พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 577 พูดขึ้น
ประตูห้องถูกปิดลง บนระเบียงทางเดินกลับมาเงียบสงบ
อีกครั้ง
ชุนหลิงลุกขึ้นจากพื้น กุมแขนที่ถูกเตะพลางร้องครางอย่าง
เจ็บปวด เรียกแม่นางจูที่ตกตะลึงให้หลุดจากภวังค์
“เหตุใดเจ้าจึงได้ไม่ระวังเช่นนี้” สาวใช้อีกคนบ่นด้วยความ
ไม่พอใจ
“ขะ…ข้ารีบนะสิ” ชุนหลิงร้องไห้เอ่ยบอก
“ไม่เป็นไรแล้ว ครั้งหน้าก็ระวังหน่อย” แม่นางจูเอ่ย แล้วเดิน
ออกไป
ชุนหลิงรีบตามไป
“ท่านพี่ เจ้าดูท่านชายฉินสิ แก้ต่างแทนเจ้าด้วย” นางกระซิบ
บอก “ไม่ให้ท่านชายเกามาว่าท่าน”
เขา…
ฝีเท้าแม่นางจูชะงักไปเล็กน้อย“เขาไม่ได้แก้ต่างให้ข้าเสียหน่อย” นางเอ่ย “หยุดพูดเหลวไหล
ได้แล้ว”
เขาได้ยินท่านชายเกาพูดว่า ‘พูดดีๆ กับผู้มีพระคุณของเจ้าให้
มากหน่อย อย่าให้ฟ้ามาผ่าลงที่ข้าได้’ จึงได้ลุกขึ้นมาต่างหาก
แม่นางแซ่เฉิงคนนั้นเปลืองแรงพิสูจน์การล่อสายฟ้าต่อหน้า
ปวงชน ก็แค่เพื่อยืนยันว่าผิงอ๋องไม่ใช่คนบาปหนาที่ฟ้าผ่าได้
อย่างนั้นนะหรือ อันที่จริงเพื่อยืนยันว่าการล่อฟ้าไม่ใช่เรื่องง่าย นาง
ไม่มีพลังวิเศษที่อยากผ่าใครก็ผ่าได้ต่างหาก
ท่านชายเกากลับพูดว่าอย่าให้นางเอาฟ้ามาผ่าเขา ท่านชาย
ฉินจะทนให้คนอื่นพูดถึงนางแบบนั้นได้อย่างไร
เขาแก้ต่างแทนนางต่างหาก เขากำลังปกป้องนาง
แม่นางจูก้มหน้าแย้มยิ้ม
ตั้ง
แต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองตนเลยด้วยซ้ำ
“…จนถึงตอนนี้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ยังไม่ได้ถวายฎีกาขอออกจาก
วังเลย ขนาดพระญาติพวกนั้นยังต่างพากันไปขอพรให้ฝ่าบาทตาม
วัดศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ กันแล้ว…”ท่านชายเกาฟังบัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยอย่างฉะฉาน แล้วพยักหน้า
“สิบสาม ทางเจ้าพูดคุยกันสบายหูกว่าทางนั้นไม่น้อย” เขายิ้ม
เอ่ยกับฉินหูที่อยู่ข้างๆ
“สบายหูหรือ” ฉินหูมองเขาแวบหนึ่ง “ท่านชายอยากจะไปกับ
ใต้เท้าเกาหรือว่าจะออกเดินทางไปกับบรรดาคนในครอบครัวก่อน”
ท่านชายเกาสีหน้าทะมึนขึ้น
“แต่เจ้าพูดจาไม่ค่อยรื่นหูเอาเสียเลย” เขาเอ่ย
ฉินหูไม่ได้สนใจเขา แต่มองไปด้านนอก
“ในเมื่อต่างกำลังพูดคุยเรื่องสุมาอี้ เรื่องขุนนางยึดอำนาจ
ไม่ปกป้องรักษาแคว้น เหตุใดจึงเห็นพระญาติที่เป็นขุนนางใหญ่
ยึดอำนาจไว้ แต่ไม่เห็นราชนิกุลวุ่นวายเลยเล่า” เขาเอ่ย
ทุกคนในที่นั้นพากันพยักหน้า
“ฮ่องเต้จิ้นอันขึ้นครองราชย์มีจีอ๋องสนับสนุน” บัณฑิตคนหนึ่ง
เอ่ยขึ้น
“สถานการณ์ยามนี้ จีอ๋องไม่อยากสนับสนุนอยู่ด้านหลังแล้ว
อีกทั้งมีโอกาสแทนที่ได้ด้วย” บัณฑิตอีกคนยิ้มเอ่ยท่านชายเกาใช้แขนกระทุ้งฉินหูอีกครั้ง
“หมายถึงใครอีกล่ะ” เขาถาม
ฉินหูไม่ได้สนใจเขา
“ดังนั้น ในเมื่อจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ยอมขอออกจากวัง เช่นนั้น
แล้ว เจ้ากับข้าก็ควรจะรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา ขอให้เขาออกจาก
วัง” เขาเอ่ยขึ้น
ท่านชายเกาได้ยินประโยคนี้ก็ลูบคางไปมา เผยรอยยิ้มออกมา
คนทางนี้ดื่มสุราแล้วพูดคุยกันอีกสองสามก็แยกย้ายกันไป
ท่านชายเกาเรียกฉินหูเอาไว้
“สิบสาม มา มา กว่าจะได้พบกัน นัดพบไม่สู้บังเอิญเจอ
พวกเรานั่งพูดคุยกันต่อดีกว่า” เขายิ้มเอ่ย “ข้าเลี้ยงเอง ข้าเลี้ยงเอง”
“ข้าถึงขั้นไม่มีเงินมากินที่หอเต๋อเซิ่งแล้วหรือไร” ฉินหูเอ่ยอย่าง
เรียบนิ่ง “อย่าว่าแต่เลี้ยงสุราอาหารเลย เชิญนางรำดีๆ มาข้าก็ออก
ให้ได้”
ท่านชายเกาหัวเราะออกมายกใหญ่ พลางก้าวเข้าประตู“ใครก็ได้ ไปเชิญหลิงหลงมาให้นางเล่นผีผาเพิ่มความ
สนุกสนานให้ที” เขาเอ่ยขึ้น
เด็กในร้านด้านนอกตระหนกเล็กน้อย
“แม่นางหลิงหลงมีนัดแล้วขอรับ” เขาเอ่ยเสียงสั่น
โชคร้ายเสียจริง เจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว! เด็กรับใช้หวาดหวั่นใน
ใจ
“แต่ว่า แม่นางหลิงหลงมีนัดแล้วจริงๆ ไม่ได้…” เขาเอ่ยขึ้นอย่า
งอดไม่ได้
ยังพูดไม่ทันจบ ท่านชายเกาก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขายกมือขึ้นตบ
เด็กในร้านฉาดใหญ่
“ไอ้คนโง่ไม่ได้เรื่องได้ราว!” เขาด่า
เด็กในร้านถูกตบจนวิงเวียนล้มลงกับพื้น ยังไม่พอผู้ติดตาม
สองด้านเข้ามาหิ้วปีกเขาขึ้น
“ไม่ได้อะไรรึ” ท่านชายเกาเลิกคิ้วตวาด
ตีคนไม่ตีหน้า ด่าคนไม่ด่าจุดอ่อน เด็กในร้านที่ถูกตบในที่สุดก็
ได้สติหลังจากเรื่องราวครานั้นแม้ท่านชายเกาจะยังมาหอเต๋อเซิ่ง
ดังเดิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้สนใจ แต่เขาก็แค่ต้องการให้
คนอื่นเห็นว่าตัวเองไม่สนใจเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่สนใจที่คนอื่นเอ่ยเรื่อง
นี้ขึ้นต่อหน้าเขาจริงๆ
“ท่านชายข้าน้อยผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วขอรับ” เด็กในร้านตกใจ
จนแทบจะฉี่ราด ตะโกนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การกระทำนี้ทำให้คนรอบด้านต่างหันมามอง ภายใน
ห้องส่วนตัวก็มีคนเยี่ยมหน้าออกมาแอบดูเช่นกัน
“เอาละ โวยวายอะไร อยากจะออกจากเมืองหลวงพรุ่งนี้รึ” ฉิน
หูขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
แน่นอนว่าพรุ่งนี้เขาออกจากเมืองนั้นไม่ได้เกี่ยวกับตนเลย แต่
ไอ้ท่านชายเกาสารเลวนี่ได้รับความอัปยศ จะต้องเคียดแค้นเฉิง
เจียวเหนียงมากกว่าเดิมหลายเท่าแน่
เห็นหรือยัง เป็นแบบนี้แหล่ะ นางไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ
สุดท้ายความผิดทุกอย่างล้วนโยนโครมมาบนร่างนาง พวกจงใจใช้ประโยชน์เอย พวกระบายโทสะใส่เอย พวกพูดคุยเพื่อ
ความคะนองปากเอย…
“อย่างไรเสียก็จะออกจากเมืองหลวงอยู่แล้ว ข้าจะอวดเบ่ง
ไม่ได้หรือไร เหามากมายไม่กลัวมันกัด[1]” ท่านชายเกาเอ่ยเสียง
เย็น
“ท่านชายเกา”
เสียงมีเสน่ห์ของหญิงดังขึ้น
ทุกคนหันหน้าไปมอง เห็นเป็นแม่นางจูที่กลับมาจากการซ้อม
ขิม
“พี่หลิงหลงไม่อยู่ ไม่ทราบว่าอาเหิงสามารถแสดงฝีมืออันน้อย
นิดแทนได้หรือไม่” นางคำนับเอ่ย
ท่านชายเกาหรี่ตาลง
“แม่นางจู เหตุใดจะไม่ได้เล่า” เขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น
แม่นางจูคำนับให้อีกครั้ง แล้วเงยหน้าแย้มยิ้ม
“เรื่องเมื่อครั้งก่อนอาเหิงเสียมารยาทแล้ว” นางเอ่ย “อาเหิง
ไม่ได้ความ ไม่มีความรับผิดในหน้าที่ ขอท่านชายโปรดอย่าได้ถือสาหาความเลยเจ้าค่ะ”
ท่านชายเกาคาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด เขามองนางด้วยความ
ฉงน
นี่เป็นนังสารเลวเฉิงนั่นที่ใช้เล่ห์กลใดผ่านนางใช่หรือไม่
“ในเมื่อแม่นางจูยอมรับผิดอย่างจริงใจ เช่นนั้นก็เชิญเข้ามา
เถิด” ฉินหูเอ่ยขึ้น ขัดจังหวะท่านชายเกาที่คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย
แม่นางจูไม่ได้มองฉินหู นางก้มหน้ารับคำ เดินเข้ามาจริงๆ
“เจ้าทำอะไรน่ะ” ท่านชายเกาขมวดคิ้วเอ่ยกับฉินหู “ของเหลือ
จากคนอื่นข้าไม่สนใจหรอกนะ”
“พูดอะไรน่าขันนัก ในนี้มีที่สะอาดหมดจดด้วยหรือไร” ฉินหู
หัวเราะเย้ยหยันพลางเอ่ย “แต่ก็แค่เป็นนักดนตรีเท่านั้น”
“แต่นางเป็นคนของสกุลเฉิง” ท่านชายเกาเอ่ย
“หากนางเป็นคนของสกุลเฉิง ก็คงไม่มีเรื่องน่าขายหน้าของ
ท่านชายเมื่อคราที่แล้วหรอก” ฉินหูเอ่ย มองแม่นางจูที่นั่งลงวางขิม
ภายในห้องแล้ว
เกี่ยวอะไรกับนางกัน!ฉินหูสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไป
เสียงขิมดังก้องภายในห้องโถง
“เจ้าจะพูดอะไรรึ” ฉินหูกับท่านชายเกานั่งตรงข้ามสนทนากัน
ท่านชายเกามองแม่นางจูอย่างอดไม่ได้
ไม่ต้องสนใจจริงๆ น่ะหรือ
ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจริงๆ น่ะหรือ
แม้ว่าพวกเขาสกุลเกาจะไม่ชอบพวกราชนิกุลตระกูลฉินเหล่านี้
ที่มักจะวางมาดดูถูกคน แต่ท่านพ่อก็เคยบอกว่าคุณชายฉินคนนี้
มองคนมองเรื่องราวได้แม่นยำยิ่ง
“ข้าอยากจะพูดว่าคนพวกนี้พูดพล่าม มาค่อนวันก็เพื่อ
ตัดสินใจให้ไอ้เด็กนั่นออกจากวังรึ” ท่านชายเกาเอ่ย
ฉินหูมองเขาแวบหนึ่ง
“ท่านชายมีความคิดเห็นใดอีกหรือ” เขาถาม
ท่านชายเกาหัวเราะ
“ข้าเรียนหนังสือไม่เก่ง” เขาเอ่ยช้าๆ “ข้ารู้แค่ว่าโบราณว่าไว้
ตัดหญ้าต้องถอนรากถอนโคน”เสียงขิมข้างหูไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด ยังคงรื่นหูสม่ำ เสมออยู่
ราวกับว่าคนดีดไม่ได้ยินคำพูดอันน่าตกใจนี้สักนิด
แม่นางจูจมดิ่งไปกับขิม มุมปากยังมีรอยยิ้มบางประดับ แต่ว่า
หากมองให้ดีแล้ว ในดวงตานางมีน้ำตาคลออยู่ ทว่าไม่มีใครมอง
นางอย่างตั้งใจก็เท่านั้น
“พูดเสียง่ายนัก” ฉินหูเอ่ย แย้มยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น
“เมื่อก่อนพวกเจ้ากำจัดไม่ได้ ตอนนี้…”
“ก็ใช่นะสิ ตอนนี้มีคนที่สามารถฟื้นคืนความตายช่วยเหลือ
แล้ว” ท่านชายเกายิ้มเอ่ย
“เกี่ยวอะไรกับนาง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าใกล้ตาย หาม
ไปหานาง นางก็จะให้นางฟื้นคืนจากความตายเหมือนกัน” ฉินหูเอ่ย
ท่านชายเกาหัวเราะยกใหญ่
ฉินหูลุกขึ้น
“จะเป็นแบบนั้นแน่หรือ” ท่านชายเกาถาม “ดูท่าข้าจะไม่รู้จัก
แม่นางเฉิงดีพอจริงๆ เสียแล้ว”
เสียงขิมหยุดลงตรงนี้ ภายในห้องตกสู่ความเงียบงันท่านชายเกามองไปทางแม่นางจู
“ข้าก็ลืมไป แม่นางจูสนิทสนมกับตระกูลเฉิง ไม่รู้ว่ารู้จักแม่นาง
เฉิงผู้นี้ดีหรือไม่” เขายิ้มเอ่ย
แม่นางจูแย้มยิ้มบาง
“ท่านชายล้อกันเล่นแล้ว หากจะบอกว่าสนิทสนมรู้จักดีนั้น
บ่าวว่าไม่มีใครสนิทสนมรู้จักแม่นางเฉิงดีได้เท่าใต้เท้าฉินแล้วเจ้าค่ะ
” นางเอ่ย
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ฉินหูที่กำลังเดินไปทางประตูก็หยุดฝีเท้า
ลงมองไปยังนาง
ในที่สุดเขาก็มองตนเต็มตาเสียที แม่นางจูมุมปากยกยิ้ม แม้ใน
ดวงตาเขานั้นจะเต็มไปด้วยความเย็นชาและรังเกียจก็ตาม
“…ขาของใต้เท้าฉินเป็นแม่นางเฉิงรักษาให้หายกระมัง”
ร่างกายนางแข็งค้าง แต่คำพูดจากริมฝีปากยังคงเอ่ยออกมา
ประโยคนี้เอ่ยออกมา นางเองกลับอยากจะร้องไห้
เหตุใดนางจึงพูดประโยคนี้ เพื่อให้เขามองตนเต็มตาสัก
ครั้งหนึ่งหรือเพราะเกลียดที่เขาแก้ต่างให้กับแม่นางผู้นั้นและไม่เสียดายที่จะลากตนเข้าไปร่วมด้วยกันแน่
เมื่อก่อนบอกว่าตนจงใจวางแผนใส่ร้ายตระกูลเฉิง วันนี้ตอนนี้
พอตนเข้ามาแล้วก็ทำให้ท่านชายเกาพูดวาจาพรรค์นี้ออกมา
แลกเปลี่ยนความเห็นกันในเรื่องพรรค์นั้น
ได้ยินท่านชายเกาเอ่ยถึงชีวิตความเป็นความตายของคน แล้ว
ตนก็จำ ต้องโดนขังอยู่กับตระกูลเกาตลอดไป อย่าได้คิดจะมีอิสระไป
ชั่วชีวิต
เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร เขาโหดเหี้ยมเพียงนี้ได้อย่างไร
ไม่ เขาทำแบบนี้ก็ไม่ผิด เพื่อปกป้องคนที่ตนใส่ใจ ทำอะไรก็
ไม่ผิดทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นนางเองที่สารเลวใส่ร้ายให้ตระกูล
เกากับตระกูลเฉิงผูกพยาบาทกัน สารเลว…
“ใช่นะสิ ข้ารู้แล้วว่าอะไรคือการรู้คุณคน”
“แต่ว่ามีคนบางคนที่รู้จักแต่กินบนเรือน ขี้บนหลังคา”
ไม่รู้ว่าประตูปิดลงไปตอนไหน ฉินหูกับท่านชายเกาได้ออกจาก
ห้องไปแล้ว แม่นางจูยังคงนั่งอยู่หน้าขิมอย่างเหม่อลอย ข้างหูยังมี
คำพูดของฉินหูดังก้องไปมา ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าใด นางโน้มตัวหมอบกับพื้นปิดหน้าร้องไห้อย่างหนักเหมือนโดนสูบเรี่ยวแรงให้
เหือดหาย
ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม แต่นางจะเอ่ยคำพูดเช่นนั้นออก
ไปได้อย่างไร ถูกต้องแล้ว นางมันสารเลว…
“ท่านชาย พวกเรากลับไปหรือว่าไปไหนต่อขอรับ”
บนทางเดิน ผู้ติดตามเอ่ยถามท่านชายเกา
ท่านชายเกาขมวดคิ้วคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่รู้ว่าทางท่านพ่อจะพูดคุยไปถึงไหนแล้ว” เขาเอ่ยยังไม่ทัน
ขาดคำ ในมุมเลี้ยวมีคนพุ่งออกมา
บรรดาผู้ติดตามรีบคุ้มกันท่านชายเกาไว้ แต่เห็นคนๆ นั้น
คุกเข่าลงโขกหัวกับพื้น
“เจ้าอีกแล้วรึ” ผู้ติดตามคนหนึ่งจำ คนๆ นี้ได้ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า
“ทำอะไรน่ะ”
ชุนหลิงเงยหน้าขึ้น รอยบวมแดงบนใบหน้ายังไม่หายไป
ดวงตาคลอหน่วยด้วยน้ำตาแวววาว มองดูแล้วน่าสงสารนัก“ท่านชาย บ่าว บ่าวสามารถเป็นพยานได้เจ้าค่ะ” นางเอ่ย
เสียงสั่น
เป็นพยานอย่างนั้นรึ
“เป็นพยานอะไร” ท่านชายเกาขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ชุนหลิงคลานเข่าเข้าไปใกล้ ผู้ติดตามจะห้ามไว้ แต่ท่านชาย
เกายกมือขึ้นโบกเสียก่อน
“บ่าวเห็นมากับตา แม่นางเฉิงนั่นล่อสายฟ้าฆ่าคน” ชุนหลิง
กระซิบเสียงเบา
[1] เหามากมายไม่กลัวมันกัด ทำเรื่องน่าขายหน้ามากมายก็
ไม่เป็นไร