอ่ย
… ม่
านราตรีโรยตัวลงมา ภายในห้องตกสู่ความมืดมิดไปทั่วทั้ง
บริเวณ
“ฝ่าบาท!”มีคนผลักประตูเข้ามา รีบร้อนจุดไฟ แสงไฟสว่างวาบสาดส่อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ
“ฝ่าบาท ท่านเขียนเสร็จหรือยัง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองกระดาษบนโต๊ะ เขียนแค่คำว่าขุนนางอยู่
คำเดียว
“ฝ่าบาท! ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้อีกแล้ว” ชิงเค่อของจิ้นอันจวิ้น
อ๋องเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “หากไม่เขียนอีก เช่นนั้นได้กลายเป็นเป้าให้
ทุกคนโจมตีแน่!”
ฮองเฮาเสนอโอรสบุญธรรมขึ้นมา ก็เหมือนพายุคลั่งที่พัดผ่าน
ทำให้สถานการณ์ในราชสำ นักที่เดิมทีตึงเครียดอยู่แล้วยิ่งวุ่นวาย
ขึ้นไปใหญ่ ข้าราชบริพารโกลาหล บรรดาราชวงศ์ราชนิกุลก็เช่นกัน
พวกราชนิกุลทุกคนต่างพากันปิดประตูไม่รับแขก กลัวอย่างเดียวว่า
จะโดนวิจารณ์ว่ามีใจไม่สัตย์ซื่อ
และหนึ่งในคนที่ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนให้สนใจนั้นย่อมเป็นจิ้น
อันจวิ้นอ๋องแน่นอนถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวงตั้งแต่เล็ก เติบโตอยู่เบื้องพระพักตร์
ฮ่องเต้ มีฐานันดรจวิ้นอ๋องได้รับจวนชินอ๋องมา ฮ่องเต้ไว้เนื้อเชื้อใจ
ไทเฮาฮองเฮารักใคร่เอ็นดู
โอรสบุญธรรม ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครอีก!
คำพูดที่เสนอขึ้นมาของฮองเฮาช่างเหนือการคาดการณ์นัก
ยากจะเลี่ยงข้อนครหาว่าฮองเฮาอาศัยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวรหนัก
และผิงอ๋องสิ้นพระชนม์ ชิ่งอ๋องสติไม่สมประดี กับราชวงศ์ ก็เป็นจิ้น
อันจวิ้นอ๋องวางแผนครองบัลลังก์ พอถูกตัดสินเช่นนี้แล้ว คำ
วิพากษ์วิจารณ์จากปวงชนล้วนมองพวกเขาเป็นกบฏ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะต้องเขียนหนังสือ
พิสูจน์ความบริสุทธิ์ทูลขอออกจากวัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้น
ไม่ได้มีใจคิดอยากครองบัลลังก์
“ข้าไปแล้ว ลิ่วเกอร์ทำอย่างไร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“ฝ่าบาท คนทั่วทั้งราชสำ นักย่อมปกป้องชิ่งอ๋องอยู่แล้ว ท่าน
วางใจก็พอ เขาเป็นฮ่องเต้แล้ว ไม่มีใครมาทำอะไรเขาได้หรอก
พ่ะย่ะค่ะ” ชิงเค่อเอ่ยด้วยความร้อนใจจิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้ม
“นั่นสินะ เขาเป็นฮ่องเต้แล้ว ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ และไม่
มีใครมองเขาว่าเป็นคนด้วยเช่นกัน” เขาเอ่ย “เจ้าไม่เคยได้ข่าวที่
แพร่ออกมาจากวังเลยหรือว่าคนฝั่งไทเฮาดูแลเขาอย่างไร เพื่อไม่ให้
เขาตะโกนโหวกเหวก ได้เริ่มป้อนยานอนหลับให้เขากินแล้ว! ไทเฮา
ไหนเลยจะไปสนใจเขา ไทเฮาก็แค่ต้องการคนแบบเขา คนที่
มีฐานันดรแบบเขา พวกเขาไม่มีใครมองเขาเป็นคนกันสักคน ก็แค่
เอาเขามาเป็นของประดับ วางเขาไว้ตรงนั้นพวกเขาจะได้ทำงานกัน
สะดวก”
ชิงเค่อหลบตามองต่ำถอนหายใจ
“แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยเสียงเบา “ให้พูดอย่างเนรคุณ
หน่อยก็คือ ไม่ว่าจะทำกับชิ่งอ๋องอย่างไร ชิ่งอ๋องก็เป็นเหมือนเดิม”
ไม่ว่าจะทุ่มเทตั้งใจปกป้องหรือทำชุ่ยๆ แบบขอไปที สำ หรับ
ชิ่งอ๋องที่ไร้สติระลึกรู้ไร้ความรู้สึกก็เหมือนกันทั้งนั้น
“แต่สำ หรับข้าไม่เหมือน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตบโต๊ะเอ่ยว่า
“สำ หรับข้าไม่เหมือน แค่ข้านึกไปถึงก็วางใจไม่ลง กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว!”
ชิงเค่อมองเขา
“แล้วฝ่าบาทจะทำอะไรได้” เขาเอ่ย “ท่านไม่อาจเฝ้าเขาไว้ได้
แล้ว เขาไม่ใช่ชิ่งอ๋องแล้ว เขาคือรัชทายาท คือฮ่องเต้แล้ว ท่านเฝ้า
เขาไว้ต่อไป คนอื่นก็จะวิพากษ์วิจารณ์ท่านได้”
“คำวิจารณ์ของคนอื่นไม่เกี่ยวกับข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ชิงเค่อนิ่งอึ้ง
“ฝ่าบาทหมายความว่าท่านจะไม่ทูลขอออกจากวังหรือ” เขา
ถามอย่างตกใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองกระดาษบนโต๊ะ
“ใช่” เขาบอก “ข้าไม่ออกจากเมืองหลวงและจากชิ่งอ๋องไป
แบบนี้เพื่อชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของข้าหรอก จะวิจารณ์ก็วิจารณ์ไป
เถอะ”
พูดถึงตรงนี้ก็เหมือนได้ปลดภาระหนักอึ้งลง แฝงไว้ด้วย
รอยยิ้มผ่อนคลายไม่น้อย“หากข้าไปแล้ว หากเขียนหนังสือทูลขอออกจากวัง หาก
ร้องห่มร้องไห้อย่างเจ็บปวดบอกว่าตัวเองไม่ได้คิดกบฏ เช่นนั้นแล้ว
เจ้าคิดว่าจะไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์หรือ” เขายิ้มเหน็บแนม “ข้าไม่ไป
พวกเขาก็จะวิพากษ์วิจารณ์ว่าข้าแอบซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้ หากข้า
ไป พวกเขาก็จะวิพากษ์วิจารณ์ว่าข้าแสร้งตีหน้าซื่อ คิดอยากจะได้
แต่ทำทีปฏิเสธและใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าข้าจะทำเช่นไร พวกเขาก็มีคำมาวิจารณ์อยู่ดี เพราะ
สิ่งที่พวกเขาวิจารณ์นั้นไม่ใช่การกระทำของข้า แต่เป็นข้า ในเมื่อเป็น
เช่นนี้แล้ว เหตุใดข้าต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไรด้วย ข้ารู้
ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ข้าเองสงบและสบายใจก็พอ”
ชิงเค่อมองเขา สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วฝ่าบาทจะแบกรับความไม่เป็นธรรมมากมายนี้เอาไว้หรือ
” เขากระซิบเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองกระดาษบนโต๊ะ ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาแล้ว
ขยำเป็นก้อน ยกมือขึ้นโยนออกไป“แต่ว่า เหตุใดจู่ๆ ฮองเฮาจึงเสนอเรื่องนี้ขึ้น อีกทั้ง ว่ากันว่า
ฮองเฮาได้พบกับแม่นางเฉิงจึงได้…” ชิงเค่อนึกบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“ง่ายนิดเดียว ถามนางดูก็รู้แล้ว เหตุใดต้องมาวิจารณ์ลับหลัง
ด้วย” เขาเอ่ยพลางยันโต๊ะลุกขึ้น
ถามดูอย่างนั้นรึ
ชิงเค่อมองไปด้านนอกด้วยความตกใจ
ตอนนี้น่ะรึ
“ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยบอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่สาวเท้าเดินไปด้านนอกแล้ว ได้ยินก็หันหน้า
กลับมาหัวเราะให้
“ยามนี้ข้ามีคำครหาติดตัว ยังสามารถไปพบนางตอน
กลางวันแสกๆ ได้อีกหรือ ได้โดนคนพ่นน้ำลายใส่จนตายแน่” เขา
บอก “แม้ว่าข้าจะไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ไม่อยากตายนะ
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		