พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 579 วางใจ
ยามฟ้าสว่าง เฉิงเจียวเหนียงดึงเข็มทองออกจากมือท่านชาย
เฉิงสี่
“ท่านชายสี่ ชาผสมยาเจ้าค่ะ” ปั้นฉินยกถ้วยชาร้อนผสมยาให้
เขา
ท่านชายเฉิงสี่ใช้มืออีกข้างหนึ่งรับไปดื่มจนหมดถ้วย
“ท่านพี่รีบไปเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ทีท่าลังเล
“เจียวเหนียง ต้องลางานจริงหรือ” เขาเอ่ยถาม
“ใช่สิ ต่อไปนี้แค่กินยาก็พอ ไม่ต้องฝังเข็มแล้ว ท่านพี่กลับเจียง
โจวได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ขานรับ ใช้มือถูหัวเข่า
“ข้าว่าข้าอยู่เมืองหลวงต่อดีกว่า” เขาเอ่ย “ดีกว่าปล่อยให้
เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว”
เฉิงเจียวเหนียงยังไม่ได้พูดอะไร แม่นางหวงก็อุ้มลูกเดินเข้ามา“ท่านชายสี่วางใจเถิด พวกข้าก็ยังอยู่” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
พลางหันไปขยิบตาให้เขา “ฟังที่เจียวเหนียงพูดเถิด”
ท่านชายเฉิงสี่จึงหัวเราะขึ้น
ใช่ เขาก็ช่วยอะไรนางไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นฟังที่นางพูด ทำให้นาง
พอใจดีกว่า
“ได้” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป
แจ้งเรื่องลากับราชสำ นัก”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ลุกขึ้นมองท่านชายเฉิงสี่เดินออกไป
“มีคนตามไปไหม” นางเอ่ยถาม
“มีเจ้าค่ะ มีคนตามไปสี่คน” สาวใช้เอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาจาก
ใต้ระเบียง “นายหญิง ได้เวลาฝึกยิงธนูแล้ว”
ฉินหูถูกขวางไว้ที่หน้าราชสำ นัก
“ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านชายเกายังไม่ถึงขั้นต้องร่ำลากัน
หรอกกระมัง” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
ท่านชายเกาหัวเราะร่า“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเจ้าหรอก ข้าเพียงมากำชับเรื่องงาน
แล้วก็กำลังจะกลับแล้ว” เขาเอ่ย
ฉินหูหัวเราะ ยกมือขึ้นคำนับและก้าวเท้าเข้าไปข้างใน แต่
ท่านชายเกากลับดึงตัวเขาไว้
“แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็มีเรื่องต้องรบกวนพอดี” เขาเอ่ย
ฉินหูสะบัดมือเขาออก
“เรื่องอะไร” เขาเอ่ยถาม
“ข้าเกรงว่าคนในเมืองหลวงที่จะเชิญแม่นางเฉิงออกมาดื่ม
ชาได้คงมีไม่มาก” ท่านชายเกาหัวเราะเอ่ยขึ้น
แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกฉินหูใช้มือจับข้อศอกไว้
“เจ้าลองทำอะไรนางดูสิ” เขากระซิบขึ้น
ท่านชายเการีบยื่นมือมาตบข้อศอกเขา
“ข้าไม่ได้โง่แล้วก็ไม่ได้บ้า จะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร!” เขา
กระซิบขึ้นเช่นกัน “ฟังนะ วันนี้ช่วงบ่ายเจ้าไปเชิญนางออกมาดื่มชา
เงียบๆ ทำตัวตามสบายที่หอเต๋อเชิ่งสักครึ่งวัน”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าฉินหูก็เปลี่ยนไป เขาหันมองท่านชาย
เกาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ท่านชายเกาหันมายิ้มและสะบัดมือเขาออก
“ไม่ต้องขอบคุณ ขอให้เจ้าเริงร่าใช้เวลากับสาวงามอย่าง
มีความสุข” เขาเอ่ย แล้วจึงหันหลังเดินจากไป
ฉินหูหันมองตามท่านชายเกาที่กำลังขึ้นหลังม้า ท่านชายเกา
หันมายกมือให้เขาอีกครั้ง ใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง แล้วจึงขี่ม้าจากไป
ฉินหูสีหน้ากลัดกลุ้มหันมองภายในราชสำ นัก แล้วจึงหันมอง
วังหลวง
หากจะกำจัดก็ต้องกำจัดให้ถึงรากถึงโคน…
เป็นเพราะเขาทั้งนั้น ที่ก่อเรื่องให้นางมาแล้วนักต่อนัก…
เด็ดเดี่ยวเมื่อต้องเด็ดเดี่ยว กำจัดให้ถึงรากถึงโคน
…
ภายในวังหลวง ไทเฮาโบกมือไปมา ขันทีตรงหน้าจึงรีบยกโต๊ะ
ที่วางสาส์นกองพะเนินออกไป
“ไทเฮา ลำบากไทเฮายิ่งนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นไทเฮาหันมองเขาพลันถอนหายใจ
“เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ขดตัวพร้อม
ดวงตาแดงก่ำ
“ไทเฮารักษาสุขภาพด้วย” เขาเอ่ยสะอึกสะอื้น
ไทเฮาน้ำตาไหลรินทันที
ขันทีในห้องรีบเข้ามาปลอบ
“จวิ้นอ๋องได้โปรดอย่าทำให้ไทเฮาร้องไห้เลย ไทเฮายังแทบ
มิได้หยุดร้องไห้เลย หมอหลวงบอกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจ
ตาบอดได้” ขันทีเอ่ยขึ้นน้ำตาไหลริน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้น คลานเข่าเข้าไปพร้อมสีหน้าไม่อยากจะ
เชื่อ
“ไทเฮา ไทเฮา อย่าร้องไห้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาตะโกนขึ้นพลาง
ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตัวเอง “ดูสิ กระหม่อมไม่ร้องแล้ว กระหม่อม
ไม่ร้องแล้ว”
ไทเฮากุมมือเขาพยักหน้า“ไทเฮา พวกเราต้องหยุดร้องไห้แล้ว ไทเฮาต้องรักษาสุขภาพ
ฝ่าบาทกับกระหม่อมจะขาดไทเฮาไปไม่ได้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลั้น
น้ำตาเอ่ยขึ้นเสียงแหบ
ไทเฮาพยักหน้าอีกครั้ง
ทั้ง
สองปาดน้ำตา เหล่านางกำลังจึงหยิบผ้าเข้ามาเช็ดตาและ
เทชาร้อนเพิ่มให้
“เจ้าเองก็ไม่ได้มานานแล้ว” ไทเฮาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้า โค้งหัวคำนับ
“ไทเฮา กระหม่อมควรหลีกเลี่ยง” เขาเอ่ย
“เจ้าอย่ามาใช้คำว่ากระหม่อมต่อหน้าข้า” ไทเฮาเอ่ยอย่าง
โกรธเคืองพลันชี้นิ้วไปที่สาส์นบนโต๊ะ “ที่เจ้าบอกว่าหลีกเลี่ยง คือ
สาส์นร้องเรียนไร้สาระพวกนี้ใช่ไหม สาส์นที่บอกให้เชิญออกนอก
เมืองหลวงอะไรนั่น ลูกหลานของข้าคนพวกนั้นมาเกี่ยวอะไรด้วย!”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องฝืนยิ้มหันมองด้วยความซึ้งใจ
“ไทเฮา กระหม่อมรู้ถึงความหวังดีของไทเฮา เพียงแต่ต่อไป
จะพูดเช่นนี้มิได้แล้ว” เขาเอ่ย “เพราะกระหม่อมควรถูกร้องเรียน”ไทเฮามองเขา นึกอยากร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง
“หลานข้า เจ้าดีเยี่ยงนี้ ทำไมพวกเขาถึงมองไม่เห็น” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบโค้งคำนับ
“ไทเฮาได้โปรดอย่าร้องไห้อีกเลย กระหม่อมสุขสบายดี
มีไทเฮาอยู่ กระหม่อมก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” เขาเอ่ย
ไทเฮากลั้นน้ำตาพยักหน้า พลันหันไปกำชับว่า
“ไปเชิญชิ่งอ๋องมา” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องดีใจจนปิดไม่อยู่ สายตามองตามหันขันทีไป
ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด
ไม่เจอชิ่งอ๋องมานานมากๆ แล้ว…
“ที่จริงก็ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันเองนี่” ไทเฮาเห็นท่าทางของเขา
ก็อดหัวเราะไม่ได้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปฉีกยิ้มให้ไทเฮา
“ตั้งแต่ออกศึกในครั้งนั้น ครานี้คงห่างกับชิ่งอ๋องยาวนานที่สุด
แล้ว” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ สายตายังคงจับจ้องไปที่นอกประตู
ไทเฮาส่ายหน้าหัวเราะ“พวกเจ้าสองคนนี่ดีจริง” นางเอ่ยด้วยความซึ้งใจ แววตา
เปล่งประกายลังเลออกมา
“ไทเฮาอย่าร้องไห้อีกเลย” ขันทีกระซิบขึ้นพลางยื่นผ้าให้นาง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นก็รีบหันกลับมา
“ไทเฮาอย่าร้องไห้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบเอ่ย เมื่อเห็นไทเฮารับ
ผ้าไปเช็ดดวงตาแล้วจึงวางใจ
เสียงพึมพำของชิ่งอ๋องดังขึ้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องกระโดดขึ้นจาก
พื้นทันที
“ปัดโธ่ ข้าตกใจหมดเลย” ไทเฮาหัวเราะตะโกนขึ้น เห็นจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องวิ่งไปที่ประตูและดึงชิ่งอ๋องเข้าในอ้อมกอดเรียบร้อยแล้ว
“ลิ่วเกอร์ ลิ่วเกอร์” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตะโกนซ้ำ ไปมาพลางจับบ่า
ชิ่งอ๋องมองซ้ายมองขวาสำ รวจทั่วร่าง พร้อมเอ่ยถามว่า “คิดถึงพี่
ใช่ไหมเล่า”
ชิ่งอ๋องไม่ชอบถูกรัดตัว จู่ๆ มาจับตัวเขาแบบนี้จึงตะโกน
โวยวายหลบหนีทันทีแต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่สนใจ ยังคงพูดปลอบพลางสำ รวจมองเขา
ต่อไป
“คิดถึงพี่หรือยัง พี่เอาของอร่อยๆ มาให้ด้วยนะ”
เมื่อได้ยินจิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดจ้ออย่างน่าขันเช่นนี้ เหล่าขันทีใน
ห้องก็หันมองหน้ากันพูดพึมพำกับตัวเอง
ยังจะถามว่าคิดถึงพี่ไหมอีก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าใครเป็นใคร!
“ไทเฮาต้องดูแลชิ่งอ๋อง ลำบากแย่เลย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปเอ่ยพร้อมคำนับไทเฮาหลังจากภายใน
ห้องกลับสู่ความสงบ
“พูดอะไรกัน เดิมทีข้าก็ต้องเป็นคนดูแลอยู่แล้ว ปล่อยให้
เจ้าต้องลำบากไปด้วยตั้งนานเสียมากกว่า” ไทเฮาส่ายหน้าเอ่ยขึ้น
พลันหันไปสั่งให้ตั้งสำ รับ
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องทำท่าลังเล หันไปมองชิ่งอ๋อง
อย่างอดไม่ได้
“ไทเฮา กระหม่อมไม่ควรอยู่ร่วมมื้ออาหาร กระหม่อมเข้ามา
ค่อนข้างนานแล้ว” เขาคำนับเอ่ยขึ้นไทเฮาสีหน้าบูดบึ้งทันที
“กระทั่งข้าวสักมื้อก็กินไม่ได้เชียวหรือ” นางเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
พลันใช้มือตบโต๊ะชี้นิ้วไปอีกฝั่ง “เอาสาส์นพวกนั้นไปเผาทิ้งให้หมด”
“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบพูดรบเร้า “ไม่ได้เด็ดขาด”
ไทเฮาหันมองเขา ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“แต่ที่เจ้าระวังตัวก็ถูกแล้ว ขุนนางพวกนี้ปากดีกันทุกคน” นาง
เอ่ย พลันหันไปโบกมือทักทายชิ่งอ๋อง “ชิ่งอ๋องมาบอกลาท่านพี่เร็ว”
ชิ่งอ๋องทำแบบนั้นเป็นที่ไหนกัน เขาคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นเท
ใส่ปาก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบยื่นมือไปคว้าไว้
“ชิ่งอ๋องหิวแล้ว” เขาเอ่ย หันมองชิ่งอ๋องด้วยสีหน้าอ่อนโยน
สายตาไม่อยากจะพรากจากเขาไป สุดท้ายจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ตั้ง
สำ รับเถิด กระหม่อมก็ไม่ได้กินข้าวที่ตำหนักไทเฮานานแล้ว”
ใบหน้าไทเฮาสั่นเครือ มือที่วางอยู่ตรงหน้ากำหมัดขึ้น เปิดปาก
เหมือนจะเอ่ยอะไร แต่ขันทีในห้องได้เอ่ยไปก่อนแล้วว่า
“ตั้งสำ รับ”ขันทีตะโกน แล้วจึงหันยิ้มตาหยีให้จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“รู้ว่าจวิ้นอ๋องจะมา ไทเฮาจึงสั่งให้ทำแต่ของที่จวิ้นอ๋องชอบแต่
เด็ก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบอมยิ้มคำนับ
“ขอบพระทัยไทเฮา” เขาเอ่ย
ไทเฮามองเขาด้วยความซึ้งใจ
“เจ้ามารยาทดีตั้งแต่เด็ก ไม่เลือกกิน ชอบกินไปหมดทุกอย่าง
ข้าก็ไม่ได้ลำบากอะไร” นางเอ่ย
อาศัยคนอื่นอยู่ ก็ต้องก้มหน้าก้มตากินไป จะเลือกมากได้
อย่างไร
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้า แล้วจึงเงยหน้าขึ้นอมยิ้มพยักหน้าให้
ไทเฮาอีกครั้ง
อาหารกลางวันมิได้ใช้เวลาทานนานเท่าไหร่ เพราะไทเฮา
จิตใจหม่นหมองจึงกินไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ส่วนชิ่งอ๋องก็กินไปเล่น
ไป พอไม่หิวมากก็หยุดกินและโยกตัวไปมาโวยวายจะออกไปทันทีจิ้นอั้นจวิ้นอ๋องปลอบให้ชิ่งอ๋องกินข้าวหมดชามก่อน แต่ชิ่งอ๋อง
ทนนั่งต่อไปไม่ไหว ดีดดิ้นพร้อมตะโกนโวยวาย
“เอาละ เอาละ ให้เขาไปเถิด” ไทเฮาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องวางชามลง จ้องมองชิ่งอ๋องอย่างอาลัยอาวรณ์
ยกมือขึ้นเช็ดปากให้เขา
ชิ่งอ๋องผลักเขาออกด้วยความรำคาญ บ่นพึมพำในปากพลาง
วิ่งออกจากห้องไป
เหล่าขันทีพากันวิ่งตามออกไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้น เดินตามไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อก้าวได้สอง
ก้าวก็หยุดฝีเท้าลง
“ไม่เป็นไร ต่อไปก็เข้ามาบ่อยๆ ” ไทเฮาเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าพวก
คนนอกจะว่าอย่างไร พวกเราครอบครัวเดียวกันก็รู้ใจกันดี ไม่ต้อง
กลัวที่พวกเขาพูดหรอก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปพยักหน้าให้ไทเฮา
“ใช่ กระหม่อมไม่กลัว” เขาเอ่ย
ขันทียกชาเข้ามาให้“จวิ้นอ๋อง ดื่มชาพะยะค่ะ” เขาก้มหน้าโค้งตัวเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมองถ้วยชา แล้วจึงยื่นมือไปรับมาดื่มจน
หมด
“ไทเฮา กระหม่อมกราบทูลลา”
ไทเฮาลุกขึ้น สีหน้าเศร้าสร้อยมองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องโค้งคำนับ
ดวงเริ่มมีน้ำตาไหล่เอ่อ
“เหว่ยหลัง…” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นี่เป็นครั้งเดียวที่นางเรียกเขาด้วยชื่อนี้ตั้งแต่เขาเข้ามา จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องจึงเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา
“เหว่ยหลัง…” ไทเฮาจ้องมองเขา
“ไทเฮาโปรดอย่างร้องไห้เลย กระหม่อมจะมาเยี่ยมอีก” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องพูดจบพลันโค้งคำนับอีกครั้ง
ไทเฮานั่งมองจิ้นอั้นจวิ้นอ๋องค่อยๆ ถอยออกไป แล้วจึงลุกขึ้น
ก้าวตามไปอย่างอดไม่ได้ เหล่านางกำลังพยุงไทเฮาเดินออกมา
“เหว่ยหลัง” นางตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ไทเฮา ด้านนอกแดดจ้า อย่าออกไปเลย” ขันทีเอ่ยขึ้น หยุด
ฝีเท้าลงหน้าประตู
จิ้นอันจวิ้นอ๋องซึ่งเดินออกไปแล้วหันกลับมายิ้ม
“ไทเฮา อย่าออกมาเลย พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ย แล้วจึงโค้ง
คำนับอีกครั้ง “กระหม่อมกราบทูลลา”
พูดจบก็สาวเท้าเดินออกไป
ไทเฮามองดูชายหนุ่มค่อยๆ เดินจากไป น้ำตาพลันทะลัก
ออกมาอีกครั้ง
“หลานข้า… หัวใจข้าช่างเจ็บปวดเหลือเกิน…” นางยกมือขึ้น
ทาบอก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงกับพื้น
เหล่าขันทีและนางกำนัลรีบเข้ามาพยุงตัว
ภายในตำหนักชิ่งอ๋อง ขันทีและมู่เหลียวสองสามคนนั่งรอกัน
อย่างร้อนใจ เมื่อเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเข้ามาก็พากันเข้าไปมุง
“จวิ้นอ๋อง เหตุใดจึงไปนานนักพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารคนหนึ่ง
ถามขึ้นด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไทเฮาให้อยู่กินข้าวด้วยน่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเหล่านายทหารสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“จวิ้นอ๋อง ไม่ได้บอกแล้วหรือว่าห้ามกินข้าวในวังหลวง
เด็ดขาด” ใครคนหนึ่งลุกลี้ลุกลนเอ่ยขึ้น “รีบไปเชิญหมอหลวงหลี่
มา”
“ใช่ เวลาเช่นนี้ จำ เป็นต้องป้องกันไว้” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเพียงทำหน้านิ่งไม่ได้พูดอะไร อยู่ดีๆ ก็หยุด
ฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“จวิ้นอ๋อง” ทุกคนตกใจสะดุ้งรีบหันมาดูเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องค่อยๆ ยกมือขึ้น มองเข้าไปในแขนเสื้อ
“ข้าบ้วนชาครึ่งถ้วยออกใส่แขนเสื้อ” เขาพูดช้าๆ น้ำเสียง
ค่อนข้างแหบ “ข้าบ้วนชาครึ่งถ้วยออกใส่แขนเสื้อ”
หมายความว่าอะไร
ทุกคนไม่เข้าใจ หันมองแขนเสื้อจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เห็นแขนเสื้อ
ด้านขวาเปียกชุ่ม
“ข้าบ้วนชาครึ่งถ้วยออกใส่แขนเสื้อไง!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องคำราม
เสียงดัง ยังคงพูดประโยคนี้ซ้ำ อีกครั้ง จากนั้นจึงเงยหน้า ถลนตาตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ไทเฮา กระหม่อมบ้วนชาครึ่งถ้วยออกใส่แขนเสื้อ!”
เมื่อพูดจบ เลือดก็พุ่งกระอักออกมาจากปาก ลำตัวเขาโน้ม
ตามแรงไปข้างหน้า
“จวิ้นอ๋อง!”
“รีบไปตามหมอหลวงหลี่มา!”