พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 581 ไม่มา (1)
ณ หอเต๋อเซิ่ง ท่านชายเฉิงสี่ก้าวเท้าวนไปเวียนมาอย่าง
กระสับกระส่าย
“เหตุใดยังไม่มาอีกนะ เจ้าไปดูให้ข้าที” ท่านชายออกคำสั่ง
ผู้ติดตามคนสนิทรีบน้อมรับ ขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดประตู
จู่ๆ บานประตูก็ถูกเปิดออก ปรากฏแม่นางจูสวมชุดออกงานอรชรยืน
อยู่เบื้องหน้า
“ข้ามิทราบว่าเป็นท่านชายเฉิง โปรดอภัยที่ข้าแต่งองค์
ทรงเครื่องนานไปหน่อย หวังว่าท่านจะเข้าใจ” นางย่อตัวทักทาย
พลางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่โน้มตัวตอบรับ
“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ย พลางชี้นิ้วไปยังห่อที่วางไว้ด้านหน้า “เจ้า
เอากลับไปเถิด ข้าไม่ต้องการ”
“นี่เป็นเงินของท่านเจ้าค่ะ” แม่นางจู่เอ่ย
แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับส่ายหัว“นี่ไม่ใช่เงินของข้า”
พลางคิดในใจ นี่เป็นเงินของแม่นางเฉิงต่างหากล่ะ
แม่นางจูเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหลบตา
“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยยิ่งรับไว้ไม่ได้เลยค่ะ” นางเอ่ย “ข้าน้อย
ไม่คู่ควร”
“เงินนี่ไม่ใช่สำ หรับเจ้าหรอก” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
แม่นางจูเงยหน้ามองพลางทำท่าฉงน
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่คู่ควร แต่หมายถึงว่าเงินนี้
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า” ชายหนุ่มอธิบาย “เงินนี้เป็นเงินที่น้อง
ของข้าให้ไว้ต่างหาก”
ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยด้วยแววตาอิ่มเอมเปรมใจ
ไม่ว่าใครที่เอ่ยชื่อนางมักจะมีอาการเช่นนี้ทุกครั้งไปสินะ
“เจ้าอย่าได้คิดมากเลย ในเมื่อเอาเงินไปใช้แล้ว จะมาทวงคืนก็
กะไรอยู่” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยพลางหัวเราะ “หากได้เงินคืนมาจริงๆ ข้า
ก็คงเอาไปให้น้องข้านั้นแล”
แม่นางจูหัวเราะ“คงเป็นที่น่าอิจฉายิ่งนักหากมีพี่ชายเช่นท่าน” หญิงสาวเอ่ย
นัยน์ตารื้น “แต่ก่อนข้าเองก็เคยมีพี่ชาย แต่กลับด่วนจากไปเสียก่อน
…”
ท่านชายเฉิงสี่เมื่อเห็นเข้าก็ทำท่ากังวล
“เจ้า เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้สิ” ชายหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูก “ที่จริง
ไม่มีอะไรน่าอิจฉาหรอก ข้าเป็นแค่พี่ชายที่ไร้ประโยชน์ จะว่าไป
ที่จริงน้องสาวข้าเจอเรื่องสาหัสกว่าเจ้าเยอะโขเลยล่ะ”
สาหัสว่าเยอะโขเลยรึ
ยังมีเรื่องที่หนักกว่าการที่บุพการีถูกลงโทษจนตายส่วนตนก็
ถูกบังคับมาอาศัยยังหอนางโลมอีกอย่างนั้นรึ
แม่นางจูแสยะยิ้ม
นั่นสินะ แม่นางเฉิงเคยเป็นคนสติไม่ดีมาก่อน แต่ต่อมานาง
ก็ได้พบกับผู้วิเศษเลยทำให้นางเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่เอาเถิด ชีวิตนี้
นางคงมิได้พบกับผู้วิเศษที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตนางแบบนั้นหรอก
“เจ้าอย่าเพิ่งหัวเราะสิ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย “น้องสาวของข้ากว่า
จะมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย ภายในใจของนางคงเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงแม้นางจะไม่เคยแสดงออกมาแต่ข้าก็ดูออก ตัวข้าเป็น
พี่ชายแท้ๆ ยังช่วยอะไรนางไม่ได้เลย”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ตั้งสติขึ้นได้
“นี่ข้าพรั่งพรูอะไรออกไปเนี่ย” ชายหนุ่มหัวเราะแก้เขิน “ข้า
ควรกลับแล้วล่ะ”
แม่นางจูหัวเราะพลางคว้าหมับเข้าไปที่แขนคนตรงหน้า
“ท่านชายเฉิง อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว แถมยังไม่รับเงินจากข้าไป
อีก อย่างน้อยก็ให้ข้าได้ปรนนิบัติท่านอย่างสุดความสามารถของข้า
ด้วยเถิด” แม่นางจูเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม
ความเว้าวอนและทะเยอทะยานที่เผยออกมาผ่านนัยน์ตาของ
แม่นางจู ทำเอาผู้ติดตามของท่านชายถึงกับตกอยู่ในภวังค์
ปรนนิบัติท่านอย่างสุดความสามารถงั้นหรือ…
ปรนนิบัติอย่างสุดความสามารถ สำ หรับนางโลมแล้ว
หมายความว่าเช่นไรกันนะ
“ข้าไม่รบกวนเวลาของเจ้าจะดีกว่า ขอตัวก่อนละ” ชายหนุ่ม
เอ่ยลาด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า“ชุนหลิง” แม่นางจูหันไปเรียกสาวใช้คนสนิท
ชุนหลิงรีบเข้ามาพร้อมกับเครื่องดนตรี
“ท่านชายฉิน ให้พวกเราได้แสดงอย่างสุดความสามารถด้วย
เถิด” นางเอ่ย “วันหลังอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”
ขณะที่ท่านชายสี่กำลังจะเดินออกไป แม่นางจูก็นั่งลงแล้วเริ่ม
บรรเลงเพลง เสียงดีดของสายเครื่องดนตรีก็ค่อยๆ ดังขึ้น ติงติง ตง
ตงเป็นทำนอง ตามด้วยคำร้องจากลูกคอหญิงสาว
‘รักครั้งก่อนลึกซึ้งแค่ไหน ราวกับฝนที่ตกต่อเนื่องใน
ฤดูใบไม้ร่วงลง บนภูเขาชิงจงภายใต้แสงตะวันยามอัสดง’
เสียงเพลงที่ปลุกเร้าอารมณ์โดดเดี่ยวว่างเปล่าทำเอาท่านชาย
เฉิงสี่ถึงกับต้องหยุดฝีเท้า
‘ความรกร้างว่างเปล่าภายในใจที่มิอาจบอกใคร ลมตะวันตก
พัดเอื่อยใบไม้แดงของต้นเฟิง ความลับในใจเป็นหมื่นล้านและเพิม
พูนขึ้นเรื่อยๆ’
ทหารอารักขาสี่คนที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงบรรเลง
เพลงเล็ดลอดออกมาก็สบตากัน จากนั้นก้มหน้าก้มตาพูดคุยกันต่อด้วยเสียงที่เบาลง
ผิวน้ำกระเพื่อมแผ่ออกเป็นคลื่น ดอกบัวใบบัวขยับตามคลื่น
น้ำ ฉินหูคว้ามือลงไปเด็ดดอกบัวที่เพิ่งจะบานได้แค่ครึ่งเดียว
“ระวังจะถูกทำโทษเอานะท่าน” สาวใช้จุ๊ปากเตือน
ฉินหูหัวเราะพลางยื่นดอกไม้ให้เฉิงเจียวเหนียง
หญิงสาวยื่นมือรับ
“เจ้าชอบดอกไม้อะไรหรือ”ฉินหูเอ่ยถาม
“ดอกไม้ทุกดอกก็สวยเหมือนกันหมด ไม่มีชอบหรือไม่ชอบ
หรอก” หญิงสาวหัวเราะพลางมองดอกบัวในมือ
“แม้กระทั่งดอกไม้ เจ้าก็ว่าเหมือนกันหมดอย่างนั้น” ชายหนุ่ม
หัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ดอกไม้ทุกดอกมันก็ไม่เหมือนกันไปหมดหรอกน่า” เขาพึมพำ
หยอกล้อนาง เอ่ยจบก็ชี้นิ้วไปอีกทิศนึง “เจ้าดูสิ ดอกนั้นบานสวย
กว่าอีก ไปดูกันเถอะ”เฉิงเจียวเหนียงมองตาม แล้วพยักหน้า
“ข้าเตรียมกระดาษกับน้ำหมึกมาด้วย คราวก่อนเจ้าเคย
วาดรูปให้ข้า งั้นคราวนี้ข้าจะวาดให้เจ้าบ้าง” ฉินหูเอ่ย
“วาดรูปรึ จะวาดเสร็จทันฟ้ามืดแล้วไหมเจ้าท่านชาย” สาวใช้
เอ่ยพลางหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้น สงสัยคงต้องให้ท่านชายฉินเลี้ยงมื้อ
เย็นเสียแล้วสิ”
… ปั้น
ฉินที่วิ่งหอบแหกเข้ามาในลานแห่งหนึ่ง ดูไม่มีท่าทีว่า
จะหยุดวิ่งง่ายๆ
“ยังเหลือที่ไหนอีกรึ”
นางรีบถามคนรถที่มือกำลังขยับแส้ให้ม้าวิ่ง
“มุ่งหน้าไปทางตะวันออกไม่ไกลนักมีสวนบัวตั้งอยู่ด้านหลัง
ร้านเหล้า” คนขับเอ่ยกับนาง
“รีบไปเถิด” ปั้นฉินเอ่ยทั้งน้ำตา
พลันนึกในใจ อย่าเพิ่งรีบด่วนจากไปนะฝ่าบาท หากฝ่าบาท
ไม่อยู่แล้ว นายหญิงคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานแล้วเป็นแน่แค่เรื่องที่ท่านผิงอ๋องถูกฟ้าผ่าก็ลำบากนายหญิงจะแย่แล้ว
หากท่านจิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน แล้วนายหญิงจะเป็น
ยังไงต่อไปล่ะ!
รถม้าพุ่งทะยานออกไป พอถึงที่หมาย รถยังไม่ทันจะจอดดี ปั้น
ฉินก็รีบกระโดดลงจากรถเสียจนสะดุดล้มลง นางไม่รอให้คนรถ
มาช่วยพยุงตัว แต่กลับหยัดตัวขึ้นด้วยตัวเองแล้วรีบพุ่งตัวเข้าไป
ด้านใน ประจวบเหมาะโจวฝูเดินออกมาจากด้านใน
“ท่านชายหก” ปั้นฉินตะโกนเรียกชายหนุ่ม
“นางไม่อยู่ที่นี่” โจวฝูตะโกนบอกปั้นฉิน ผิวปากเรียกอาชาไนย
ที่ยืนพักอยู่ด้านข้าง ไม่รอช้าก็รีบกระโดดขึ้นม้าแล้วพุ่งตัวออกไป
เมื่อได้รู้ดังนั้น ปั้นฉินก็รีบหันหลังวิ่งกลับไปที่รถ
เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังสนั่นไปทั่วทั้งถนนเสียจนสัตว์เล็ก
สัตว์น้อยที่อยู่รอบๆ เริ่มส่งเสียงดัง ชาวบ้านออกมาตะโกนด่ากราด
แต่โจวฝูกลับไม่ได้ยิน
‘ท่านชายฉินชอบชมดอกไม้ที่ไหนกันนะ’
ในหัวของเขาเอาแต่คิดถึงคำถามนี้ชมบ้าชมบออะไรกัน! คนขี้คร้านอย่างเขาน่ะหรือจะเนื้อเต้นกับ
การชมดอกไม้ ทำลายดอกไม้ยังว่าไปอย่าง ถ้าไปชมดอกบัวจริงๆ
เจ้านั่นคงเลือกไปที่ๆ ดอกบัวเริ่มเหี่ยวเฉาแล้วกระมัง
ดอกบัวที่เหี่ยวเฉางั้นรึ!
จู่ๆ โจวฝูก็นึกขึ้นได้
‘ดอกบัวที่วัดหกเซียนมิได้บานงามนัก แต่ดงดอกบัวเหี่ยวของ
ที่นั่นสวยงามใช่ย่อย’
ถ้อยคำของฉินหูที่เลือนรางค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวของเขา
ต้องเป็นที่วัดหกเซียนแน่ๆ !
โจวฝูไม่รอช้า รีบขยับแส้ลงไปบนหลังอาชาไนย
เสียงร้องและเสียงเกือกม้า รวมถึงเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่อยู่
รอบข้างดังระงมขึ้นพร้อมกัน
ชายหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกในทันใด
… ส
าวใช้ที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วพลางจ้องไปยัง
ชายหนุ่มที่มือกำพู่กันมาเป็นเวลาน่าจะครึ่งวันได้แล้ว“ท่านชายฉิน ยังขาดตรงนี้อีกเจ้าค่ะ”
“ตรงจุดนี้สำ คัญนัก ข้าวางพู่กันไม่ลงหรอก” ฉินหูเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหันมามองชายหนุ่ม
“เชิญแม่นางขอรับ” ฉินหูยื่นพู่กันให้
ขณะที่นางกำลังยื่นมือไปรับอยู่นั้น จู่ๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เฉิงเจียวเหนียง”
เสียงตะโกนของโจวฝูดังขึ้นพร้อมกันกับตอนที่พู่กันหลุด
ออกจากมือแล้วร่วงหล่นลงบนโต๊ะ น้ำหมึกกระจายไปทั่วทุกทิศ
“โธ่ น่าเสียดายนัก” สาวใช้เอ่ยร้อง
เฉิงเจียวเหนียงมองไปทางฉินหูที่ตอนนี้สีหน้าของเขาดูตกใจ
สุดขีด
“ข้าขออภัยด้วยที่รับไม่ทัน” หญิงสาวเอ่ยขอโทษ
ฉินหูหัวเราะ
“ข้าผิดเองที่ไม่ได้ยื่นให้เจ้าดีๆ” ชายหนุ่มเอ่ย สายตาพลาง
จับจ้องไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ เขาเลิกคิ้วขึ้น “เป็น
เพราะเจ้านี่แท้ๆ”โจวฝูไม่สนใจเขา เดินเข้าไปคว้าแขนเฉิงเจียวเหนียงในทันที
“รีบไปเร็วเข้า”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ” สาวใช้เอ่ยถามเสียงหลง
พอเห็นเฉิงเจียวเหนียงถูกลากตัวออกไป สาวใช้ก็รีบย่ำเท้า
ตามไปติดๆ
ฉินหูถอนหายใจ แล้วเดินตามไป