พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 582 ผู้ใดกัน
เมื่อเห็นว่าทหารสองนายนั้นไม่ตามมาอีก ทั้งยังวิ่งเตลิดออก
ไปด้วยท่าทางเคียดแค้นและนัยน์ตาที่แดงก่ำ โจวฝูจึงวางหมัดลง
นักบวชที่ยืนหลบผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลังพุ่มไม้เพื่อดูสถานการณ์
จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ถูกผลักออกมา
“โยม…ในวัดไม่อนุญาต…ให้ชกต่อยกันนะ…” นักบวชเอ่ย
เสียงติดๆ ขัดๆ
“ขออภัยด้วยขอรับ” โจวฝูโน้มคำนับพลางเอ่ยขอโทษ
เหล่านักบวชค่อยๆ พากันเดินย่องๆ ออกมากจากพุ่มไม้ แต่
ไม่ทันไรก็เห็นชายหนุ่มอีกคนกำลังคว้าเข้าไปคว้าหัวไหล่ของ
ชายหนุ่มอีกคนแล้วผลักลงไปที่พื้น
ร่างที่ร่วงลงพื้นนั้นแรงเสียจนหน้าดินแตกกระจาย
จะชกต่อยกันอีกแล้วรึ
เหล่านักบวชพากันกลับไปหลบซ่อนตรงพุ่มไม้อีกครั้ง“ฉินสิบสาม! บังอาจนัก!” โจวฝูใช้แขนยันตัวฉินหูลงบนพื้น
กัดฟันกรอดพลางตะคอกใส่ “เจ้าบังอาจนัก!”
ความรู้สึกปวดร้าวค่อยๆ ลามขึ้นในลำคอ จึงทำได้แค่ย้ำเอ่ย
คำเดิมไปมา
ฉินหูที่ถูกกดลงบนพื้นก็สบถออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ทำ” เขากัดฟัน พยายามดันแขนของโจวฝูออก
แล้วพุ่งตัวไปที่เฉิงเจียวเหนียง พลางแบมือทำท่าขอม้วนกระดาษใน
มือนาง “ขอข้าดูหน่อย ในนั้นเขียนว่าอะไร”
มันคืออะไรกันแน่! นี่มันบ้าบอ! บ้าบอชัดๆ !
โจวฝูเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบผลักตัวฉินหูออกไป แล้วรีบเข้าไปหา
นาง
เฉิงเจียวเหนียงยังคงไม่ขยับไปไหน ในมือถือม้วนกระดาษ
สายตาชำ เลืองไปยังชายหนุ่มที่โดนโจวฝูต่อยจนลุกไม่ขึ้น
โจวฝูแย่งม้วนกระดาษมาจากมือนาง
“บอกกับคนที่มาหาเจ้าไปตามนี้ ห้ามขาด ห้ามเกิน มิเช่นนั้น
เจ้าจะได้ร่างศพของท่านชายเฉิงสี่เป็นแน่” โจวฝูอ่านทีละคำอย่างช้าๆ “เรื่องอันใดรึ อาการของฝ่าบาท หม่อมฉันรักษาไม่ได้หรอก
เจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ต้องดูหรอกเจ้าค่ะ อาการของฝ่าบาท หม่อมฉัน
รักษาไม่ได้จริงๆ พวกท่านเชิญคนอื่นมารักษาเถิด”
เมื่ออ่านจบ โจวฝูกำม้วนกระดาษแน่นจนเป็นก้อน แล้วพุ่งตัว
เข้าไปที่ฉินหู
“ว่ามาเดี๋ยวนี้!”
คนตรงหน้าแสยะยิ้มออกมา
“วางใจเถิด แม่นางเฉิงแค่ออกมาชมดอกไม้เท่านั้น ทุกอย่างก็
ดูเรียบร้อยดี จะให้ข้าพูดอะไรอีกล่ะ”
ฉินหูยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกโจวฝูซัดเข้าไปเต็มๆ บนใบหน้า
ชายหนุมบ้วนน้ำลายทิ้ง จมูกของเขาบิดเบี้ยว ความรู้สึกเจ็บ
แปลบที่แผ่ซ่านทำให้เขายืนตัวสั่น
ฉินหูเอามือป้องที่หัวไหล่ พุ่งตัวเข้าไปหาเฉิงเจียวเหนียง
นางหันหน้าไปหาเขา เอ่ยถาม
“เขาอยู่ที่ใด”
อยู่ที่ใดงั้นรึ…ในที่สุดนางก็เอ่ยถามคำถามนี้กับเขาจนได้สินะ! ฉินหูหลับตา
ถอนหายใจหนักหน่วง จากนั้นลืมตาขึ้นมา ก็เจอะกับกำปั้นของโจวฝู
“ข้าไม่รู้!” ฉินหูตะโกนลั่น หันตัวเข้าด้านข้างเพื่อหลบหมัด
แล้วใช้มือคว้าเข้าไปที่ลำแขนของโจวฝู “พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่
ข้าไม่รู้จริงๆ !”
ดวงตาโจวฝูเริ่มแดงก่ำ
“ฉินสิบสาม เจ้าเชื่อหรือไม่” เสียงของเขาเริ่มแหบแห้งอีกครั้ง
จากนั้นคว้าเข้าไปที่ชายเสื้อของฉินหู “เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าเจ้าไม่ใช่คน
ที่ชอบชมดอกบัวน่ะ!”
ทั้ง
สองจ้องตาเขม็ง ทั้งมือและใบหน้าของโจวฝูเริ่มสั่นระริก
“ฉินสิบสาม!” โจวฝูตะเบ็งเสียงอย่างเหลืออด “คายออกมา
เดี๋ยวนี้!”
“หากรู้เสียก่อนว่าพวกนั้นเอาชีวิตของท่านชายเฉิงสี่มาพัวพัน
ล่ะก็ ข้าคงไม่…” ฉินหูส่ายหน้า ดวงตาเริ่มแดงก่ำ มือที่คว้าแขนโจว
ฝูอยู่ก็เริ่มสั่นกระตุก “โจวหก เจ้าก็รู้ว่าข้าคงไม่ทำเช่นนั้น…”
หากรู้เสียก่อนงั้นรึ…เขาพูดเช่นนั้นรึ!โจวฝูแผดเสียงใส่คนตรงหน้า แล้วปล่อยหมัดเข้าให้อีกที
คนตรงหน้ารับหมัดเต็มๆ โดยที่ไม่คิดหลบหลีกอย่างใด เขาล้ม
ตัวเอียงลงไปกับพื้น เลือดไหลกบปาก
โจวฝูไม่รอช้า รีบก้มลงแล้วคว้าตัวมาถามต่อ
“เขาอยู่ที่ใด บอกมาเดี๋ยวนี้”
เขาอยู่ที่ใดอย่างนั้นรึ
ฉินหูรีบใช้หัวนึกย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เขาจำ ได้ว่า ท่านชายเกาสิบสี่บอกให้เขาชวนเฉิงเจียวเหนียง
ออกไปดื่มน้ำชาด้วยกัน แต่แล้วอย่างไรล่ะ ที่เขาชวนนางก็เพราะ
เป็นความต้องการของตัวเขาเอง มิใช่ว่าเขาชวนเพราะถูกแนะนำมา
อีกที
อย่างเขานะหรือจะแค่ชวนไปดื่มน้ำชา มันต้องชวนไป
ชมดอกไม้สิ ชมดอกไม้ เหมือนกับครั้งนั้นเมื่อเดือนสี่
กระนั้นแล้ว มิวายพวกเขายังคงกล้าลงมือกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
สินะ!ทว่าพวกนั้นใช้วิธีใดกัน ลอบสังหารงั้นรึ ไม่น่าใช่ พวกนั้นคง
ไม่กล้าเล่นใหญ่หรอก เพราะนั่นเท่ากับว่ารนหาที่ตายชัดๆ …
ช้าก่อน นี่ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องพรรค์นี้นะ
ท่านชายเฉิงสี่ ใช่แล้ว ท่านชายเฉิงสี่อยู่ที่ใดกัน
‘ยามบ่ายของวัน เจ้าไปชวนนางมาดื่มน้ำชาสบายๆ ที่หอ
เต๋อเซิ่งสิ’
ฉินหูเงยหน้าขึ้น
“หอเต๋อเซิ่ง!” เขาโพล่งออกมา
โจวฝูเมื่อได้ยินเข้าก็พลันผลักฉินหูออก แล้วรีบวิ่งออกไป
ระหว่างที่วิ่งไปก็เหลือบเห็นชายผู้หนึ่งนอนโอดโอยอยู่บนพื้น เขา
ปล่อยหมัดอีกครั้งจนคนผู้นั้นนอนแน่นิ่ง
เฉิงเจียวเหนียงเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามโจวฝูไป
“เจียวเหนียง” ฉินหูตะโกนเรียกนาง ค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น
ไม่มีท่าทีว่านางจะหยุดเท้าแต่อย่างใดราวกับว่าไม่ได้ยินเสียง
ของเขา จนกระทั่งลับสายตาไป“เจียวเหนียง!” เขาตะโกนเรียกอีกครั้ง เสียงเริ่มแหบแห้ง
พลางก้าวเท้าตามไป
สาวใช้เองก็รีบเดินตามทั้งน้ำตา จู่ๆ พลันนึกอะไรขึ้นได้เลย
กลับมาที่จุดเดิม ก้มๆ เงยๆ ควานหาอะไรบางอย่าง
“ท่านพี่ ท่านพี่” ปั้นฉินตะเกียกตะกายตะโกนเรียกสาวใช้ผู้พี่
ทั้ง
น้ำตา “ข้ามีรถ ข้ามีรถ”
สาวใช้ก้มตัวเก็บกระดาษแผ่นนั้นที่ถูกโจวฝูม้วนจนเป็นก้อน
ยัดเก็บไว้ในอ้อมอก จากนั้นพยุงตัวปั้นฉินขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
โจวฝูควบม้าพุ่งตัวโดยเร็ว เขาทิ้งเหล่าผู้ติดตามไว้ข้างหลัง
ขณะที่กำลังพุ่งทะยานไปนั้น จู่ๆ โจวฝูก็ได้ยินเสียงเกือกม้าตามมา
ติดๆ ไม่นานเสียงนั่นก็แซงหน้าเขาไป โจวฝูอดไม่ได้ที่หันไปดูว่าเป็น
ผู้ใดกัน
ผู้ใดกันนะ บังอาจแซงหน้าเขาไปได้เสียนี่
พอโจวฝูได้เห็นกับตา ถึงกับตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง
เป็นเฉิงเจียวเหนียงเองหรือ นางกำลังควบม้าพุ่งตัวแซงเขา
ไกลออกไปนี่นางขี่ม้าเป็นด้วยหรอกหรือ!
แถมฝีมือของนางนั้นช่าง… เหตุใดนางถึง เดี๋ยวก่อนนะ นาง
ใส่กระโปรงมิใช่รึ!
โจวฝูหันขวับพลางสังเกตอีกครั้ง จนตัวเองเกือบจะตกม้า
นางหันข้างขี่งั้นเรอะ!
“รนหาที่ตายรึ!” โจวฝูตะโกนไล่หลังด้วยความโมโห พลางเร่ง
ม้าตัวเองเข้าไปใกล้ๆ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เขาพยายามเร่งแล้วเร่งอีก แต่สุดท้าย ก็ไม่มีวี่แววว่าจะไล่
ตามทัน
ความรู้สึกโมโหเริ่มจางหาย หลงเหลือไว้แค่ความตกตะลึง
ให้ตายเถอะ หญิงผู้นี้ไม่ได้นั่งเป็นแค่รถม้าหรอกหรือ นี่นางไป
เรียนขี่ม้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน แถมฝีไม้ลายมือถึงขั้นเซียนเลยเชียว!
ท่าหันข้างควบม้านั่น! ต่อให้เป็นนายทหารระดับสูงๆ ก็ไม่สา
มารถทรงตัวและเร่งความเร็วได้เหมือนกับนาง
เขารู้ว่านางยิงธนูได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะขี่ม้าได้ด้วย แถมทำ
ได้ดีอีกต่างหาก!นี่นางยังมีวิชาอะไรเก็บซ่อนไว้อยู่อีกหรือเปล่านะ
พอความคิดหยุดลง ก็รีบตั้งหน้าตั้งตาควบม้าต่อ
ยามโพล้เพล้ในช่วงฤดูร้อน ความร้อนจากไอแดด
ตอนกลางวันยังคงหลงเหลืออมาจนถึงยามค่ำคืน ผู้คนบน
ถนนหนทางเริ่มพลุกพล่านโดยเฉพาะที่หอเต๋อเซิ่ง แม้ว่าจะไม่คึกคัก
เหมือนแต่ก่อน แต่ดูจากภายนอกแล้วกิจการคงรุ่งเรืองน่าดู
ไม่ช้า คนในหอเต๋อเซิ่งก็เริ่มแตกตื่นเพราะแขกที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“ค้นให้ทั่ว!” โจวฝูตะโกนสั่ง
เหล่าผู้ติดตามต่างกระจายตัวกันออกไป
“ทำอะไรน่ะ!” เหล่าผู้ช่วยร้านตะโกนถามอย่างขวัญผวา
จู่ๆ ก็มีคนเดินแหวกทางโผล่เข้ามา
แถมยังเป็นหญิงสาวเสียด้วย
เหล่าผู้ช่วยจำ ต้องหลีกถอยไป ครั้นกำลังจะเอ่ยถาม สตรีผู้นั้น
ก็ใช้มือดันตัวพวกเขาออก
โจวฝูขมวดคิ้วสงสัย พลางสังเกตที่ข้อมือของตนเอง
นึกถึงตอนที่นางสะบัดแขนเขาออก ทำให้เขารู้ได้ว่า…พละกำลังของนางไม่เบาเลย
เป็นผลจากการที่นางฝึกฝนธนูทุกวัน
เขาไม่ควรปล่อยให้นางนำหน้าไปก่อน จึงรีบเดินตามไป ดัน
พวกที่เข้ามาขวางออกให้หมด จนเข้าไปชิงเดินนำหน้านางได้
“โธ่ แม่นางเฉิงนี่เอง”
เป็นเสียงทักทายจากแม่นางม่อ ที่กำลังยิ้มโบกมือให้อย่าง
เป็นมิตร
ใบหน้าคนโลภเช่นนาง ชาตินี้ไม่มีทางลืมลงหรอก
“พี่ชายของข้าอยู่ที่ใด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
แม่นางม่อชี้นิ้วขึ้นไปที่ชั้นสองของร้าน
“ท่านชายต้องมาหาอาเหิงอยู่แล้ว มาได้สักพักแล้วล่ะ…”
แม่นางจูหัวเราะพลางเอ่ยตอบ ยังไม่ทันเอ่ยจบ เฉิงเจียวเหนียงก็รีบ
เดินขึ้นไป
แม่นางม่อทำทีบ่นขมุบขมิบ จากนั้นหันไปยิ้มให้นาง
“…ขอให้สนุกนะเจ้าคะ…”
ประโยคนี้ ฟังดูพิลึกชอบกลโจวฝูเดินล่วงหน้าขึ้นบันไดก่อน ระหว่างทางบันไดเต็มไปด้วย
เหล่าคนรับใช้ที่อดีตเคยอาศัยอยู่ที่เรือนตระกูลโจวมาก่อน
ซึ่งปัจจุบันพวกเขาย้ายไปอยู่กับตระกูลเฉิงแล้ว
พอได้เห็นโจวฝูและเฉิงเจียวเหนียงที่เดินตามหลังเขามาติดๆ
พวกเขามีท่าทีตกใจ พลางรีบโค้งคำนับต้อนรับยกใหญ่
“นายหญิง” พวกเขาเอ่ยเรียกนาง
เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล หากท่านชายเฉิง
สี่ถูกบังคับข่มขู่จริงอย่างที่ว่า คนพวกนี้จะมายืนจับกลุ่มพูดคุย
หัวเราะกันเช่นนี้รึ
“ท่านชายสี่อยู่ไหน” โจวฝูเอ่ยถาม
“ท่านชายสี่อยู่ในห้องขอรับ แม่นางจูเองก็เช่นกัน” หนึ่งในนั้น
เอ่ยขึ้น ผายมือไปยังประตูห้อง
เสียงบรรเลงเพลงดังขึ้นจากในห้อง
หรือว่าเขากำลังถูกข่มขู่อยู่ หากเป็นฝีมือเจ้าฉินสิบสามละก็
คงต้องทำเช่นนั้นแน่!
หรือว่าเจ้านั่นจะสำ นึกผิด แล้วยอมปล่อยตัวเขาไปกระนั้นแล้ว โจวฝูยังมิอาจวางใจได้ ขาของเขาเริ่มอ่อนแรง พอ
ได้โอกาส เขาก็ลงโทษคนรับใช้ที่ยืนใกล้เขาที่สุดด้วยการง้างมือฟาด
ลงไปหนึ่งที
“บ้าจริง!” เขาตะโกนด่า “ใครใช้ให้พวกเจ้าพาเขามาที่นี่ใน
เวลาแบบนี้!”
ผู้ติดตามที่ถูกตบบัดนี้สติหลุดไปแล้ว เขามิกล้าเอ่ยอะไร
ออกมาได้แต่ก้มหน้ายอมรับสภาพ
ทั้ง
เที่ยวกลางคืน ทั้งจ้างนางโลม ไหนจะฟังเพลงบรรเลงอีก!
“ตัวเองมาเสพสุขอยู่นี่ ขณะที่คนอื่นเขาตามหากันแทบตาย!”
โจวฝูบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ พลางถีบประตูออก
เฉิงเจียวเหนียงถอยหลังหนึ่งก้าว
บานประตูที่ถูกถีบเสียงดังโครมคราม เสียงบรรเลงเพลงกลับ
หยุดลง
“ท่านชายเฉิงสี่…” โจวฝูตะโกนเรียกเขา แต่กลับต้องชะงักเมื่อ
ได้เห็นภาพตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ด้านหลังโจวฝูกำลังจะเดินเข้าไปดู แต่
โจวฝูกลับหันหลังมาหานาง แล้วรั้งนางไว้
เหล่าคนใช้ต่างพากันตกใจ
ในนั้นมีภาพรุนแรงเกิดขึ้นหรือย่างไร เหตุใดท่านชายโจวหกถึง
มีอาการรับไม่ได้เช่นนี้
ต่อให้เขารับไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะเสียมารยาทกับนายหญิง
เช่นนี้นะ เพราะนั่นคือรนหาที่ตายชัดๆ !
ขณะที่พวกเขากำลังยืนอึ้งกันอยู่ เฉิงเจียวเหนียงพยายามดัน
ตัวชายหนุ่มออก
“อย่าดูเลย” โจวฝูโอบรัดนางไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ เอ่ย
ด้วยเสียงอ่อน “ฟังข้า เจ้าอย่าเข้าไป เจียวเหนียง อย่าเข้าไป”
พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ เฉิงเจียวเหนียงตัวแข็งทื่อ
‘อาฝั่ง อย่ามอง! อย่าเข้าไปนะ! อาฝั่ง! อย่าเข้าไป! อย่าเข้าไป
ดูเลย!’
ไม่นะ ไม่ นางอุตส่าถ่อมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพื่อจะได้ยินประโยค
แบบนี้ !“ปล่อยข้า!” เฉิงเจียวเหนียงตะโกนร้อง ใช้แขนทั้งสองออก
แรงผลักจนโจวฝูจำ ต้องถอยเข้าไปในห้อง
ประตูถูกเปิดออก เหล่าคนใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพอได้เห็นสภาพ
ในห้อง ต่างก็ขวัญผวาไปตามๆ กัน
“ท่านชายสี่!” พวกเขาตะโกนร้องพร้อมกัน รีบกรูกันเข้าไป
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดง…
เลือดเจิ่งนองเต็มพื้น แม่นางจูนอนสลบอยู่บนโต๊ะ ส่วนคนใช้
ของท่านชายเฉิงสี่นอนร่างพลิกอยู่มุมห้อง ส่วนท่านชายเฉิงสี่นั้น…
ชุนหลิงใช้มือทั้งสองข้างดึงมีดออกจากหัวใจของท่านชายเฉิงสี่
แล้วหัวเราะ
“ดูสิ ข้าตั้งใจแทงสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาตายแล้ว เขา
ตายแล้ว และเขาจะไม่สามารถฟื้นขึ้นได้อีกแล้ว” ชุนหลิงหัวเราะ
สายตาจับจ้องไปยังเฉิงเจียวเหนียง “ข้ารู้ว่าเจ้าฟื้นคืนชีพได้ ข้าเลย
กันเอาไว้ก่อน”
โจวฝูที่กำลังจะพุ่งตัวเข้าไป แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับไวกว่าชุนหลิงหันมีดมาทางเฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียงจึงใช้มือ
ห้ามไว้
“เจียวเหนียง!” โจวฝูร้องตะโกน ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้
สันมือฟาดเข้าไปที่ชุนหลิง
“ฝีมือเจ้างั้นรึ” เฉิงเจียวเหนียงยกมือห้ามโจวฝู พลางจ้องไปที่
ชุนหลิงแล้วเอ่ยถาม
ชุนหลิงพยายามแย่งมีดคืน แต่เฉิงเจียวเหนียงคว้ามันไว้จน
แน่น เลือดค่อยๆ หยดลงมาจากฝ่ามือ
“ใช่แล้ว ข้าเอง” ชุนหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วแสยะยิ้มให้
“เจ้าอยากรู้ไหมล่ะ ว่าเหตุใดข้าถึงต้องทำเช่นนี้”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าแค่อยากรู้ว่าเป็นฝีมือเจ้าหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้า
ไม่สนแรงจูงใจของเจ้า”
ไม่สนงั้นรึ
เหตุใดจึงไม่สนกันเล่า
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะนางแท้ๆ !ชุนหลิงแผดเสียงหัวเราะหนักกว่าเก่า ครั้นกำลังจะอ้าปากพูด
อะไรบางอย่างออก จู่ๆ กลับรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ เสียง ‘กึก’ ดังขึ้น
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเริ่มเลือนราง
เหตุใดข้าถึงมองไม่เห็นนางแล้วล่ะ เหตุใดข้าจึงเห็นแต่
บานหน้าต่างนี่
นางขยับตัวไปตั้งแต่เมื่อใดกัน
ทันใดนั้น ชุนหลิงได้หงายหลังล้มลงไปกับพื้น
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น หรือว่านาง นางหักคอข้างั้นรึ
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!
ข้ายังไม่อยากตาย! ข้ายังพรั่งพรูออกมาไม่หมด! เรื่องทั้งหมด
เป็นความผิดของนาง!
เพราะนางเคยขับไล่น้องสาวของข้า เพราะนางเคยทำลายชีวิต
ของข้าและน้องสาวข้า เป็นเพราะนาง น้องสาวข้าถึงได้ตายในที่
กันดารเช่นนั้น วันนี้ข้าจะให้นางได้รับรู้ถึงรสชาติของการที่คนที่นาง
รักตายไปต่อหน้าต่อตา!
ทุกอย่างเป็นเพราะนาง! เป็นเพราะนางคนเดียว!ข้ายังพูดไม่จบ! ยังพูดไม่จบ! นางยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด!
ทุกอย่างเป็นฝีมือของข้าเอง! ข้าฆ่าเขาเอง! พวกเจ้ากำลังถูกปั่นหัว
อยู่!
การล้างแค้นอย่างสาสม คือการทำให้ศัตรูรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมด
ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของศัตรู หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว การกระทำ
ล้างแค้นที่ผ่านทั้งหมดก็ไร้ความหมาย!
แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันจะมีความหมายอันใดล่ะ!
ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังไม่ได้พูดออกไป!
นางไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้าคือใคร!
“ข้า…คือ…”
ชุนหลิงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและติดขัด แต่สุดท้าย ไม่
มีถ้อยคำใดจากนาง ดวงตาสองข้างเปิดค้าง นอนแน่นิ่งไม่ขยับ