พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 575 รู้
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นด้านนอกประตู
“แม่นางสิบแปด…”
พร้อมกับเสียงเรียกของแม่นม แม่นางเฉินสิบแปดได้เปิด
ประตูออก
นายใหญ่เฉินที่นั่งพูดคุยกับเฉินเซ่าอยู่ตรงกลางห้องหันหน้า
มามอง
“แม่นางสิบแปด…” บรรดาแม่นมเดินตามมาด้วยสีหน้าเหยเก
พลางคิดจะลากนางออกไป
นายใหญ่เฉินโบกมือให้แม่นม
“เจ้ามาได้อย่างไร” เขาเอ่ยถาม ยิ้มให้แม่นางเฉินสิบแปดแล้ว
เรียกนางมา “มา นั่งตรงนี้”
พวกแม่นมต่างพากันออกไปแล้วงับประตูให้
“ท่านพ่อ” แม่นางเฉินสิบแปดนั่งลงไม่ทันได้คำนับก็มอง
เฉินเซ่าพลางเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เหตุใดท่านไม่สนับสนุนชิ่งอ๋องขึ้นเป็นหวงไท่จื่อแล้วล่ะ”
เฉินเซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้เสียหน่อย” เขาบอก
“ท่านพ่อ ด้านนอกเขาพูดกันให้ทั่วแล้ว” แม่นางเฉินสิบแปด
เอ่ย “ท่านพบกันกับท่านอาจารย์จางเจียงโจวแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้
คัดค้านเขาด้วย”
“พ่อไม่ได้คัดค้านเหตุผลของเขา” เฉินเซ่าบอก
ท่านอาจารย์จางเจียงโจวผู้นี้มีวาทศิลป์และมีวิชาความรู้ ต้อง
การพิสูจน์ข้อคิดเห็นกับเขา คนที่สามารถเป็นคู่แข่งกับเขาได้อย่าง
สมน้ำสมเนื้อมีอยู่ไม่มาก
แม่นางเฉินสิบแปดลุกขึ้นพรวดพราด
“เช่นนั้นแล้วก็หมายความว่าท่านก็เห็นด้วยกับความคิดเห็น
ของเขาหรือ ท่านก็จะสนับสนุนชิ่งอ๋องหรือ” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนี้!”
นายใหญ่เฉินขมวดคิ้วเอ่ยขัดนางขึ้น“แม่นางสิบแปด เจ้าพูดจาเช่นนี้กับพ่อเจ้าได้อย่างไร เช่นนี้
เรียกว่ากตัญญูรู้คุณหรือ” เขาเอ่ยขึ้น
“แล้วการกระทำเช่นนี้ของท่านพ่อมันกตัญญูรู้คุณต่อฝ่าบาท
หรือ” แม่นางเฉินสิบแปดเม้มปากเอ่ยขึ้น
ประโยคนี้เอ่ยออกไปภายในห้องก็เงียบสงัด
“ฝ่าบาทมีโอรสแท้ๆ อยู่ นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะทอดทิ้งโอรส
แท้ๆ ของฝ่าบาทไป ข้าว่าหากฝ่าบาทไม่ได้สลบไป พวกเขาคง
ไม่กล้าพูดไม่กล้าทำเช่นนี้แน่” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยด้วยสีหน้า
พลุ่งพล่าน “ที่พวกเขากล้า ก็เพราะรังแกฝ่าบาทให้ล้มป่วยจนไม่อาจ
พูดจาได้ ท่านพ่อ ท่านพ่อคำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท
ไว้ในใจมาตลอด แบกรับภาระหนักอึ้งอย่างแน่วแน่เพื่อให้ไม่ผิดต่อ
ฝ่าบาท แล้วตอนนี้ท่านพ่อก็จะตอบแทนฝ่าบาทคืนเช่นนี้น่ะหรือ นี่
คือความกตัญญูรู้คุณของท่านพ่อหรือ”
นายใหญ่เฉินถอนหายใจ
“สิบแปด หากไม่รักษาชะตากรรมของประเทศไว้ การ
บริหารบ้านเมืองวุ่นวาย ก็คือการเนรคุณต่อฝ่าบาทเช่นกัน” เขาบอก“ท่านปู่!” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยเรียก “ดังนั้นท่านพ่อจึงต้อง
แล่นเรือไปตามน้ำเพราะกลัวจะโดนคำครหาว่าเป็นขุนนางชั่วร้าย
ทำการบริหารบ้านเมืองวุ่นวายอย่างนั้นหรือ”
“หากพ่อกลัวคำครหา ตอนแรกก็คงไม่สนับสนุนชิ่งอ๋องเป็น
รัชทายาทหรอก!” เฉินเซ่าเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “สนับสนุนชิ่งอ๋องเป็น
รัชทายาท บีบบังคับไทเฮาไม่ให้มายุ่งเรื่องการเมือง เลือกที่จะเป็น
ขุนนางที่ช่วยเหลือด้านการเมือง พ่อจะโดนคนทั้งแผ่นดินมองว่าเป็น
คนอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือไร”
แม่นางเฉินสิบแปดมองสีหน้าของบิดา ท่าทางนั้นดูเหมือนทั้ง
เดือดดาลทั้งเสียใจ น้ำตานางไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
“แต่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงเปลี่ยนใจอีก” นางร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น
“นักปราชญ์บอกว่าหากทบทวนพิจารณาตัวเองแล้ว สามารถ
หนักแน่นมีเหตุมีผลไม่ละอายต่อมโนธรรมได้ ต่อให้เป็นกองทัพหมื่น
นายพันนายก็ไม่มีอะไรให้ต้องถดถอย ท่านพ่อทำไม่ได้แล้วหรือ”
เห็นลูกสาวร้องไห้เสียใจ เฉินเซ่าสีหน้าก็คลายลงมา“แม่นางสิบแปด เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเพียงนั้นหรอกนะ” เฉินเซ่า
เอ่ย “เจ้าไม่รู้หรอก”
ประโยคนี้ทำให้แม่นางเฉินสิบแปดนั่งตัวตรงขึ้นอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าไม่รู้อย่างนั้นรึ ข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่าชิ่งอ๋องเป็นโอรส
แท้ๆ ของฝ่าบาท เป็นสายเลือดหนึ่งเดียวของฝ่าบาท คนพวกนี้
แต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ต้องให้ชิ่งอ๋องจัดการเองอย่างไร!” นาง
เอ่ยทั้งน้ำตา
“แม่นางสิบแปด ชิ่งอ๋องไม่เหมาะสม” เฉินเซ่าถอนใจบอก
แม่นางเฉินสิบแปดมองบิดาแล้วแย้มยิ้มออกมา
“ไม่เหมาะสมอย่างนั้นรึ” นางเอ่ย “ดังนั้นท่านพ่อก็เลยเชื่อ
คำพูดของนางว่าจะต้องเลือกโอรสสวรรค์ที่แท้จริงอย่างนั้นรึ”
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“นางนี่หมายถึงใครอีก” เขาเอ่ยถาม
“นางก็คือคนที่บอกว่ารัชทายาทมีอันตราย รัชทายาทก็
ตกอยู่ในอันตราย นางบอกว่าโอรสสวรรค์เป็นอีกคน ฮองเฮาก็เสนอ
เรื่องโอรสบุญธรรมขึ้น” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย“แม่นางสิบแปด!” นายใหญ่เฉินเลิกคิ้วตวาด “คำพูดของ
ปวงชนที่โง่เขลา ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็เชื่อไปด้วย เจ้าเคยได้ยินนางพูด
กับหูตัวเองแล้วหรือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินมาก่อน เจ้ากล้าเชื่อว่านาง
พูดได้อย่างไร!”
คนที่เชื่อมีน้อยเสียที่ไหนกันล่ะ
คนที่เชื่อนางมีน้อยหรือไร
นางไม่ได้พูดอย่างนั้นรึ
‘ตราบใดที่ฝึกฝนให้มากขึ้น ก็จะสามารถเขียนสวยได้เหมือน
แม่นางเลยใช่หรือไม่’
‘ไม่ได้หรอก บางครั้งก็เป็นพรสวรรค์’
ไม่ได้! ไม่ได้! ไม่ได้!
บางครั้งก็เป็นพรสวรรค์! เป็นพรสวรรค์
ทั้ง
ๆ ที่ควรจะเป็นชิ่งอ๋องแท้ๆ ควรจะเป็นชิ่งอ๋อง ทั้งๆ ที่เป็น
ความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้แท้ๆ!
ดาวพระศุกร์จรัสฟ้า อันตรายมาเยือนรัชทายาทพยายามมุมานะบากบั่นไปไร้ประโยชน์ เพราะไม่ใช่ลิขิตสวรรค์
ดังนั้นจึงถูกฟ้าผ่าตาย
สายเลือดสายตรงก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่ใช่ลิขิตสวรรค์ ดังนั้น
จึงไม่อาจเป็นรัชทายาทได้
“ข้าไม่เชื่อ” แม่นางเฉินสิบแปดลุกพรวดขึ้น “ข้าไม่เชื่อว่าท่าน
พ่อคิดจะทำแบบนี้จริงๆ พูดถึงสุมาอี้อะไรนั่นเพื่อปั่นป่วนการ
บริหารบ้านเมือง หรือว่าจะเพราะแบบนี้ ทุกคนจึงไม่กล้าสนับสนุน
ให้ชิ่งอ๋องเป็นรัชทายาทแล้ว บรรดาข้าราชบริพารหวาดกลัวลิขิต
สวรรค์ หรือหวาดกลัวตัวเองไม่อาจบริหารบ้านเมืองให้ใสสะอาด
ได้กันแน่ นักปราชญ์บอกว่าหากทบทวนพิจารณาตัวเองแล้ว
สามารถหนักแน่นมีเหตุมีผลไม่ละอายต่อมโนธรรมได้ ต่อให้เป็น
กองทัพหมื่นนายพันนายก็ไม่มีอะไรให้ต้องถดถอย ที่แท้ทุกคนก็แค่
พูดเท่านั้น แต่เดิมทีไม่มีใครกล้าไปทำตามคำพูดของนักปราชญ์เลย
!”
นางพูดจบก็หันหลังเปิดประตูสาวเท้าออกไป
“แม่นางสิบแปด!” เฉินเซ่าเรียกไว้นายใหญ่เฉินยกมือห้าม
“ไม่ต้องเรียกแล้ว” เขาบอก “ไม่อาจพูดเรื่องหิมะกับแมลง
ฤดูร้อนได้[1] ปล่อยนางไปเถอะ”
รถม้าของแม่นางเฉินสิบแปดเคลื่อนตัวออกจากบ้านตระกูล
เฉินไป แม่นมนอกรถก้มหน้าเงียบงันไม่กล้าเอ่ยอะไร เดินตามอยู่
ข้างรถ ฟังเสียงร้องไห้จากในรถที่ค่อยๆ เบาลง
ตระกูลเฉินกับบ้านสามีของแม่นางเฉินสิบแปดกลับไม่ได้ไกล
กันมากนัก แต่เพื่อสะดวกในการดูแลสองสามีภรรยา ฮูหยินเฉิน
จึงได้ให้พวกเขาเลือกบ้านใกล้ๆ เป็นพิเศษ
ในขณะที่ใกล้จะเข้าซอยไป เสียงแม่นางเฉินสิบแปดก็ลอยออก
มาจากในรถ
“ยังไม่กลับไป ไปจวนผิงอ๋องก่อน”
จวนผิงอ๋องอย่างนั้นรึ
บรรดาแม่นมตกใจกันเล็กน้อย
… “ท
่านพ่อ เป็นนาง!”ท่านชายเกาตะโกนขึ้น ฝีเท้าหยุดลง
“ฮองเฮาถูกไทเฮาขังไว้ในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ไม่ได้พบ
คนนอก มีแต่นางเท่านั้นแหละ!”
เขาสาวเท้าไปตรงหน้าเกาหลิงปอ
“ท่านพ่อ เป็นพวกนางที่สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรก! ฮองเฮา
แม่นางเฉิง จิ้นอันจวิ้นอ๋อง ตั้งแต่แรกก็สมคบคิดกันเรียบร้อยแล้ว!
ตั้ง
แต่ดาวพระศุกร์จรัสขึ้นฟ้าเป็นต้นมาล้วนเป็นแผนการทั้งหมด!”
“ท่านพ่อ พวกนางกำลังสมรู้ร่วมคิดกันต่อต้าน! ท่านพ่อ
ฮองเฮากำลังคิดกบฏ!”
“อย่ามาพูดจาโง่ๆ” เกาหลิงปอเอ่ยขัดเขาขึ้น
“นี่มันคำพูดโง่ๆ ตรงไหน” ท่านชายเกาเอ่ยอย่างร้อนรน “พวก
นางต้องการจะสนับสนุนจิ้นอันจวิ้นอ๋อง!”
เกาหลิงปอหัวเราะออกมายกใหญ่
“ดังนั้นนี่จึงเป็นคำพูดโง่ๆ” เขายิ้มเอ่ย “พวกนางคิดอยาก
จะสนับสนุนก็จะสนับสนุนได้อย่างนั้นรึ”นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ยังจะหัวเราะออกอีก ท่านชายเกายิ่งร้อนใจ
มากกว่าเดิม
“ท่านพ่อ ยามนี้คำวิพากษ์วิจารณ์ข้างนอกไม่ดีต่อชิ่งอ๋องเลย
นะ” เขาบอก
“คำวิพากษ์วิจารณ์อย่างนั้นรึ” เกาหลิงปอเอ่ย “ผูอันอี้อ๋องยก
ฐานันดรญาติ ใช้สุสานเป็นสวน มีทั้งสุสานทั้งวัด ขุนนางทั้งหมดทูล
ขอลดตำแหน่ง ไม่เพียงแต่ขุนนางเท่านั้น อดีตนายทหารผู้ช่วยใน
กองบัญชาการของพระเจ้าอิงจงอย่าหวังเลี่ยและไช่คังจวินก็คัดค้าน
การกระทำนี้ แผ่นดินวุ่นวายโกลาหล สุดท้ายเป็นอย่างไร”
พูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะเย้ยหยันออกมา
“ใต้ฟ้านี้ ล้วนเป็นของฮ่องเต้ ทะเลทั้งสี่ ล้วนเป็นของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ให้พวกเขา พวกเขาจึงจะมีได้ หากไม่ให้ บรรดาขุนนาง
จะมายื้อแย่งไปหรือ”
“ไม่เห็นจะยาก ก็ยืดเยื้อไปสิบแปดเดือนเท่านั้น ยืดออกไปแล้ว
พวกเราจะกลัวหรือไร”
พูดถึงตรงนี้เกาหลิงปอก็ลุกขึ้น“ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ท่านชายเกาที่ยังมึนงงอยู่รีบเดินตามไป
“ลูกไปเป็นเพื่อน”
เกาหลิงปอส่ายหน้า ยกมือห้ามเขาไว้
“ข้าอยากเดินคนเดียว”
ท่านชายเกาหยุดฝีเท้าลง มองบิดาเดินออกไป
เดินเล่นเสียหน่อยแล้วกัน แม้ท่านพ่อจะมีท่าทางมั่นอกมั่นใจ
เหมือนเตรียมแผนเอาไว้แล้ว แต่เรื่องที่ต่อแถวกันมาไม่หยุด
ไม่หย่อนในระยะนี้ทำให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยจริงๆ
จะว่าไปแล้ว เขาเองก็ควรจะออกไปเดินเล่นเหมือนกันเพื่อ
ผ่อนคลายอารมณ์
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ ออกไปกับข้า” เขาบอก
มีผู้ติดตามสองคนตามมาทันที
หลังจากที่รถม้าของเกาหลิงปอออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ
รถม้าของท่านชายเกาก็ออกไปเงียบยิ่งกว่ารถม้าเคลื่อนไปตามถนนอย่างเชื่องช้า เกาหลิงปออารมณ์
ไม่ค่อยดี เขาให้สมองของตัวเองได้ปล่อยโล่งไม่คิดอะไรทั้งนั้น จนมา
ถึงจวนผิงอ๋องที่อยู่ไกลออกไป
ชั่วพริบตาเกาหลิงปอรู้สึกว่าจิตใจอึดอัด
เพื่อเลี่ยงคำครหา ตั้งแต่ผิงอ๋องสร้างจวนมา เขาก็ไม่เคย
มาที่นี่เลย
“ไปจวนผิงอ๋อง” เขาบอก
จวนผิงอ๋องไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว บรรดาขันทีแต่เก่าก่อน
ล้วนถูกเรียกตัวกลับเพื่อรับโทษ หรือไม่ก็ไต่สวนหรือไม่ก็รอเฝ้าสุ
สานให้ผิงอ๋อง ยามนี้ในจวนจึงเหลือเพียงขันทีดูแลจวนน้อยมาก
เกาหลิงปอเข้าประตูมาได้อย่างง่ายดาย เขาเดินรอบจวนอ๋อง
ยามเข้าไปในห้องหนังสือของจวน คล้ายว่าเขาเดินเหนื่อยแล้ว
จึงค่อยๆ นั่งลงในห้องอย่างเซื่องซึม
ชั้นหนังสือมากมายละลานตา บนโต๊ะมีพู่กันเยอะแยะเหมือน
ผืนป่า บนกำแพงมีภาพอักษรแต่ละแบบแขวนไว้ เนื้อหาล้วน
เกี่ยวกับการเรียน“ฝ่าบาทหลังขดหลังแข็งอ่านตำราจนถึงค่ำมืดดึกดื่นทุกวัน”
“แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทไม่ชอบการเที่ยวเล่น ชอบเพียงอย่าง
เดียวคืออ่านหนังสือ”
เกาหลิงปอมองไปรอบๆ คล้ายเห็นเด็กหนุ่มนั่งหลังตรงอ่าน
ตำราหลังขดหลังแข็งตรงหน้า
ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้ว…
สวรรค์ไร้เมตตานัก
เกาหลิงปอรู้สึกลำคอขมปร่า ดวงตาร้อนผ่าวมีน้ำตาไหลลงมา
สวรรค์ไร้เมตตา สวรรค์ไม่ยุติธรรม ทำกับผิงอ๋องเช่นนี้ได้
อย่างไร ทำกับตระกูลเกาของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร
คลื่นซัดแล้วซัดเล่า อุปสรรคโหมแล้วโหมเล่า สุดท้ายดึงฟืนที่
กำลังเผาออกจากใต้หม้อ[2]…
โลกนี้ช่างยากลำบาก โลกนี้ช่างโหดร้าย
เกาหลิงปอยกแขนเสื้อปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จู่ๆ
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบาด้านนอกประตู เขาหยุดลงทันใด ลุก
ขึ้นไปเปิดประตูออก“ใครอยู่ตรงนั้น” เขาตะโกนขึ้น
หญิงนางหนึ่งยืนทิ้งมือลงข้างลำตัวอยู่ด้านนอกประตู สีหน้า
เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย
“ใต้เท้าเกา” แม่นางเฉินสิบแปดพึมพำขึ้น
เกาหลิงปอนิ่งอึ้ง ในตามีน้ำตาคลอเบ้า แล้วยกมือขึ้นเช็ด
น้ำตาครู่หนึ่งจึงได้เห็นหญิงผู้นั้นอย่างชัดเจน
“แม่นางเฉินนี่เอง” เขาเอ่ยพลางคล้ายค้อมกายลงเล็กน้อย
อย่างละอาย
“เสียมารยาทแล้ว ขะ…ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าก็อยู่ที่นี่ด้วย” แม่นาง
เฉินสิบแปดเอ่ยพลางรีบคำนับให้
และในขณะนั้นเองบรรดาขันทีก็รีบเข้ามาแล้วพากันขอโทษ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เกาหลิงปอเช็ดน้ำตา ปกปิดอาการไม่
สำ รวมแล้วหันหน้าไปอมยิ้ม เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “แม่นางเฉิน
เหตุใดจึง…”
แม่นางเฉินสิบแปดก้มหน้าลง“มีภาพอักษรจำ นวนหนึ่งยังเหลืออยู่ที่นี่ ข้าจึงมาเอาเจ้าค่ะ”
นางบอก
เกาหลิงปอส่งเสียงอ๋อออกมาแล้วผายมือเชิญ
“เชิญแม่นางเถิด” เขาเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดคำนับให้ ยกเท้าเข้าห้องหนังสือไป บรรดา
ขันทีก็ติดตามไปด้วย
“เจ้าของเดิมจากไปแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเอาวางไว้
ตรงไหน” พวกเขาเอ่ยบอก
“อยู่บนโต๊ะ ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเขียนอักษรจะทำสำ เนาเอาไว้”
แม่นางเฉินสิบแปดบอกพลางเดินเข้าไป
ขันทีพลิกรื้อบนโต๊ะเจอดังคาด ส่งให้แม่นางเฉินสิบแปดด้วย
ความดีใจ
การรื้อค้นครานี้ทำให้ฝุ่นฟุ้งขึ้น
“เหตุใดไม่ทำความสะอาด” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยอย่าง
โกรธเคือง “ฝ่าบาทไม่ชอบสกปรกที่สุด!”
ประโยคนี้ทำให้ขันทีตระหนกกันขึ้นมาแม่นางเฉินสิบแปดก็สัมผัสได้ว่าตัวเองเสียกิริยา จึงก้มหน้ารับ
ภาพอักษรแล้วหันหลังจะกลับ
“แม่นางเฉิน ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงฝ่าบาทอยู่”
เกาหลิงปอที่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อหลีกทางให้มองนางเดิน
ออกมาจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
บนโลกนี้ไม่มีใครเป็นนึกถึงผิงอ๋องแล้ว นึกไปถึงเสียงร้องไห้ที่
ได้ยินภายในห้องของผู้เฒ่าคนนี้เมื่อครู่ แม่นางเฉินสิบแปดก็หยุด
ฝีเท้าลง
“ใต้เท้าเกา” นางหันหลังกลับมาเอ่ยเสียงเบาว่า “โปรดยุติการ
โต้แย้งอื่นๆ ด้วยเถิด ให้ผิงอ๋องได้คืนสู่ผืนดินได้อย่างสงบสุขโดยเร็ว
ได้มีพระสมัญญานามเถิด”
เพราะเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทให้มาออกว่าราชการแทนชั่ว
คราวนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตอนนี้หลังจากที่
ผิงอ๋องสิ้นพระชนม์ไปยังไม่ได้ตั้งพระสมัญญานาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เรื่องไว้อาลัยที่ต้องหยุดชะงักไปเขาถูกลืมเลือนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตายไปอย่างน่าขัน พอตาย
ไปก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีของชินอ๋องเลยสักนิด
เกาหลิงปอสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น คำนับให้แม่นางเฉินสิบแปด
“ขอบคุณแม่นางที่ห่วงใย” เขาเอ่ย “ผิงอ๋องทราบแล้วคงตาย
ตาหลับ จิตใจอันเหน็บหนาวคงอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย”
จิตใจอันเหน็บหนาว
นั่นสิ ตายอย่างไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ หลังจากตายไปก็
อ้างว้างอีก จะไม่ให้เหน็บหนาวใจได้อย่างไร
แม่นางเฉินสิบแปดไม่ได้พูดอะไรก็คำนับคืนให้แล้วจากไป
เกาหลิงปอมองแม่นางเฉินสิบแปดเดินออกไป แล้วหันหลัง
มองไปที่ห้องหนังสือ บรรดาขันทีคุกเข่าลงอย่างตระหนก
“พวกบ่าวจะทำความสะอาดเก็บกวาดให้เรียบร้อย จะไม่ชักช้า
ดูดายอีกขอรับ” พวกเขาโขกหัวเอ่ยบอก
เกาหลิงปอหัวเราะ
“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ยบอก “คนตายไปแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ไม่
จำ เป็นอีกแล้ว”กล่าวจบก็ยกเท้าออกจากประตูไป
“นายท่านจะกลับบ้านหรือขอรับ” ผู้ติดตามผายมือพลางเอ่ย
ถาม
“ไม่ เข้าวัง” เกาหลิงปอเอ่ย
ผู้ติดตามขานรับแล้วจะไปขับรถ
“แล้วก็เอาหนังสือเทียบเชิญของข้าไปส่งให้อำมาตย์เฉินด้วย
ข้าจะคุยกับเขาสักหน่อย” เกาหลิงปอบอก
[1] ไม่อาจพูดเรื่องหิมะกับแมลงฤดูร้อนได้ พูดคุยกับคนโลกทัศน์
แคบไปก็เปล่าประโยชน์
[2] ดึงฟืนที่กำลังเผาออกจากใต้หม้อ แก้ปัญหาที่ต้นตอ