พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 581 ไม่มา (2)
“แม่นางเฉิง” จู่ๆ ก็มีบุคคลลึกลับบุกเข้ามา สองมือของเขา
กำลังถือถาด ในถาดนั้นมีม้วนกระดาษวางอยู่ “มีคนส่งสารมาให้
แม่นาง”
พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ ฉินหูก็รีบหยุดฝีเท้า สีหน้าของเขา
พลันเปลี่ยน
ตัวเขาสั่นเล็กน้อย มือที่วางไว้ข้างลำตัวค่อยๆ กำแน่นขึ้น
เลว! เลวยิ่งนัก!
“เลวแท้!” โจวฝูที่ถูกรั้งตัวอยู่ตะโกนขึ้น “ออกไปเดี๋ยวนี้”
แต่บุคคลแปลกหน้าผู้นั้นกลับทำได้แค่โค้งตัวคำนับ
“แม่นางเฉิง ข้าน้อยเกรงว่าหากท่านไม่เปิดอ่าน อาจต้อง
เสียใจภายหลัง”
พอโจวฝูยื่นมือหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมา คนแปลกหน้าก็รีบ
ถอยตัวหนีไป ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคเดิม
“แม่นางเฉิง หากท่านไม่เปิดอ่าน อาจต้องเสียใจภายหลัง”โจวฝูเข้าไปคว้าที่เสื้อของชายแปลกหน้าด้วยความโมโห
ทำให้ม้วนกระดาษที่อยู่ในถาดร่วงหล่นลงมา เฉิงเจียวเหนียง
รีบยื่นมือคว้าม้วนกระดาษพลันเปิดอ่านอย่างไม่ลังเล
“นายหญิง” สาวใช้ที่วิ่งตามหลังมา พอได้เห็นสีหน้าท่าทาง
ของนายหญิงที่เปลี่ยนไป ก็เริ่มรู้สึกต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แน่นอน จึงอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายไปด้วย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จำ นวนคนมากขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นตามมาด้วยเสียงตะโกนเรียก
“แม่นางเฉิงอยู่ที่นี่!”
“แม่นางเฉิง!”
ปรากฏองครักษ์สองนายวิ่งปรี่เข้ามา
“แม่นางเฉิง ฝ่าบาทกำลังรออยู่ที่เรือนของแม่นาง โปรดรีบ
กลับโดยด่วนขอรับ”
ฝ่าบาทงั้นรึ!
เมื่อได้ยินชื่อฝ่าบาท สาวใช้ดวงตาเบิกโพลงใจเต้นระส่ำ
“เรื่องอันใดรึ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม“มัวแต่ถามอยู่ได้ รีบไปก่อนเร็ว” โจวฝูเอ่ย พลางคว้าเข้าไปที่
ข้อมือนาง
แต่หญิงสาวกลับสะบัดออก
ปฏิกิริยาเมื่อครู่ของนางสร้างความฉงนให้แก่โจวฝู
“แม่นางเฉิง” องครักษ์นายหนึ่งก้าวเท้าออกมาพลางอธิบาย
“ฝ่าบาททรงประชวรหนัก หมอหลวงเองก็ช่วยไม่สำ เร็จ
ขอความกรุณาแม่นางรีบกลับไปโดยด่วนขอรับ”
สาวใช้เมื่อได้ยินดังนั้นก็เอามือป้องปากด้วยความตกใจ
นี่มันเรื่องอะไรกันที่หมอหลวงรักษาไม่ได้จนถึงขั้นต้องมาตาม
นายหญิงไปรักษา
หรือว่าจะเป็น โรคที่หนีไม่พ้นความตาย! ต้องใช่แน่ๆ !
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กันเล่า
สาวใช้ที่กำลังเตรียมจะวิ่งออกไป แต่พอเห็นว่านายหญิงของ
ตนยังยืนนิ่งอยู่กับที่ แถมในมือยังถือม้วนกระดาษนั้นอยู่ ก็เกิด
ความประหลาดใจ“อาการของฝ่าบาท หม่อมฉันรักษาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เฉิง
เจียวเหนียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ถ้อยคำเมื่อครู่ของนาง ทำเอาคนรอบกายที่ได้ยินต่างพากัน
หน้าถอดสี
“แม่นางเฉิง!” องครักษ์สองนายตะโกนเรียกนางพร้อมกัน
โจวฝูเองก็รู้สึกตกใจและประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน แต่
จุดสนใจของเขากลับเป็นม้วนกระดาษลึกลับที่อยู่ในมือเฉิงเจียว
เหนียง
สารนั่น จากผู้ใดกันแน่นะ
“แม่นางเฉิงยังไม่ได้เห็นอาการของฝ่าบาทเลยนะขอรับ เหตุใด
จึงด่วนตัดสิน” องครักษ์เอ่ยถาม
“หม่อมฉันไม่ต้องดูหรอกเจ้าค่ะ อาการของฝ่าบาท หม่อมฉัน
รักษาไม่ได้จริงๆ” หญิงสาวเอ่ยย้ำอีกครั้ง “พวกท่านเชิญคนอื่น
มารักษาเถิด”
ปั้น
ฉินที่เพิ่งวิ่งเข้ามากลางวง เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของ
นายหญิงก็เป็นอันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
นี่หรือนายหญิงของนาง นี่นางมิได้มองคนผิดไปใช่ไหม อย่าง
นายหญิงน่ะหรือจะพูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้
… “
เหตุใดยังไม่มาอีก”
หมอหลวงหลี่ชำ เลืองไปด้านนอกด้วยความใจจดใจจ่อ
“หมอหลวง หมอหลวง” เสียงขันทีขานเรียก
หมอหลวงหลี่เมื่อได้ยินเข้าก็หันไปทางต้นเสียง ก็เจอะกับภาพ
ที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังอาเจียนออกมาเป็นเลือด บรรยากาศรอบห้อง
เต็มไปด้วยความมืดหม่นอึมครึม เช่นเดียวกับสีหน้าของจิ้นอันจวิ้น
อ๋อง
หมอหลวงรีบพุ่งตีวเข้าไป ฉีกอาภรณ์จิ้นอันจวิ้นอ๋องออก แล้ว
ใช้เข็มทองฝังเข้าไปตรงบริเวณรอบๆ หน้าอก
“หมอหลวง ตอนนี้ร่างของฝ่าบาทเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วนะ”
ขันทีเอ่ยร้อง“รู้แล้วน่า!” หมอหลวงหลี่ตะโกนตอบ พลางใช้สายตากวาด
มองไปทั่วแผ่นอกของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่ในตอนนั้น คน
ตรงหน้ายังเป็นเด็กน้อยเยาว์วัย แต่บัดนี้กลับเติบใหญ่มีร่างกาย
กำยำแข็งแรงขึ้น ทว่าแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อตอนนี้ร่างของเขาเริ่ม
เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เหมือนกับแต่ก่อน เหมือนกับแต่ก่อน! นี่คงเป็น
ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สินะ
“แม่นางเฉิงมาแล้วหรือยัง!” หมอหลวงหันตะโกนถาม
“มาแล้วขอรับ!”
เสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าดังลอดมาจากด้านนอก
เมื่อได้ยินดังนั้น คนด้านในก็รีบพุ่งตัวออกไป แต่พอบานประตู
เปิดออก กลับพบแต่องครักษ์สองนาย ไร้วี่แววของแม่นางเฉิง
พวกเขานึกในใจ หรือว่าแม่นางเป็นคนเดินช้า เลยกำลังเดิน
ตามหลังมาอยู่งั้นรึ
หมอหลวงแหวกทางมองหาแม่นางเฉิง แต่ก็ไม่พบ“ใต้เท้า แม่นางเฉิง บอกว่า รักษาไม่ได้ขอรับ” องครักษ์เอ่ย
เสียงสั่นพลางทรุดตัวคุกเข่า
พวกคนที่อยู่ในห้องเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เริ่มขวัญเสีย
“พวกเจ้า พูดบ้าพูดบออันใดกัน!” หมอหลวงหลี่ตะโกน
ถามด้วยความงงงัน “แม่นางเฉิงน่ะหรือจะรักษาฝ่าบาทไม่ได้!”
“ใต้เท้าขอรับ นางบอกเช่นนั้นจริงๆ นะขอรับ ทั้งยังบอกให้พวก
กระหม่อมไปเชิญคนที่ฝีมือดีกว่านี้ขอรับ”
ไปเชิญคนที่ฝีมือดีกว่านี้งั้นรึ…
ขันทีทำหน้านิ่งไปสักพัก แล้วคว้าตัวองครักษ์มาต่อว่า
“ในเมื่อนางบอกเช่นนั้น แล้วเหตุใดถึงไม่พานางกลับมาด้วย
เล่า” ขันทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
องครักษ์เงยหน้ามองไปที่ขันที
“พวกกระหม่อมพยายามแล้วขอรับ แต่ว่า ไม่สามารถจริงๆ
ขอรับ” พวกเขาตะโกนตอบ
ขันทีสังเกตใบหน้าเหล่าองครักษ์มีรอยฟกช้ำ ราวกับถูกต่อยมา“นอกจากจะไม่มาแล้ว ยังทำร้ายพวกเจ้าอีกสินะ…” ขันทีเอ่ย
พึมพำ จิตใจไม่อยู่กะร่องกะรอย
“แม่นางเฉิงอยู่ด้วยกันกับท่านชายของตระกูลฉินขอรับ”
องครักษ์รายงาน
ท่านชายของตระกูลฉิน ตระกูลฉินงั้นรึ
มิน่าล่ะเหตุใดถึงไม่เจอนางตั้งแต่ทีแรก อีกทั้งนางออกไป
ชมดอกบัวที่ไหนพวกเขาถึงตามตัวไม่เจอ มิน่าล่ะ…
“ข้าไม่เชื่อ! นางไม่ใช่คนแบบนั้น! ข้าไม่เชื่อ!” หมอหลวงหลี่
ตะโกน “ข้าจะออกไปหานางเอง!”
นายทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับรั้งเขาไว้
“หลี่ซื่อเซิน!” เขาตะเบ็งเสียงเรียก “อาการฝ่าบาทรอมิได้แล้ว!
ในเมื่อนางรักษาไม่ได้! ก็ต้องเป็นเจ้า!”
หมอหลวงหลี่ส่ายหน้า
“ข้ารักษามิได้แล้ว เดิมทีข้าก็รักษาฝ่าบาทมิไหวอยู่แล้ว ข้าทำ
ไม่ได้ ตอนนี้ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่!” หมอหลวงโอดครวญ
นายทหารง้างมือตบเข้าไปที่ใบหน้าหมอหลวง“ในเมื่อเจ้ารักษาไม่ได้ ก็ให้ฝ่าบาทตายด้วยน้ำมือของเจ้า
เหมือนกับเมื่อก่อนยังไงล่ะ ที่เขาสมควรตายด้วยน้ำมือของเจ้า”
นายทหารตะคอกใส่เขา
เหมือนกับเมื่อก่อนอย่างนั้นรึ
‘…หมอหลวง…ข้ายังไม่อยากตาย…’
เด็กน้อยคว้าเข้าไปที่แขนเสื้อของเขา สายตาที่จ้องมองเขานั้น
กลมโตและเปล่งประกายราวกับลูกแมวน้อย
‘…ท่านรักษาข้าได้หรือไม่ ข้ายังไม่อยากตาย ข้าจะรอให้เสด็จ
พ่อกับท่านแม่มารับข้า…’
หมอหลวงหลี่น้ำตาไหลพราก
‘พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรักษาให้นะขอรับ ก็แค่ความตาย
เท่านั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยพ่ะย่ะค่ะ’ เขาตะโกน
เสียงอึกทึกของฝีเท้าและเสียงตะโกนที่ดังขึ้น ผนวกกับเกี้ยวที่
โคลงเคลงไปมา ทำให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นอนหมดสติอยู่สะดุ้งตื่น
ทันใด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในเกี้ยวและภาพเบื้องหน้าก็
เริ่มถอยห่างออกไปเรื่อยๆ“ทำอะไรน่ะ” เขาเอ่ยพึมพำในคอ พยายามหยัดตัวขึ้น
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมกำลังกลับวังขอรับ” ขันทีเอ่ยด้วยเสียง
แหบแห้ง
กลับวังงั้นรึ เหตุใดต้องกลับด้วยล่ะในเมื่อนางยังไม่ปรากฏตัว
“ฝ่าบาท กลับเถิด ไม่รอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีจากที่
แหบแห้งก็เริ่มจะเหือดหาย
เหตุใดไม่รอต่อล่ะ เพราะอะไรกัน
“ไม่ ข้าจะรอนาง ในเมื่อตั้งใจแล้วว่าจะรอ…แล้วไย…ต้อง
คืนคำกันเล่า…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย พลางพยุงตัวเองขึ้น “หยุดเกี้ยว
เดี๋ยวนี้”
“ฝ่าบาท!” ขันทีน้ำตาไหลพราก พูดไปกัดฟันไป “พวกเจ้า เดิน
ต่อไป”
เกี้ยวถูกยกออกไปถึงด้านนอก จิ้นอันจวิ้นอ๋องขยับตัวไป
ด้านหลัง พลางตะโกน
“ไม่…”ทหารที่แบกเกี้ยวรู้สึกถึงบางอย่างที่ทำให้ติดขัด พอลองสังเกต
ทั้ง
หน้าและหลัง กลับพบว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังเอื้อมมือไปคว้าขอบ
ประตู
“ฝ่าบาท!” ขันทีร้องเสียงหลง น้ำตาอาบแก้ม พลางพยุงเข้าที่
แขนของชายหนุ่ม “ฝ่าบาท ปล่อยมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ได้ เขาจะรอ เขาจะรอนาง
ภายใต้ลำแสงที่สาดทอเข้ามา เผยให้เห็นเส้นเลือดทั้งเขียวทั้ง
ดำบนมือของจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังออกแรงจนสุดพลัง
“เดินหน้าต่อ!” ขันทีลั่นเสียงออกคำสั่ง พยายามดึงมือของจิ้น
อันจวิ้นอ๋อง
ใครจะไปนึกล่ะว่าชายหนุ่มที่ร่างกายกำลังอ่อนแออยู่จะยังมี
เรี่ยวแรงพละกำลังเช่นนี้ ราวกับพลังงานทุกส่วนในร่างกายของ
ฝ่าบาทล้วนกระจุกอยู่ตรงที่ฝ่ามือ ไม่ว่าจะทำเช่นไร ขันทีก็ไม่สา
มารถดึงมือของฝ่าบาทออกมาได้
“เดินหน้าต่อไปเร็ว” ขันทีเอ่ยตะโกนทั้งน้ำตา
ทหารที่แบกเกี้ยวรีบขานรับประตูถูกเปิดออกดังปึงปัง จนบานประตูถูกดันเข้า เหล่าทหาร
มือไม้เริ่มไม่นิ่ง ทำให้เกี้ยวที่แบกอยู่เริ่มโคลงเคลงอีกครั้ง
นายทหารคนอื่นๆ จึงรีบดันบานประตูออก ทำให้สามารถแบก
เกี้ยวเดินหน้าตาไปได้ ขณะเดียวกัน มือของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคง
ห้อยออกมาด้านนอก เขาพยายามงัดแผ่นไม้จากตรงประตู
เขาต้องรอนาง ต้องรอนางให้ได้!