พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 576 ท่าไม่ดี
“ฮองเฮา”
บรรดาขันทีก้มหน้าเดินเข้ามา มองฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างแท่น
บรรทมของฮ่องเต้
วันนั้นในราชสำ นัก นางถูกไทเฮาชี้หน้าด่าว่าไร้คุณธรรม ทั้งยัง
ให้ฮองเฮาย้ายออกจากตำหนักของฮ่องเต้ แต่ฮองเฮาที่ไม่โต้เถียง
คำด่าแม้เพียงสักคำนั้นกลับปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว
“ข้าเป็นฮองเฮาที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง ไม่มีใครสามารถทำให้ข้า
ห่างกายฮ่องเต้ไปได้ เว้นเสียแต่ว่าจะถอดถอนข้าออก”
ถอดถอนอย่างนั้นรึ
ไทเฮากลับแทบอดรนทนไม่ไหวอยากจะถอดถอนนางอยู่แล้ว
แต่การถอดถอนฮองเฮานั้นไม่ใช่ว่าคนคนเดียวจะทำได้ ไทเฮาเรียก
ขุนนางในราชสำ นักมาปรึกษา แต่เรียกมาห้าคนมีสามคนปฏิเสธ
ที่จะเข้าวังหลัง สองคนที่เข้ามาก็หัวเราะบอกว่าเรื่องสำ คัญในตอนนี้
คือการแต่งตั้งรัชทายาทพวกเขาคร้านจะไปสนใจเรื่องไม่พอใจของบรรดาหญิงใน
วังหลังของพวกนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้ทุกคนต่างรู้ว่าไทเฮา
กับฮองเฮาจงใจฉีกหน้ากัน ยามหญิงฉีกหน้ากันคำพูดที่เอ่ยออกมา
นั้น
เก็บเอาไปหาความได้หรือ ยามไม่ฉีกหน้ากัน แม้แต่คำพูดหรือ
การกระทำก็ล้วนแต่เลอะเทอะทั้งนั้น แถมขุนนางในราชสำ นัก
ตีโพยตีพายกันตามกันยก เช่นนี้ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ
ไทเฮาเดือดดาลจนกระทืบเท้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ฮองเฮา ไทเฮาเรียกประชุมราชสำ นักอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันที
เอ่ยขึ้น
ฮองเฮาหัวเราะแฝงไว้ด้วยความไม่ใส่ใจ
“ไปฟังเสีย ครานี้จะพูดเรื่องอะไร” นางเอ่ย
คราวก่อนฮองเฮาแย่งชิงอำนาจส่วนหนึ่งของวังหลวงคืนมาได้
พอเห็นขันทีรับคำออกไปแล้ว พระสนมอันที่เช็ดมือให้ฮ่องเต้อยู่อีก
ฝั่งจึงเงยหน้าขึ้น
“ฮองเฮา หากไทเฮาจะให้ขุนนางในราชสำ นักถอดถอนฮองเฮา
ให้ได้ล่ะเพคะ” นางถาม“เว้นเสียแต่ว่าฮ่องเต้จะฟื้นขึ้นมาเห็นด้วยเท่านั้นแหละ”
ฮองเฮาเอ่ยพลางมองฮ่องเต้ที่หลับใหลอยู่ตรงหน้า
พระสนมอันก็มองตามไปเช่นกัน
“ฮองเฮา หากฝ่าบาทฟื้นขึ้นมารู้เรื่องที่เราเคยทำกันจะต้อง
ถอดถอนแน่เพคะ” นางขยับไปข้างหูฮองเฮาแล้วกระซิบบอก
ฮองเฮาแย้มยิ้ม
“ฟื้นไม่ได้แล้ว” นางบอก
พระสนมอันตกใจหันไปมองนาง
“ฮองเฮา ท่านหมายความว่า…” นางกระซิบเอ่ยเสียงเบา ยก
มือขึ้นทำท่าปาดคอ
ฮองเฮาถ่มน้ำลายออกมา
“ต่อให้ข้าตายก่อนเจ้า ข้ายังรู้ได้เลยว่าเจ้าจะตายอย่างไร!”
นางตวาดใส่
พระสนมอันนิ่งอึ้ง จู่ๆ ก็สนใจใคร่รู้ขึ้นมา
“ฮองเฮา หม่อมฉันจะตายอย่างไรหรือเพคะ”
“โง่ตายน่ะสิ!”“แต่ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ นี่นา พวกหมอหลวงบอ
กว่าอาการของฝ่าบาทไม่เลวร้ายลงไม่ใช่หรือไร”
“ไม่เลวร้ายลง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะสามารถฟื้นคืนได้นี่
ยิ่งไปกว่านั้นหากฝ่าบาทยังสามารถฟื้นได้ เช่นนั้นแม่นางเฉิงก็คง
ไม่เข้าวังมาได้หรอก”
สิ่งที่ทำให้ขุนนางคาดไม่ถึงก็คือ ครานี้ไทเฮาไม่ได้พูดเรื่อง
แต่งตั้งรัชทายาท แต่เป็นการตั้งพระสมัญญานามให้ผิงอ๋อง
แน่นอนว่ามีขุนนางบางคนทูลเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมาอีก
เช่นกัน แต่ท่าทีไทเฮาละมุนละม่อม ไม่ได้ด่าว่าหรือร้องห่มร้องไห้
นางใช้ท่าทางของหญิงชราผู้สูญเสียญาติและความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
มาปฏิเสธ
“ล้วนเป็นหลานของข้าทั้งนั้น คนตายสำ คัญที่สุด ขอให้ข้าได้
ฝังหลานชายคนโตก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องอื่นได้หรือไม่”
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ใครจะไปตอแยไม่ลดละกับคนแก่คนหนึ่ง
เช่นนี้ได้ การประชุมราชสำ นักดำเนินต่อไปราบรื่นอย่างหาได้ยากยิ่ง
แม้ว่าจะเกิดการถกเถียงกันเรื่องพระสมัญญานามที่จะตั้งให้ผิงอ๋องก็ตาม เหตุผลคือเพราะวิธีการตายของผิงอ๋อง แต่เนื่องจากแม่นาง
เฉิงแสดงการล่อฟ้าต่อหน้าผู้คน ดังนั้นพระสมัญญานามที่ไม่ดีก็
ยังคงถูกปฏิเสธไป ในจุดนี้บรรดาขุนนางกลับไม่ได้ตอแยอะไรมาก
นัก
สุดท้ายพระสมัญญานามของผิงอ๋องจึงได้ชื่อไหวฮุ่ย
การประชุมราชสำ นักหยุดชั่วคราวสามวันเพื่อไว้อาลัย
ณ ห้องน้ำชา เฉินเซ่าสาวเท้าเข้ามา ภายในมีคนนั่งดื่มชาอยู่
“ยามนี้แผ่นดินวุ่นวาย ข้าก็จะไม่พูดเกรงอกเกรงใจกับใต้เท้า
แล้วกัน” เกาหลิงปอวางถ้วยชาลงพลางเอ่ยขึ้น “ในฐานะที่ใต้เท้า
เฉินได้รับการฝากฝังจากฝ่าบาท มีจิตใจแน่วแน่จะแทนคุณฝ่าบาท
เหตุใดข้าจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย”
เฉินเซ่าหัวเราะหยัน นั่งลงไม่เอ่ยอันใด
“ตอนนั้นสิ่งที่ข้าได้รับคือการฝากฝังของฝ่าบาท” เกาหลิงปอ
เลิกคิ้วเอ่ย
“ดังนั้นเจ้าก็สามารถเอาทุกสิ่งในราชสำ นักมาอยู่ภายใต้ของ
ตระกูลเจ้าได้อย่างนั้นรึ” เฉินเซ่าก็เลิกคิ้วเอ่ยขึ้นเช่นกันทั้ง
สองคนเลิกคิ้วจ้องหน้ากันพักหนึ่ง
“วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องนี้กับเจ้า” เกาหลิงปอบอก เขา
วางถ้วยชาลง แล้วดันกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“อะไรรึ” เขาเอ่ยถาม
“ข้าไม่อาจมองสายเลือดของฮ่องเต้ล่มสลายลงได้เด็ดขาด
เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องโต้แย้งกันอีกต่อไปแล้ว”
เกาหลิงปอบอก “ข้าจะลาออก พาครอบครัวกลับบ้านเกิด
แล้วก็คนพวกนั้นที่เป็นคนของข้า เจ้าก็ให้พวกเขาออกไปทำงาน
นอกเมืองได้ เลือกคนที่มีความสามารถ ต้องสนับสนุนชิ่งอ๋องขึ้น
ครองราชย์ให้ได้”
เฉินเซ่าขมวดคิ้วเปิดกระดาษแผ่นนั้นออก สีหน้าทั้งตกใจและ
เกรี้ยวกราดอย่างห้ามไม่อยู่
คิดไม่ถึงว่าเกาหลิงปอจะแทรกซึมคนมามากมายเพียงนี้! หนึ่ง
ในนั้นยังมีคนที่ตนคุ้นเคยกันดีอยู่มากมายและคิดมาตลอดว่าเป็น
คนของตนอีกด้วย!“แต่ละคนล้วนพูดกันว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้ชาวเมือง
ไม่พอใจ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านจะลำบาก พูดกันเสีย
เป็นตุเป็นตะ เรื่องมันเกิดหรือยัง พูดเสียแค้นเต็มประดา อย่างไรเสีย
ก็แค่เพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น ใครเป็นกษัตริย์ คนที่ออกว่าราชการ
ไม่ใช่ข้า เจ้าและพวกเขาเสียหน่อย ขอแค่เจ้าและข้าจิตใจแน่วแน่
พยายามบากบั่น จะเกิดเหตุการณ์อย่างสุมาอี้ได้อย่างไร ชาวเมือง
จะเกิดความเคียดแค้นต่อความลำบากได้อย่างไร เรื่องราวและผู้คน
ที่คล้ายๆ กันบนโลกนี้ล้วนมีทั้งนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกันหรือไร
คนประเภทเดียวกันทำเรื่องเดียวกันยังออกมาไม่เหมือนกันเลย”
เกาหลิงปอเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“บอกว่าเลือกสิ่งนี้ดี เลือกสิ่งนั้นไม่ดี แต่ความจริงแล้วบนโลก
ใบนี้เดิมทีก็ไม่มีทางเลือกที่ถูกต้องอะไรอยู่แล้ว จะถูกหรือผิด ต้องดู
ว่าหลังจากเลือกแล้วคนจะไปทำอย่างไร”
“เป็นขุนนางใสสะอาด หรือจะเป็นขุนนางที่ยึดอำนาจ
บริหารบ้านเมืองอย่างใสสะอาด หรือจะบริหารให้วุ่นวาย ล้วนเป็น
คนที่กระทำ”“ขุนนางอย่างพวกเรา แทนที่จะพูดเพื่อชาวเมือง สู้
ใช้ความคิดเห็นของชาวบ้านพูดเพื่อตนเองดีกว่า แต่แต่ละคน ล้วน
ว่ากันตามเหตุผลเพื่อความคิดของตัวเองทั้งนั้น ใครจะสามารถ
รับประกันได้ว่าความคิดใครถูกใครผิด”
“ชาวเมืองอย่างนั้นรึ ตอนนี้ลากเอาชาวเมืองออกมาแล้ว บอ
กว่ากลัวชาวเมืองจะลำบาก กลัวตัวเองจะกอบโกยผลประโยชน์และ
ได้ตำแหน่งที่ไม่ดีในสถานการณ์นี้ไม่ได้มากกว่ากระมัง”
เฉินเซ่าสีหน้าอึมครึม
“นั่นเป็นแค่ความคิดของเจ้า” เขาเอ่ยเสียงเย็น
เกาหลิงปอหัวเราะออกมา พยักหน้า
“ถูกต้อง นี่เป็นความคิดของข้า ความคิดข้าก็ทำให้ตระกูลเกา
ของข้าเป็นพระญาติกับฮ่องเต้ไปได้ตลอดกาล!” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้น
“ใต้เท้าเฉิน ขอตัวก่อน”
กล่าวจบก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีกเขาสาวเท้าเดินออก
ไปเลยภายในห้องน้ำชาเงียบงันลง เฉินเซ่าถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ใน
มือครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เก็บมันไป
เฉินเซ่ากลับมาถึงบ้านยังไม่ทันจะได้นั่งลงก็ได้รับราชโองการ
เรียกตัวจากไทเฮาในวัง ครั้งนี้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงทำตาม
ราชโองการ
ไทเฮาพบกับเฉินเซ่าในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้
“ฮองเฮาเจ้าออกไปก่อน” ไทเฮาเอ่ย
ฮองเฮาคำนับให้ ไม่ได้พูดอะไรมากความก็หันหลังเดินออกไป
“ใต้เท้าเฉิน เจ้าดูฝ่าบาทสิ” ไทเฮาเอ่ยบอกแล้วนั่งลงหน้าแท่น
บรรทมฮ่องเต้
เฉินเซ่าเดินเข้าไปหา มองบุรุษที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ
ขอบตาเขาแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่
“ฝ่าบาททรงให้ความสำ คัญต่อรัชทายาทเพียงใด เจ้าก็คงจะ
รู้ดี”
ไทเฮาเอ่ยต่อด้วยเสียงอันสั่นเทา
เฉินเซ่าพยักหน้านั่นสิ เคยมีครั้งหนึ่งฝ่าบาทยังเคยร้องไห้ต่อหน้าเขาเอ่ยว่า
ไม่อยากไร้ซึ่งทายาท
“ไม่อยากไร้ทายาท ไม่อยากได้รับการจุดธูปกราบไหว้จาก
คนอื่นในภายหน้า พระองค์อยากมีทายาทของตัวเอง ลูกหลานของ
ตัวเอง เหลือลูกหลานที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ไว้”
“ใต้เท้าเฉิน พวกเขาต่างบอกว่า ชิ่งอ๋องไม่เหมาะจะเป็นฮ่องเต้
โอรสบุญธรรมเหมาะสมที่สุด และดีที่สุด”
“ใต้เท้าเฉิน ข้าไม่เข้าใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุดนั้นมันดีที่สุด
สำ หรับใครกันแน่ ใต้เท้าเฉิน เจ้าพูดมาซิ หากตอนนี้ฝ่าบาทมีสติ
แจ่มชัด พระองค์จะเห็นด้วยกับโอรสบุญธรรมหรือไม่”
แน่นอนว่าไม่…
เฉินเซ่าเงียบ มองฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียง ยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า
ไทเฮาเห็นเฉินเซ่าเป็นเช่นนี้ก็พรูลมหายใจออกมา ยามนี้
ควรจะพูดประโยคที่สำ คัญที่สุดออกไปแล้ว
“แล้วก็ ใต้เท้าเฉิน” นางเอ่ยเนิบช้า “พวกเขาเอาแต่เสนอโอรส
บุญธรรม แต่เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าในอนาคตทายาทของชิ่งอ๋องจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน”
ทายาทของชิ่งอ๋องอย่างนั้นหรือ
เฉินเซ่าหันมามองทันที
“ชิ่งอ๋องไม่ได้สติไม่สมประกอบโดยกำเนิดเสียหน่อย ทุกคนลืม
ไปแล้วหรือ ชิ่งอ๋องตอนเด็กๆ เขาฉลาดเฉลียว แม้แต่กระทั่งผิงอ๋อง
ยังเทียบไม่ได้เลย” ไทเฮาเอ่ย พูดถึงตรงนี้ในดวงตาก็แววน้ำอย่าง
ห้ามไม่อยู่
นั่นน่ะสิ เฉินเซ่าไม่สบายใจ คล้ายว่าเบื้องหน้าปรากฏเป็นองค์
ชายน้อยคนนั้น
ผ่านไปนานเท่าใดแล้วหนอ องค์ชายน้อยที่เคยน่ารักน่าเอ็นดู
คนนั้นเลือนรางไปหมดแล้ว แต่มารยาทที่ถูกต้องเหมาะสมนั่น
ความฉลาดเฉลียวที่โต้ตอบกับฝ่าบาทได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง
“เขาก็แค่ได้รับบาดเจ็บจึงได้เป็นเช่นนี้ ลูกของเขาที่เกิดมา
จะสติไม่ดีไปด้วยหรือ” ไทเฮาเอ่ยต่อ
“ไทเฮา หมายความว่าชิ่งอ๋องยังสามารถมีบุตรได้อย่างนั้นรึ”
เขาถามอย่างตกใจไทเฮาพยักหน้า พลางเงยหน้าเรียกหมอ หมอหลวงคนหนึ่ง
ก้มหน้าเดินเข้ามา
“ตอนนี้ชิ่งอ๋องสิบเอ็ดชันษาแล้ว” หมอหลวงก้มหน้าบอก
“กระหม่อมไปตรวจมาแล้ว สามารถมีได้พ่ะย่ะค่ะ”
สามารถมีได้!
เฉินเซ่าสีหน้าเปลี่ยนไป
ภายในเรือนด้านข้าง ฮองเฮามองขันทีที่ก้มหน้าอยู่ด้วยสีหน้า
หนักอึ้ง
สามารถมีบุตรได้…
… “..
.ตอนนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว…ชิ่งอ๋องสามารถมีบุตรได้…”
“…ใครบอกว่าจะต้องเป็นลูกชายกัน เกิดเป็นลูกสาวล่ะ…”
เสียงปั้งดังขึ้น ประตูกระแทกเปิด เสียงหัวเราะพูดคุยภายใน
ห้องพลันหยุดชะงัก
“ใครน่ะ!” พวกบัณฑิตภายในห้องหันไปมองอย่างเดือดดาล
พอเห็นคนที่ยืนหน้าประตูชัดๆ แล้วสีหน้าพลันตื่นตะลึงทันทีท่านชายเกากอดอกยืนอยู่หน้าประตู เหลือบตามองพวกเขา
อยู่ ผู้ติดตามด้านข้างจ้องพร้อมตะคุบดั่งพญาเสือ กำเป็นหมัดกัน
อย่างคันไม้คันมือ
“คุยอะไรกันอยู่รึจึงได้เบิกบานใจกันเช่นนี้” ท่านชายเกาเอ่ย
อย่างไม่ทุกข์ร้อน “พูดออกมาให้ทุกคนได้ปรีดาเสียหน่อยสิ”
สีหน้าบรรดาบัณฑิตภายในห้องซีดขาว หากเป็นคนอื่น
ก็แล้วไปเถอะ เย้ยหยันชิ่งอ๋องต่อหน้าท่านชายเกาเช่นนี้ ได้เป็น
เรื่องใหญ่แน่แล้ว
“ปะ…เปล่าขอรับ” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น ขาสองข้าง
สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้พวกปอดแหก!”
ท่านชายเกาหัวเราะเย็นเยียบ ยกเท้าเดินออกไป
“จะว่าไปแล้วกลับนับถือเด็กตระกูลเฉิงนั่น แม้จะทำให้คน
รังเกียจ แต่อย่างน้อยก็มีความกล้า”
“ท่านชายใจกว้างยิ่ง” บรรดาผู้ติดตามเอ่ยชมพร้อมกัน
บรรดาบัณฑิตที่เห็นท่านชายเกาออกไปก็รีบกรูกันออกมา“เร็วเข้า รีบไป”
“แต่ว่า ท่านชายเกากล้าออกมาเที่ยวหอเต๋อเซิ่งแล้ว ก็
หมายความว่าเรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้วนะสิ”
ทุกคนกระซิบวิพากษ์วิจารณ์พลางเดินไปอย่างตระหนก
“พี่สาว”
จู่ๆ ชุนหลิงก็ชะงักฝีเท้าลง
“ข้าลืมหยิบบทประพันธ์เพลงขิมมา”
“ชุนหลิง เหตุใดเจ้าจึงได้ขี้หลงขี้ลืมแบบนี้” สาวใช้อีกคนบ่นขึ้น
แม่นางจูที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้าลง
“ไปเถอะ” นางบอก
ชุนหลิงขานรับแล้วหันหลังวิ่งกลับไป ทางด้านแม่นางจูเดินต่อ
เดินได้แค่สองก้าวก็ได้ยินเสียงร้องของชุนหลิง
“…ตาบอดหรือไร ชนอะไรเข้าแล้ว!”
ผู้ติดตามหน้าสุดด่าขึ้น ตบไปฉาดใหญ่ยังไม่สะใจ เขายกเท้า
กระทืบชุนหลิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าชุนหลิงกรีดร้องพลางร้องขอความเมตตาแต่ก็ไม่กล้าหลบไป
นางหลับตาหน้าซีดรอโดนเตะ
“ท่านชายโปรดเมตตาด้วย”
แม่นางจูตะโกนขึ้น
ท่านชายเกาที่ได้ยินเสียงนี้ก็ขมวดคิ้วมองไปด้วยความรำคาญ
เห็นหญิงสาวเท้าเดินมาหา
เท้าของผู้ติดตามคนนั้นเตะโดนร่างชุนหลิงแล้ว ชุนหลิงร้อง
แล้วล้มลง
“ท่านชายเกา” แม่นางจูสาวเท้าไปหา ยืนอยู่ข้างกายชุนหลิง
ค้อมกายคำนับ “บ่าวต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”
ท่านชายเกามองนาง หรี่ตาแย้มยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางจูนี่เอง” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า “คำขอโทษ
ของเจ้านี้ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก เป็นข้าที่ควรจะขอโทษเจ้าจึงจะถูก
เจ้าโปรดพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าให้ดีด้วย อย่าให้ฟ้ามาผ่าข้าได้”
แม่นางจูยังไม่ได้พูดอะไร ประตูด้านข้างก็เปิดออก
“เกาสิบสี่ เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ!”ฉินหูยืนอยู่ข้างประตู เลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
ท่านชายเกามองเขาด้วยความคาดไม่ถึง
“บังเอิญจริง ท่ายชายฉินสิบสาม เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ” เขาเอ่ย
ถาม สายตามองด้านหลังฉินหู ภายในห้องมีเด็กหนุ่มเจ็ดแปดคนนั่ง
กระจายกันอยู่ เขาเลิกคิ้วขึ้น “ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องน่าเบิกบานใด
กันอยู่หรือ”
ฉินหูสีหน้าเคร่งขรึม
“จะเข้ามาฟังไหมล่ะ” เขาเอ่ย
ท่านชายเกามองเขาครู่หนึ่ง แล้วยิ้มตาหยี
“ข้ารู้อยู่แล้ว ฉินสิบสาม เจ้ามันฟั่นเฟือนไปแล้ว”