พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 589 เล็กน้อย
“ท่านพ่อ พวกเราจะไปจริงๆ หรือขอรับ”
ท่านชายเกาสาวเท้าเดิมตามไปถามเกาหลิงปอ
“ทำไมรึ กลับไปแล้วจะเจ้ากินไม่อิ่มอยู่ไม่สุขหรือไร” เกาหลิง
ปอเอ่ยถามเสียงเรียบ
กลับไปพวกเขาตระกูลเกาก็เป็นเจ้าพ่อ แต่สิ่งที่มนุษย์ตาม
หาไม่ใช่ความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว
ต่อให้ที่บ้านดีกว่านี้ แต่จะเทียบกับการเชิดหน้าชูตาใน
ราชสำ นักที่เมืองหลวงได้หรือ
“นายท่าน” ฮูหยินจากแคว้นฉีคำนับต้อนรับให้ที่ห้องโถง
“ไปเจอไทเฮามาแล้วหรือ” เกาหลิงปอถาม
“เจ้าค่ะ เจตนาของไทเฮายังคงต้องการให้พวกเราเป็นคนเลือก
ชายาขององค์รัชทายาทอยู่” ฮูหยินจากแคว้นฉีเอ่ย
เกาหลิงปอส่ายหน้า“ไม่ เราเลือกไม่ได้” เขาเอ่ย “โอกาสดีเพียงนี้ ต้องทิ้งไว้ให้
คนอื่น”
ฮูหยินจากแคว้นฉีกับท่านชายเกาสบตากัน ต่างมีความสงสัย
โอกาสดี เหตุใดต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นด้วยเล่า
“อ้อ แล้วก็” ฮูหยินจากแคว้นฉีนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ย
ขึ้นว่า “ไทเฮายังคงห่วงใยจิ้นอันจวิ้นอ๋องอยู่มาก”
เกาหลิงปอขมวดคิ้ว
“สตรีมักใจอ่อน” เขาเอ่ย
“นายท่าน อย่างไรเสียนางก็เป็นคนเลี้ยงมาเองกับมือ จะให้ตัด
ก็ตัดได้เลยหรือไร” ฮูหยินจากแคว้นฉีเอ่ย ส่งชาให้เกาหลิงปอ
“ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้จิ้นอันจวิ้นอ๋องมีสภาพเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“สิบกว่าปีก่อน เขาก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังอยู่ดี
มีสุขมาจนถึงตอนนี้เลย” เกาหลิงปอเอ่ย
“สุดท้ายไทเฮาก็หักใจไม่ลง” ฮูหยินจากแคว้นฉีเอ่ย
“ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้นางก็ได้แต่รู้สึกผิด”
เกาหลิงปอยกมือขึ้นลูบเครา“แม้ความรู้สึกผิดและความอาลัยจะหายไปตามกาลเวลา
เพียงแต่ครั้งนี้ข้าก็รอไม่ได้เช่นกัน” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า “เรื่องราวบน
โลกนี้ล้วนยากจะคาดเดา ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ข้าก็ไม่คิดเลยว่า
วันนี้ตอนนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“เช่นนั้นท่านพ่อจะกำจัดเขาหรือไม่” ท่านชายเการีบเอ่ยขึ้น
“เจ้ากลัวว่าคนอื่นหาทางกำจัดเราไม่ได้หรือไร” เกาหลิงปอ
ถลึงตาใส่พลางเอ่ย “ยามนี้ขุนนางใหญ่ทั้งสี่ช่วยว่าราชการ แต่ละฝัก
ละฝ่ายในราชสำ นักวุ่นวาย ถกเถียงขัดแย้งกันเอง สิ่งที่พวกเราต้อง
ทำก็คือเลี่ยงความขัดแย้งนี้ แม้พวกเขาจัดขัดแข้งขัดขากัน แต่ต่าง
ร่วมใจกันต่อต้านตระกูลเกาของเรา”
ท่านชายเกาหน้าเหยเกไม่เอ่ยอะไรอีก
“สิ่งที่ไทเฮาไม่ชอบในตัวจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็คือฐานันดรของเขา
ไม่ใช่ตัวเขา” เกาหลิงปอลูบเคราพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงอมยิ้ม
เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคน ก็จัดการง่ายแล้ว”
“ท่านพ่อจะจัดการอย่างไร” ท่านชายเการีบถามขึ้นทันที
เกาหลิงปอลุกขึ้นยืน“ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮา” เขาบอก
…
“พี่ปั้นฉิน”
ปั้น
ฉินยื่นมือไปดึงสาวใช้ไว้ กระซิบเอ่ยเรียก
“พวกเราต้องไปจริงๆ หรือ”
สาวใช้ยืนอยู่มุมถนนมองไปยังคฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม
“แน่นอนสิ” นางบอก
“ถามนายหญิงก่อนดีกว่า” ปั้นฉินกระซิบบอก
สาวใช้หันกลับมามองนาง
“เจ้ายังไม่รู้จักนายหญิงอีกรึ” นางเอ่ย “คนอย่างนายหญิง
ไม่เคยไปอธิบายอะไรกับคนอื่นหรอก คนอื่นชอบนางก็ดี เกลียดนาง
ก็ดี นางล้วนไม่ใส่ใจ ก็เหมือนที่เรียกว่าคนที่รู้จักข้า เป็นห่วงข้า คนที่
ไม่รู้จักถามข้าว่าต้องการสิ่งใด”
ปั้น
ฉินพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ แล้วมองไปยัง
คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้ง“ท่านชายโจวบอกแล้วไม่ใช่หรือ จวิ้นอ๋องเข้าใจนายหญิงผิด
ว่าวันนั้นไม่ช่วยพระองค์ ดังนั้นกระทั่งประตูตำหนักก็ไม่ให้นายหญิง
เข้า วันนั้นนายหญิงยืนอยู่หน้าตำหนักชิ่งอ๋องทั้งคืนเลย” สาวใช้เอ่ย
ด้วยสีหน้าทั้งร้อนใจทั้งเจ็บปวด
“นั่งอยู่ทั้งคืนต่างหาก” ปั้นฉินเอ่ยแก้
สาวใช้ถลึงตาใส่นาง
“แล้วมันไม่เหมือนกันหรือไร” นางเอ่ย
ปั้น
ฉินยิ้มแหย
“นายหญิงอยู่เมืองหลวง คนที่พูดคุยด้วยได้ คนที่เป็น
มิตรสหาย ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว” สาวใช้เอ่ยเสียงเบา “ท่านชายฉิน
กลายเป็นศัตรูแล้ว นั่นเป็นการเลือกของท่านชายฉินเอง แต่จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องผู้นี้ โดนคนอื่นใส่ร้าย ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อแต่งงาน ต่อให้นาย
หญิงไม่สนใจ ข้าก็ไม่อยากให้นายหญิงโดนอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้
…”
ปั้น
ฉินยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางพยักหน้า“ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีหลักฐานด้วย” สาวใช้เอ่ย ยื่นมือไปลูบชาย
แขนเสื้อ “ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องเข้าใจ ฝ่าบาทเชื่อใจนายหญิง
มาโดยตลอด”
“อ้อ จริงสิ แล้วก็ ข้าอยากถามว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหมาป่า
ฝูงนั้นเป็นฝีมือคนที่พามา”
“ในหนังสือบอกว่า เวลานั้น ไม่น่าจะมีหมาป่ามาหาอาหารดึก
ๆ ดื่นๆ ที่ถนนใหญ่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าโจมตีขบวนรถม้าเลย”
“อ้อ จริงด้วย”
หากนางบอก เขาย่อมเชื่อ
“ไม่อาจให้นายหญิงกลับเจียงโจวไปทั้งอย่างนี้ได้นะ” สาวใช้
สูดหายใจลึก โบกมือขึ้น “ไปกัน”
…
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
หมอหลวงหลี่สาวเท้ามาหา ก้าวเข้าประตูมาก็เอ่ยเรียกอย่าง
อดรนทนไม่ไหวภายในห้องปรากฏร่างขันทีสองนายโบกมือโบกไม้ส่งเสียง ‘ชู่’
ให้เขา
“หมอหลวงหลี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ” พวกเขาถามเสียงเบา
“ฝ่าบาทเพิ่งจะบรรทมไป”
หมอหลวงหลี่ยิ้มอย่างลุแก่โทษ
“มีเรื่องด่วน ข้าต้องพูดกับฝ่าบาท” เขาเอ่ย
“เรื่องอะไรรึ หมอหลวงจึงได้ดีใจเช่นนี้” ขันทีถามขึ้นอย่างอด
ไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของหมอหลวง
“ข้าว่าแล้วเชียว ข้าว่าแล้ว แม่นางเฉิงไม่ใช่คนแบบนั้น นาง…”
หมอหลวงถูมือไปมาพลางเอ่ย
พอประโยคนี้เพิ่งจะเอ่ยขึ้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่หลับตาอยู่บน
เตียงก็ลืมตาโพลงโดยพลัน
ใครพูดชื่อนางกัน
“หมอหลวงหลี่! เกิดเรื่องใดกับสองคนนี้รึ”
“อาจารย์กู้…เขามาหาข้า…”“มาหาเจ้ารึ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักผู้ดูแลใหญ่ของเรือนนางฟ้า
หรือไร”
“พวกเราไม่ได้มาหาหมอหลวงหลี่เจ้าค่ะ พวกเรามาเข้าเฝ้าจิ้น
อันจวิ้นอ๋อง”
“พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ใด พวกเจ้านึกจะมาก็มาได้อย่างนั้นรึ
หมอหลวงหลี่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าแอบนำคนนอกเข้าตำหนัก เจ้า
มีเจตนาใดกันแน่”
“ท่านชาย พวกเราเข้ามาจากประตู ตอนแรกฝ่าบาทเข้าบ้าน
เราโดยการปีนกำแพงเข้ามาด้วยซ้ำ ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“ท่านกู้ ปั้นฉินมาหรือ” เขาเอ่ยเสียงดัง
เสียงพูดคุยด้านนอกหยุดลง ครู่ต่อมาก็มีคนผลักประตูเดิน
เข้ามา
“ฝ่าบาท” สาวใช้เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องนอนอยู่บนเตียงก็คิด
จะเข้าไปหา
“ยืนไกลๆ หน่อย” นายทหารกู้เอ่ยแล้วองครักษ์สองนายก็เข้ามาขวางไว้เชิงข่มขู่ทันที
สาวใช้หยุดฝีเท้าลง
“ฝ่าบาท ข้ามาทูลท่านว่า วันนั้นนายหญิงข้าบอกว่าไม่รักษา
ท่าน เพราะโดนคนอื่นขู่บังคับเพคะ” นางบอก “ท่านชายตระกูลฉิน
เป็นคนหลอกนายหญิงข้าให้ไปชมดอกไม้ จากนั้นก็ใช้ท่านชายเฉิงสี่
มาข่มขู่นายหญิงข้าเพคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยันมือกับเตียง ใช้แรงเพื่อจะลุกขึ้น สาวใช้ที่อยู่
ด้านข้างรีบเข้ามาพยุง
“อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย ใบหน้าอ่อนแรงที่โผล่จากผ้าม่าน
ปรากฏเป็นรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
สาวใช้พยักหน้าหงึกหงัก ปั้นฉินก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“เพคะ ข้ายังมีหลักฐานด้วยเพคะ” สาวใช้รีบบอก ยกมือขึ้น
หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากแขนเสื้อด้วยความระมัดระวัง
“ไม่ต้องดูหรอก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
สีหน้าสาวใช้ชะงักค้าง“เท่านี้ก็พอแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ทอดถอนใจ “ข้าบอกแล้ว
ท่านชายเฉิงสี่เจอกับเคราะห์ร้ายก็เพราะเหตุนี้”
ได้ยินประโยคนี้สาวใช้ก็ปรีดาจนร่ำไห้
“บ่าวรู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาททรงทราบดี” นางปิดหน้าเอ่ย
ขึ้น
นายทหารกู้ยื่นมือไปหยิบกระดาษมาจากมือนาง กวาดตามอง
ด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“บอกกับคนที่มาตามนี้ว่า น้อยลงคำหนึ่ง เกินมาคำหนึ่ง ศพ
ของท่านชายเฉิงสี่ออกจากประตูไปก็เห็นแล้ว มีธุระอะไร อา
การประชวรของฝ่าบาท ข้ารักษาไม่ได้ ไม่ต้องดูหรอก อา
การประชวรของฝ่าบาท ข้ารักษาไม่ได้ พวกเจ้าไปเชิญคนอื่นเถอะ”
เขาอ่าน
สาวใช้กับปั้นฉินมองเขาพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“ฝ่าบาทฟังสิเพคะ เป็นแบบนี้นี่แหละ” พวกนางเอ่ยกันอย่าง
พร้อมเพรียง “คำพูดพวกนั้นไม่ใช่นายหญิงของข้าต้องการจะพูด”
อาจารย์กู้หัวเราะ“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เขาเอ่ย “สิ่งที่พวกเราจะพูดคุยในยาม
นี้ ไม่ใช่เรื่องคำพูดเหล่านี้ที่นายหญิงพวกเจ้าต้องการจะพูด”
สาวใช้กับปั้นฉินต่างนิ่งงัน
“แต่เป็นเรื่องที่นายหญิงของเจ้าทำ” นายทหารกู้เอ่ย มอง
กระดาษในมือ “ข้าอยากถามพวกเจ้าว่า หากในกระดาษไม่ได้เขียน
ว่าไม่ให้รักษาฝ่าบาท แต่เป็นให้นายหญิงเจ้ามาเอาชีวิตของฝ่าบาท
ไป”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองสาวใช้กับปั้นฉิน
“แล้ว นายหญิงของเจ้าจะทำอย่างไร”
สาวใช้กับปั้นฉินหน้าซีด
นายหญิงนางจะทำอย่างไรอย่างนั้นรึ
นายหญิงของนาง…
“ไม่ นายหญิงข้าไม่มีทางทำหรอก! นายหญิงข้าไม่ลงมือ
ทำร้ายคนก่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว!” ปั้นฉินตะโกนขึ้น
นายทหารกู้หัวเราะ“นั่นนะสิ ที่พวกเรากำลังพูดถึงยามนี้ก็ไม่ใช่เรื่องทำใครก่อน”
เขาเอ่ย “แต่เป็นเรื่องถูกกระทำ หากนายหญิงเจ้าถูกขู่บังคับ แล้วจะ
ทำร้ายคนหรือไม่”
เห็นสีหน้าสาวใช้ทั้งสองซีดขาว อาจารย์กู้ก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“พวกเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของแม่นางเฉิง คำตอบคืออะไร
คงรู้อยู่แก่ใจกระมัง” เขาเอ่ยแล้วมองไปยังจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อยู่บน
เตียง “ฝ่าบาท ก็คงรู้แจ้งแก่ใจเช่นเดียวกันกระมัง”
การแต่งงานสำ หรับข้าคือเรื่องเล็ก…
สำ หรับนางล้วนเป็นเรื่องเล็ก…
“ท่านกู้ ท่านพูดเช่นนี้ผิดแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างเนิบช้า
“ข้าโดนทำร้าย นางไม่ได้เป็นคนทำ ผลที่ถูกทำร้าย ก็ไม่ควรจะให้
นางมาแบกรับไว้”
นายทหารกู้ขานรับ
“ฝ่าบาทปราดเปรื่องนัก” เขาเอ่ย ไม่พูดมากความอีก “เช่นนั้น
ฝ่าบาทก็พักผ่อนเถิด รักษาร่างกายนั้นสำ คัญที่สุด”จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ค่อยๆ นอนกลับลงไป พวก
สาวใช้ปล่อยม่านลง
“ฝ่าบาท…” สาวใช้เอ่ยเรียกเสียงสั่น
“เชิญ” องครักษ์ผายมือเอ่ยกับพวกนาง
สาวใช้มองผ้าม่านที่ไม่ขยับไหว ก็ยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลริน
ก้มหน้าเดินออกไป ปั้นฉินรีบเช็ดน้ำตาเดินตามไป
“ผู้ดูแลใหญ่”
นายทหารกู้เอ่ยเรียกไว้ด้านหน้าประตู
สาวใช้หันไปมองเขา
“แล้วก็ เจ้าลืมสิ่งนี้ไว้” อาจารย์กู้เอ่ย ฉีกกระดาษในมือแล้ว
โยนทิ้งไป
เศษกระดาษลอยกระจัดกระจาย น้ำตาสาวใช้พรั่งพรูลงมา
อีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
“ฉีกไม่ได้นะ! ฉีกไม่ได้!” นางตะโกนขึ้น ยุดยื้อองครักษ์ที่คอย
ขวางแล้ววิ่งไปเก็บปั้น
ฉินมองสาวใช้ไปเก็บกระดาษทั้งน้ำตาก็ปิดหน้าร้องไห้
ยกใหญ่
ฉีกไม่ได้! ฉีกไม่ได้!
วังหลวงในขณะเดียวกันนั้น ไทเฮากำลังมองเกาหลิงปอด้วย
ความตกใจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นางเอ่ยถาม “งานแต่งของรัชทาบาทยังไม่
สำ คัญอีกรึ ที่สำ คัญคืออีกเรื่องหนึ่งอย่างนั้นรึ เรื่องอะไรกัน”
“ไทเฮา” เกาหลิงปอถอนใจยิ้มเอ่ยว่า “ปีนี้เข้าวังมาก็โชคร้าย
ไม่หยุด ท่านดูยามนี้…”
ผิงอ๋องตาย ฮ่องเต้ประชวร ไทเฮาอย่างนางก็มาโดนบรรดา
ขุนนางรังแก กระทั่งครอบครัวยังต้องออกจากเมืองหลวงไป…
ไทเฮายกมือเช็ดน้ำตา
โชคร้ายประเดประดังจริงๆ นั่นแหละ
“จัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรจะดีกว่า” เกาหลิงปอเอ่ย
“จะได้ให้งานแต่งขององค์รัชทายาทยิ่งมงคลขึ้น”“จัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรอย่างนั้นรึ” ไทเฮามองเขา
ด้วยความไม่เข้าใจ “ให้ใครจัดเล่า”
“แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่โชคดีอยู่แล้วสิ” เกาหลิงปอเอ่ย “จิ้น
อันจวิ้นอ๋องผู้นำความโชคดีมาให้แก่วังหลวงมาโดยตลอดน่ะ”
ไทเฮาพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง
“ใช่ ใช่ ยังมีเขา ยังมีเขาอยู่ เขาอยู่ช่างดีเหลือเกิน” นางรีบเอ่ย
“องค์รัชทายาทจะต้องมีได้โอรสโดยเร็วแน่นอน”
ช่างเถิด นางคงหักใจไม่กล้าทำอะไรเขายิ่งกว่าเดิม บรรดาสตรี
พวกนี้คิดอะไรกันอยู่! เกาหลิงปอขมวดคิ้ว แต่ก็ช่างเถอะ พูดเช่นนี้
คงง่ายกว่า
“นั่นนะสิ ให้เขาแต่งงานก่อน จะได้ขจัดสิ่งชั่วร้ายแก่
อาการป่วยของเขาด้วย สำ หรับราชวงศ์แล้วก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
เช่นกัน” เกาหลิงปออมยิ้มเอ่ย
ไทเฮาพยักหน้าพัลวัน
“ใช่ ใช่ เหตุใดข้าจึงคิดไม่ได้นะ ควรจะแก้ชงเสียหน่อย เหว่ย
หลังประสบพบเจอเคราะห์ร้ายมามากพอแล้ว” นางเอ่ย “ตอนแรกฝ่าบาทก็จะให้เขาแต่งงาน นี่ไม่มีอุปสรรคอะไรแล้ว…”
พูดถึงตรงนี้ก็กลุ้มใจขึ้นมาอีก
“แต่นี่คงเลือกยากกว่าชายาของรัชทายาทอีก รีบร้อนเช่นนี้
จะเลือกคนที่เหมาะสมได้อย่างไรเล่า”
เกาหลิงปอยิ้ม ยกมือหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง วางลงบน
โต๊ะ
“ไทเฮาไปแล้วหรือ เลือกตัวไว้นานแล้วต่างหาก” เขาเอ่ย
ยกมือชี้บนกระดาษ
ไทเฮามองไป เห็นชื่อตรงมือที่เกาหลิงปอชี้
ตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจวอย่างนั้นหรือ
ว่าอย่างไรนะ!
นางนะหรือ