พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 586 หลบเลี่ยง
บทที่ 585 หนึ่งคืน
“เจียวเหนียง!”
โจวฝูกระโดดลงจากหลังม้า มองดูหญิงสาวที่กำลังนั่งซึมอยู่
ริมรั้วตำหนักชิ่งอ๋อง
ในค่ำคืนที่มีแสงไฟสลัว หากเขาไม่ได้ยินเสียงม้าขาวของนาง
กำลังหายใจฟึดฟัด เขาคงไม่รู้ว่านางนั่งอยู่ตรงนั้น
จังหวะที่เขากำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าคนติดตาม นางกลับเผ่น
ออกจากหอเต๋อเซิ่งเสียแล้ว ตัวเขาเองก็เกือบจะไปตามที่เรือนของ
ตระกูลฉินแล้วเชียว
เพราะเขาคิดว่า เจียวเหนียงคงอาฆาตฉินหูไม่น้อย
ที่เขาผุดความคิดเช่นนั้นได้ คงเป็นเพราะเขาเห็นภาพที่นาง
หักคอสาวใช้คนนั้นอย่างเลือดเย็น
ตัวเขาเองขนาดว่าเห็นภาพในสงครามมานักต่อนัก พอมาเจอ
เหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทำเอาตกอกตกใจไม่น้อยเลยเขาตะลึงในพละกำลังของนาง นอกจากฝีมือขี่ม้าและยิงธนูอัน
ร้ายกาจของนางแล้ว ยังสามารถสังหารคนในระยะประชิดขนาดนั้น
ได้อีก
อากับกิริยาท่าทางของนางทำเอาเขาตะลึงงัน
เขาเองไม่เคยได้เห็นมุมนี้ของนางมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่
ไหน นางมักจะมีสีหน้านิ่งเรียบ มองทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็ก
เท่านั้น
อย่าว่าแต่ลงมือทำร้ายใครเลย แม้แต่วาจานางก็มิเอ่ยให้
เปลืองน้ำลาย
แต่นางกลับหักคอสาวใช้คนนั้นอย่างเลือดเย็น
โจวฝูรีบวิ่งไปที่นาง พลางพยุงไหล่นางขึ้นมา
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าไปเล่า”
เป็นเพราะเหตุใดกันนะ หรือว่าจะ…
“ฝ่าบาทไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีความจำ เป็นที่ข้าต้องเข้าไป” เฉิง
เจียวเหนียงตอบ
โจวฝูนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเริ่มสบถ“บ้าไปแล้วหรือ!” โจวฝูรีบพุ่งตัวเข้าไปตรงประตูตำหนัก
แม้อาการของชิ่งอ๋องยังคงเป็นเหมือนเดิมก็จริง แต่ก็ถูก
ควบคุมและดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทหารและผู้ดูแลจำ นวนมาก โจว
ฝูที่บุกตำหนักโดยใช้เท้าถีบบานประตูจึงกลายเป็นจุดสนใจในไม่ช้า
เสียงบานประตูที่ถูกถีบดังระงมไปทั่ว แต่เป็นเพราะว่าประตู
บานนั้นได้ถูกปรับปรุงให้มีความแข็งแรงขึ้นตามความต้องการของ
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง ดังนั้นแล้ว ต่อให้ประตูบานนั้นจะถูกกระทบกระแทก
แรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางขยับเปิดออกได้
“…ไม่ให้เข้าไปงั้นรึ พวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่! พวกเจ้าคิดอยาก
จะเชิญก็เชิญอยากจะไล่ก็ไล่หรืออย่างไร! เป็นเพราะพวกเจ้า พวกข้า
ถึงได้ตกที่นั่งลำบากเช่นนี้! …”
“…เปิดประตูเดี๋ยวนี้! เจ้าพวกบ้า! เปิดเร็วสิ!”
บานประตูถูกเปิดออก เงาดำมืดค่อยๆ คืบคลานพร้อมกับศร
และลูกธนูที่หันออกไปทางตัวเขา
“จะสังหารข้าเรอะ เอาสิ เป็นเพราะพวกเจ้านั่นแหละ คนของ
พวกข้าเลยตายไปแล้วคนนึง เพิ่มอีกสักคนจะเป็นไรไป!” โจวฝูแสยะยิ้ม
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ”
เป็นเสียงของเฉิงตะโกนจากด้านหลัง
“กลับมา”
โจวฝูจ้องเขม็งเหล่าทหารเฝ้าประตูทั้งหลาย ก่อนจะหันกลับไป
อาวุธถูกชักกลับอย่างรวดเร็ว ประตูถูกปิดลง ทุกอย่างเกิดขึ้น
ฉับพลันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงก็แต่รอยเท้าที่อยู่ด้านหน้า
ประตูที่เป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเกิดขึ้นจริง
ขณะเดียวกัน เหล่าทหารก็กำลังยืนประจันบาญอยู่ตรง
สวนหย่อม
“นายทหาร” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “จะปล่อยให้เป็นแบบนี้รึ”
นายทหารอีกคนทำท่าครุ่นคิดพลางลูบหนวดตนเอง แล้วเอ่ย
ถาม
“ตอนนี้พวกนั้นทำอะไรกันอยู่”
ทหารนายหนึ่งที่ออกไปสังเกตการณ์ก็วิ่งกลับมารายงาน
“พวกนั้นนั่งลงตรงริมรั้วอีกแล้วขอรับ”“ไล่ออกไปดีไหมขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
นายทหารอีกคนส่ายหัว
“อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป เอาให้แน่ชัดเสียก่อนว่าฝ่าบาท
จะฟื้นขึ้นมาจริงๆ ดังนั้น ช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราต้องระวังตัว
เป็นพิเศษ” เขาอธิบายต่อ “หากพวกเขาไม่บุกเข้ามา ก็ปล่อยไปเสีย
อย่าเพิ่งสร้างช่องโหว่ให้ผู้ใดมาฉวยโอกาสได้”
“บางที แม่นางเฉิงอาจรู้สึกผิดในตอนหลังเลยรับคำเชิญก็
เป็นได้นะขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังขึ้น
“สายไปเสียแล้ว”
โจวฝูถีบเข้าไปที่กำแพงหนึ่งที
“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” เขากัดฟันกรอด
“ข้าแค่อยากมาดูว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก
หรือไม่ก็เท่านั้น” แม่นางเฉิงเอ่ย
“ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่รีบกลับเสีย”
โจวฝูถามเฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยตอบ ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น พลางมองที่
มือตนเอง รอยแผลนั้นไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว ทิ้งไว้แค่ความรู้สึก
เจ็บแปลบๆ
“ข้าแค่อยากนั่งตรงนี้” นางเอ่ยตอบ
“เจ้าคงไม่ได้รู้สึกผิดขึ้นมาหรอกนะ” โจวฝูถาม พลางชี้นิ้วไป
ทางตำหนัก “คนพวกนั้นต่างหากที่ติดค้างพวกเราอยู่! เหตุการณ์
วันที่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะพวกเขา! พวกเรามันก็แค่
ผู้เคราะห์ร้าย”
เจียวเหนียงหัวเราะพลางส่ายหัว ราวกับว่าจะเอ่ยอะไร
บางอย่างออกมา แต่ก็ไม่ยักจะเอ่ยอย่างใด
“เฮ้ย เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ” โจวฝูมองท่าทีของนางออก
ขมวดคิ้วเข้าให้
“ข้าไม่อยากพูดอะไรนี่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
โจวฝูเข้าใจนางทุกประการ แต่นางกลับมองว่าเขาไม่เข้าใจนาง
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง!นี่นางคิดอะไรของนางอยู่นะ! หากเจ้าฉินสิบสามอยู่ด้วยคงจะ
พอรู้บ้าง…เดี๋ยวก่อนนะ ฉินสิบสามงั้นรึ…
โจวฝูพอนึกขึ้นได้ก็กำหมัดแล้วต่อยเข้าไปที่กำแพง
เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน เหตุใดแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้
เขายันมือกับกำแพง ไม่เอ่ยอะไรต่อ
…
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังสนั่น
ร่างของท่านชายเกาเซไปด้านหลัง พลางเอามือป้องหน้า
“ท่านพ่อ…” เขาร้องด้วยความกลัว
“ใครใช้ให้เจ้าฆ่าท่านชายเฉิงสี่” เกาหลิงปอหน้านิ่วคิ้วขมวด
ตวาดเสียงใส่คนตรงหน้า “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว เวลาตีงูไม่ต้อง
ตีทั้งตัว กระทำการใดให้เอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำ หากต้องการฆ่าใคร ก็
ให้ฆ่านางที่เป็นตัวต้นเหตุ! เจ้าไปฆ่าท่านชายเฉิงสี่ รังแต่จะทำให้
นางโกรธแค้นมากขึ้น ตีโพรงหญ้าให้งูผวาเสียมากกว่า!”ท่านชายเกาทำท่าจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่
หยดเดียว
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้สั่งให้คนไปฆ่าเขา ข้าก็แค่ทำตามที่ท่าน
กำชับว่าเอาเขามาเป็นตัวล่อนาง ใครจะไปคิดล่ะว่านางบ้านั่น
จะสติฟั่นเฟือนลงมือฆ่าเขาได้ลงคอ!”
เกาหลิงปอง้างมือจะตบอีกครั้ง ท่านชายเกาพอได้เห็นดังนั้น
จึงรีบถอยกรูด
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ” เขาตะโกน “ข้าเองก็ถูก
นางนั่นหลอกใช้! ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะลงมือฆ่าท่านชายเฉิงสี่แบบ
นั้น
!”
เกาหลิงปอเอามือลงอย่างฟึดฟัด
“แล้วคนล่ะ” เขาตวาดถาม
ชิงเค่อที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยตอบ
“หลังจากเกิดเรื่อง ศพของท่านชายเฉิงสี่ถูกพวกตระกูลเฉิงนำ
ไปจัดการต่อแล้ว ส่วนคนของหอเต๋อเซิ่งถูกคุมขังในคุกแล้ว
เรียบร้อยขอรับ”เกาหลิงปอเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำทีเดินไปเดินมา
“เจ้าไปพูดกับนางโลมนั่นว่าอย่างไร” เกาหลิงปอเอ่ยถาม
“ท่านพ่อ วางใจเถิด ข้าแค่พูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ กับนางก็
เท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอื่นแต่อย่างใด” ท่านชายเการีบให้คำตอบ
“ส่วนนางคนใช้นั่น ข้าย้ำกับนางแล้วว่าให้ลากท่านชายเฉิงสี่มาที่หอ
เต๋อเซิ่ง อ่อ ว่าไปแล้ว นางนั่นถูกแม่นางเฉิงฆ่าทิ้งแล้ว”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เกาหลิงปอรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่า
งอดไม่ได้
ตามที่มีคนเข้ามารายงาน สาวใช้ที่ชื่อว่าชุนหลิงอะไรนั่นถูกเฉิง
เจียวเหนียงหักคอทั้งเป็น
หักคอทั้งเป็นเลยรึ!
“ดังนั้นขอท่านพ่อวางใจเถิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางสาวมาถึงตระกูล
เราอย่างแน่นอน” ท่านชายเกาเอ่ย
“แล้วนางผู้นั้น บัดนี้อยู่ที่ใดกัน” เกาหลิงปอโพล่งคำถาม
กลางคัน
“ที่ตำหนักชิ่งอ๋องขอรับ” ชิงเค่อรีบตอบ“ตำหนักชิ่งอ๋องอย่างนั้นรึ” เกาหลิงปอย่นคิ้ว
“นายท่านวางใจเถิด” ชิงเค่อเอ่ยแกมหัวเราะ “พวกเขาไม่ให้
นางเข้าไป นางเลยยืนอยู่หน้าตำหนักอย่างนั้นไม่ไปไหนขอรับ”
“คนของตำหนักชิ่งอ๋องห้ามไม่ให้นางเข้าไปด้วยขอรับ” ชิงเค่อ
อีกคนเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนพวกเขาคงไม่กล้าให้ใครเข้ามารักษาอาการ
ของจิ้นอันจวิ้นอ๋องสุ่มสี่สุ่มหาแล้วล่ะขอรับ”
“ที่นางยังไม่กลับไป นั่นหมายถึงอาการของจวิ้นอ๋องคงหนัก
เอาการเป็นแน่แท้ขอรับ” ชิงเค่ออีกคนพูดเสริม “มีคนรานงานว่า ที่
ตำหนักได้เชิญหมอหลวงเข้าไปรักษาถึงสองคนเลยขอรับ”
เกาหลิงปอพยักหน้า
“ในที่สุดก็มีข่าวดีเกิดขึ้นสักที หากจวิ้นอ๋องสิ้นพระชนม์
แม่นางเฉิงที่เคยปฏิเสธการรักษาชิ่งอ๋องเองก็คงหนีไม่รอด
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็” เกาหลิง
ปอค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นคงต่อกัน
ไม่ติดแน่นอน”เขาเอ่ยพลางเอามือกดเข้าไปที่หน้าผาก พลางคิดในใจไว้ว่า
ไม่อยากให้มีอันเป็นไปเกิดขึ้นถึงขั้นที่ต้องให้เขามือเปื้อนเลือด
อีกแล้ว
“นายท่านลืมไปหรือเปล่าขอรับ” ชิงเค่อหัวเราะ พลางยื่นนิ้ว
นับ “ไม่ใช่สองคน แต่เป็นสามคนขอรับ”
ท่านชายเกาเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าสมทบ
“ใช่แล้วล่ะ สามคน อีกคนที่เพิ่มขึ้นมานั้นดูเหมือนว่าจะรู้
แผนการของพวกเรา แต่ก็เท่านั้น เพราะต่อให้เจ้านั่นพูดอะไรออก
ไป พวกตระกูลเฉิงชั้นต่ำนั่นคงไม่มีทางเชื่อใจเจ้านั่นได้อีกแล้วล่ะ”
…
เสียงร้องโอดครวญพร้อมกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากคุกใต้ดินอัน
มืดมิด
“รีบเดินสิ!”
แม่นางจูถูกผลักจนเซล้มลง เสียงประตูกรงดังขึ้น นาง
พยายามยื่นมือคว้าซี่กรง“เข้าไป!” หญิงประจำ คุกตวาดนาง ก่อนจะใช้เล็บจิกเข้าไปที่
หัวนาง “นางชั้นต่ำ”
แม่นางจูสูดปากด้วยความเจ็บปวด ร่างของนางก็ถูกผลักจน
เซล้มและไถลเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง
หญิงประจำ คุกไม่ได้เข้าไปด้วย นางรีบปิดประตูแล้วลั่นกลอน
แม่นางจูหยัดตัวลุกขึ้นยืน จู่ๆ ก็ปรากฏร่างในชุดยาวเรียบง่าย
แต่แฝงไปด้วยความประณีต
“…เจ้ารู้หรือไม่ เขาเป็นคนมีบุญคุณต่อเจ้า”
เป็นเสียงของฉินหูดังขึ้นจากด้านบน
แม่นางจูจากที่ลุกขึ้นได้ก็ทรุดลงอีกครั้ง
“ข้าน้อยรู้ ท่านชายเฉิงเป็นคนดี”
“ไม่สิ ข้าไม่ได้หมายถึงเขา” ฉินหูเอ่ย “ข้าหมายถึงผู้ที่ฆ่าศัตรู
ของตระกูลเจ้า คนของหลิวเซี่ยวหลี่”
แม่นางจูเมื่อได้ยินดังนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้น
“เป็นจริงสินะ…เป็นนางจริงๆ ใช่ไหม”เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ให้นางได้ บวกกับข่าวลือของ
แม่นางเฉิงที่กระจายไปทั่วทั้งเมือง แม้ว่านางจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่
ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
ฉินหูมองนาง พลางหัวเราะเบาๆ
รอยยิ้มของเขาสว่างสดใสท่ามกลางคุกแสงสลัวในคุกอัน
มืดมิด
“แน่นอนสิ” เขาเอ่ยยืนยัน “ข้ากับนางอยู่ในเหตุการณ์เชียวนะ
”
แม่นางจูมองเขา
“นางคือคนที่ลงมือ ข้าแค่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย” ฉินหู
หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าดันทำร้ายคนที่ชั่วชีวิตของเจ้าควรจะทดแทน
บุญคุณมากที่สุดเลยนะ”
แม่นางจูน้ำตาไหลพราก พลางส่ายหัว
“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ไม่ใช่ข้า…” แม่นางจูสะอื้นเอ่ยคร่ำครวญ
พลางยื่นมือเข้าไปคว้าที่ชายเสื้อของฉินหู “ท่านชายฉิน ข้าไม่ได้ทำจริงๆ … ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดทำร้ายท่านชายเฉิงสี่เลย ไม่เคย
แม้แต่จะคิด…”
ไม่เคยแม้แต่จะคิดงั้นรึ! แล้วใครมันจะไปคิดเล่า!
ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิด เพียงแต่…
ฉินหูชายตามองหญิงตรงหน้าอย่างเหยียดหยัน จากนั้นสะบัด
แขนนางออก
“ทว่า เจ้าเป็นคนทำร้ายเขา!” ฉินหูแผดเสียงใส่ “เจ้าทำร้าย
ท่านชายเฉิงสี่!”
เขาคว้าเข้าไปที่เสื้อนางแล้วดึงตัวนางขึ้น
“เจ้าทำร้ายคนของนาง! คนของนาง! นางแทบจะไม่เหลือใคร
แล้ว! เจ้าก็ดันไปทำร้ายคนของนางอีก!”
แม่นางจูที่ถูกชายหนุ่มดึงเสื้อขึ้นจนรั้งแน่นที่คอทำให้ใบหน้า
ของนางเริ่มแดงและหายใจไม่ออก
ไม่ ไม่ใช่ข้า…
นางจ้องชายหนุ่มตรงหน้า นี่คงเป็นครั้งที่นางได้ประชิดตัวเขา
มากที่สุด นางรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาจากมือที่กำลังคว้าเสื้อของนาง
‘น้ำชาเย็นหมดแล้ว ในเมื่อแม่นางจูมีเรื่องในใจเช่นกัน งั้นดื่ม
ชาร้อนๆ เสียหน่อยจะดีกว่า’
‘ขอบใจอย่างยิ่งสำ หรับคำว่า ‘เช่นกัน’ ของท่านนะเจ้าคะ’
แม่นางจูชม้ายชายตามองสีหน้าของคนตรงหน้า
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขามีเรื่องในใจ เขาเองก็จับใจความและ
รับรู้ได้ถึงเสียงบรรเลงเพลงของตน
‘เจ้าต้องขอบคุณในความรู้ใจของข้าสิ ไม่อย่างนั้นคงเสียแรงที่
เจ้าอุตส่าห์บรรเลงเพลงปลอบใจข้าแย่’
‘ท่านชายก็พูดเกินไปเจ้าค่ะ จะรู้ใจหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของ
ท่านชาย ส่วนจะบรรเลงเพลงหรือไม่ ก็คงเป็นเรื่องของข้าน้อยเจ้าค่ะ
’
ประโยคเมื่อครู่ทำเอาชายหนุ่มตรงหน้าถึงกับหัวเราะร่า
‘นั่นสินะ เรื่องใครเรื่องมัน ว่าไปแล้ว เจ้าเองก็คล้ายกับนาง
เหมือนกันนะ…’ใช่แล้วล่ะ ที่นางทำให้เขายิ้ม ทำให้เขาหัวเราะได้ ไม่ใช่เพราะ
ตัวนางเอง แต่เป็นเพราะนางมีส่วนที่คล้ายกับแม่นางเฉิงต่างหากล่ะ
แม่นางจูยิ้มอ่อน
ฉินหูทิ้งตัวนางลงบนพื้น
“เจ้าไม่ได้ฆ่าเขาก็จริง แต่เขาต้องมาตายเพราะเจ้า”
“นี่เจ้ายังคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์งั้นรึ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของ
เจ้า!”
แม่นางจูที่ร่างแนบพื้นจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“ใช่แล้ว เป็นเพราะข้าน้อยเอง” นางเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้น “ใน
เมื่อท่านชายฉินบอกว่าเป็นเพราะข้าน้อย ก็ตามนั้นเถิดเจ้าค่ะ”
ฉินหูชำ เลืองมองนาง แล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้สินะว่าควรทำเช่นไรต่อ” เขาเอ่ยถามนางเสียง
เอื่อย
แม่นางจูมองหน้าเขา พยักหน้าให้พลางยิ้ม
“ข้าน้อยรู้เจ้าค่ะ”พอนางเอ่ยจบ ฉินหูพลันก้าวเท้าเปิดประตูเดินออกไป จากนั้น
ประตูถูกปิดลง
แม่นางจูมองไปรอบห้องขังอันว่างเปล่า ก็เหลือบไปเห็นเก้าอี้
เล็กๆ ตัวหนึ่ง นางค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ จากนั้นถอดเข็มขัดออก
ห้องคุกแห่งนี้มีหน้าต่างอยู่บานนึง
แม่นางจูรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นหน้าต่าง จากนั้นทำการคล้อง
สายเข็มขัดให้เป็นวง
ดูสิ มองเห็นข้างนอกได้ด้วย ดูเหมือนว่าอรุณกำลังจะเบิก
ฟ้าแล้ว!
นางพยายามยืดตัวให้สูงขึ้น สูงขึ้น เพื่อที่จะมองเห็นได้ชัดขึ้น
แม่นางจูค่อยๆ เขย่งปลายเท้า
ที่จริงแล้ว ในตอนนั้น มารดาของนางควรลากนางไปปรโลก
ด้วย แต่ว่าก็คงยังไม่สายไป เพราะตอนนี้ นางกำลังจะได้เจอ
พวกเขาแล้ว ถึงแม้ชื่อเสียงของนางจะแปดเปื้อนก็ตาม แต่ไม่เป็นไร
เพราะร่างกายของนางยังบริสุทธิ์อยู่นางคลี่ยิ้มมุมปาก พลางคิดในใจ แบบนี้ก็ไม่เลวเลย จากนั้นจึง
ถีบเก้าอี้ออก
แสงแรกของวันใหม่เริ่มส่องสว่างขึ้น ฉินหูที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ห้องขังพลันแหงนขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาคิดในใจ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป
จากนั้นก็คว้าหมวกคลุมหัวมาใส่ แล้วกระโดดขึ้นรถม้า
แสงยามเช้าค่อยๆ สาดส่องเข้ามายังด้านในตำหนัก ขันทีที่นั่ง
หลับอยู่ก็พลันตื่นขึ้น พอได้สติก็รีบเข้าไปดูที่แท่นบรรทม ก็พบกับ
สายตาของชายหนุ่มตรงหน้ากำลังมองมาที่เขา
ขันทีเมื่อได้เห็นดังนั้นก็ยืนอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็ขยี้ตาเพื่อ
ความแน่ใจ
“ฝ่าบาทรึ” เขาตะโกนร้อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจ้องหน้าขันทีด้วยสายตามึนงง
“อืม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยตอบเสียงค่อย
ขันทีกระโดดโหยงพลางร้องตะโกน
“ฝ่าบาทฟื้นแล้ว! ฝ่าบาทฟื้นแล้ว!”เสียงเปิดประตูดังขึ้น โจวฝูที่นั่งอยู่ริมรั้วเมื่อได้ยินเข้าก็สะดุ้ง
และรีบสังเกตการณ์
มีรถม้าสองคันขับเคลื่อนออกจากประตูตำหนัก มุ่งหน้าไปทาง
วังหลวง
หรือว่าจะ…
โจวฝูลุกขึ้นยืนแล้วรีบย่ำเท้าตามไป
จู่ๆ เสียงม้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอเขาหันไปดู ก็เห็นว่าเฉิง
เจียวเหนียงกำลังก้าวเท้าขึ้นหลังม้า
“นี่” เขาตะโกนเรียกนาง
เฉิงเจียวเหนียงชำ เลืองมองเขา
“ฟ้าสว่างแล้ว รีบกลับกันเถอะ ข้านั่งอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว”
นางเอ่ย “ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องจัดการ”
โจวฝูหันหน้าไปทางตำหนักชิ่งอ๋อง แล้วหันมามองนางพลาง
พยักหน้า ก่อนจะรีบกระโดดขึ้นหลังม้า
หนุ่มสาวควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แสงอุทัยยามเช้า
สาดส่องบนท้องถนน