พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 590 โน้มน้าว
“นางต่ำทรามเพียงนั้นจะเรียกว่ามงคลอะไรได้!”
ไทเฮาตบโต๊ะพลางเอ่ย
“ก็เพราะเป็นนาง จึงได้เกิดเรื่องโชคร้ายมากมายเพียงนี้”
ก็จริง เกาหลิงปอลูบเคราพยักหน้า
“แต่นางมีฝีมือด้านการแพทย์ดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “เดิมทีที่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะแต่งกับนางก็เพื่อดูแลชิ่งอ๋อง”
ไทเฮาส่งเสียงถุยออกมา
“ฝีมือการแพทย์ดีอย่างนั้นรึ รักษาชิ่งอ๋องไม่ได้ ช่วยฝ่าบาทก็
ไม่ได้ ฝีมือดีอะไรกัน!” นางเอ่ย “ชื่อเสียงคุยโวทั้งนั้น หลอกลวงพวก
ชาวบ้านโง่เขลาเบาปัญญา”
“ชื่อเสียงจอมปลอม ช่างเหมาะเจาะดีมิใช่หรือ” เกาหลิงปอ
เอ่ย
ไทเฮาตกตะลึงฝีมือการแพทย์จอมปลอมที่คุยโวออกมา รักษาชิ่งอ๋องไม่หาย
ช่วยฝ่าบาทไม่ได้ ย่อมรักษาจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่พิษแล่นเข้าหัวใจแล้ว
ไม่ได้เช่นกัน ทว่าคนภายนอกยังคงคิดว่านางจะต้องสามารถดูแล
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นอย่างดีแน่
ไม่ต้องกังวลว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะรักษาหาย อีกทั้งยังสามารถ
ได้หน้าได้ตาต่อหน้าคนภายนอก รวมถึงขุนนางในราชสำ นักและ
บรรดาราชนิกุล นี่ไม่เรียกว่าเหมาะเจาะหรือไร
“ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นประสงค์ของฮ่องเต้ด้วย” เกาหลิงปอเอ่ย
“ไทเฮาทำตามประสงค์ของฝ่าบาท ไม่ก้าวก่ายฝ่าฝืน พวกขุนนางใน
ราชสำ นักก็วางใจ”
ฝั่งหนึ่งคือฮ่องเต้ ฝั่งหนึ่งคือขุนนาง เหตุใดพวกขุนนาง
ในราชสำ นักจึงต่อต้านและคัดค้านการออกว่าราชการแทนของ
ไทเฮาเช่นนี้นะหรือ ก็เพราะกลัวนางไม่เข้าใจการบ้านการเมือง ถูก
บงการโดนคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำให้บ้านเมืองที่สงบเรียบร้อยต้อง
วุ่นวาย ทำให้ผลประโยชน์อันแน่นต้องสั่นคลอน
ไทเฮาลังเลครู่หนึ่งจึงพยักหน้า“ไทเฮาปราดเปรื่องนัก” เกาหลิงปอคำนับเอ่ย
ออกจากวังหลวงมา รถม้าของเกาหลิงปอกลับไม่ได้ตรง
กลับบ้าน แต่เข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
แม่นางเฉินสิบแปดได้รออยู่ที่นี่นานแล้ว
“ขออภัยที่มาสาย” เกาหลิงปอเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดคำนับคืนให้
“เชิญแม่นางมากะทันหันเช่นนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรมากหรอก”
เกาหลิงปอเอ่ย พยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ติดตาม
ผู้ติดตามส่งห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งไปให้
แม่นมของแม่นางเฉินสิบแปดรีบยื่นมือไปรับ เปิดออกดูเป็น
ตำราหลายม้วน
“นี่เป็นของเก่าของไหวฮุ่ยอ๋อง”
เกาหลิงปออมยิ้มบอก
“ของเก่าของเขาก็ไม่ค่อยมีใครต้องการ อย่างอื่นก็แล้วไปเถิด
ตำราพวกนี้ทิ้งไปก็จะเกินไปหน่อย”อย่างนี้นี่เอง แม่นางเฉินสิบแปดยื่นมือไปหยิบมาม้วนหนึ่ง มอง
ร่องรอยของผิงอ๋องที่ยังคงอยู่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เจ้าค่ะ ฝ่าบาทเป็นคนชอบตำรับตำรา มักจะบอกว่าหาก
หนังสือไม่ถูกเก็บรักษาให้ดีก็น่าเสียดาย” นางเอ่ยพลางคำนับ
ขอบคุณ
“แม่นางเฉินจะออกจากเมืองหลวงหรือ” เกาหลิงปอถามขึ้นอีก
แม่นางเฉินสิบแปดพยักหน้า
“ตั้งแต่สามีเป็นจิ้นซื่อก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลยเจ้าค่ะ” นางบอก
เกาหลิงปอพยักหน้า
“นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดา” เขาเอ่ย “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด
”
“ใต้เท้าเกามีอะไรก็ว่ามาเถิด” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
“อันที่จริงเป็นไทเฮาเองที่หักใจให้แม่นางเฉินลาออกจากการ
เป็นอาจารย์ของบรรดาองค์หญิงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นรัชทายาทก็ต้อง
เลือกชายาแล้ว ยามนี้ในวังฝ่าบาท ไทเฮาก็อายุมากแล้ว กุ้ยเฟยก็
ล้มป่วย ฮองเฮาก็เอาแต่เฝ้าฝ่าบาท รัชทายาทก็มาเป็นเช่นนี้ ไทเฮาคนเดียวเลี้ยงดูไม่ไหว และไม่มีองค์หญิงที่โตแล้วมาแบ่งเบา
จึงอยากรบกวนแม่นางเฉินดูแลเรื่องชายาขององค์รัชทายาทใน
ระยะนี้เสียหน่อย” เกาหลิงปอเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดรีบคำนับเอ่ยว่า ไม่บังอาจ
“ข้าน้อยต้อยต่ำ จะกล้ารับหน้าที่สำ คัญนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
นางเอ่ย
“เรื่องในครอบครัวของแม่นางนั้นย่อมสำ คัญอยู่แล้ว แต่คำว่า
ต้อยต่ำนั้นไม่อาจพูดได้” เกาหลิงปอยิ้มเอ่ย พลางลุกขึ้น เอ่ยเสียง
ปลงอนิจจัง “อย่างไรเสียรัชทายาทก็เป็นคนสติไม่สมประกอบ
แม้พยายามจะเลือกให้ดีเท่าใด ก็เกรงว่าจะเกิดเจี่ยหนานเฟิงขึ้น
มาอีก ทำลายการบริหารบ้านเมืองราชสำ นักไป”
“ใต้เท้า!” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “มีขุนนางสำ คัญๆ ใน
ราชสำ นักอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นหรอกเจ้าค่ะ”
ลืมไปว่าบิดานางเป็นหนึ่งในขุนนางคนสำ คัญที่ช่วย
บริหารบ้านเมืองอยู่ นี่ไม่ใช่การด่าบิดานางหรอกหรือ
เกาหลิงปอรีบคำนับขอโทษ“นั่นนะสิ นี่เป็นแผ่นดินของฝ่าบาท และเดิมทีก็เป็นแผ่นดิน
ของไหวฮุ่ยอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำลายได้” เขาเอ่ย แล้วคำนับ
ลาอีกครั้ง
แม่นางเฉินสิบแปดคำนับคืน มองเกาหลิงปอจากไป สายตาดึง
กลับมาบนตำราเหล่านี้ ยื่นมือไปลูบเบาๆ
“พี่สาว!”
จู่ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกประตู
แม่นางเฉินสิบแปดตกใจยกใหญ่ เงยหน้ามอง เห็นเฉินตัน
เหนียงเยี่ยมหน้าเข้ามา
“พี่สาว เหตุใดมาอยู่ที่โรงน้ำชาคนเดียวได้เล่า” นางเบิกตาโต
เอ่ยถาม
“เจ้ามาได้อย่างไร” แม่นางเฉินสิบแปดถามพลางหยิบตำรา
เดินออกมา
“ข้ามาดูละครกับท่านปู่” เฉิงตันเหนียงยิ้มตาหยีบอก “เห็น
รถม้าของเจ้าอยู่ด้านนอก ข้านึกว่าเจ้ากลับบ้านไปแล้วเสียอีก”
แม่นางเฉินสิบแปดมองนางพลางยิ้มให้ไม่ได้เอ่ยอะไร“เจ้าไปดูละครกับพวกเราสิ เจ้าต้องจากเมืองหลวงไปที่
ไกลโพ้นพียงนั้น คนที่นั่นพูดจาสำ เนียงไม่เหมือนกับเรา การร้อง
ละครก็ต้องแตกต่างด้วยแน่…”
เฉินตันเหนียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด แม่นางเฉินสิบแปดทำเพียง
มองนางพลางแย้มยิ้ม ยิ้มไปยิ้มมาก็หยุดฝีเท้าลง
“พี่สาวมีอะไรหรือ” เฉินตันเหนียงเห็นนางไม่เดินต่อจึงเงยหน้า
มอง เห็นแม่นางเฉินสิบแปดมองตนคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ทำไมรึ”
พลางยื่นมือไปลูบใบหน้า
“เครื่องสำ อางบนหน้าข้าไม่อยู่แล้วหรือ”
เฉินตันเหนียงวัยสิบเอ็ดปีเริ่มติดตามมารดาและบรรดาพี่สาว
ออกไปต้อนรับแขก และเริ่มแต่งหน้าอ่อนๆ แล้ว เพิ่งจะเริ่มทำเป็น
ย่อมไม่มั่นใจ
แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะ
“เปล่า” นางยื่นมือไปบีบจมูกเฉินตันเหนียง จับมือนางไว้ “ไป
กันเถอะ”
“พี่สาว เจ้าจะไปดูละครกับพวกเราหรือไม่”“ดูจบแล้วยังกลับไปกินข้าวได้ด้วยนะ วันนี้ท่านพ่ออยู่บ้านด้วย
”
“พี่สาวจะไปเมื่อใดหรือ ไปแล้วจะไม่กลับมาแล้วหรือ”
เสียงราวกับนกขมิ้นดังขึ้นไม่หยุด
แม่นางเฉินสิบแปดยืนนิ่งอยู่หน้าประตูร้านน้ำชามองนาง
“ไม่” ในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้น
“ไม่กลับมาแล้วหรือ” เฉินตันเหนียงถามด้วยความเสียใจเต็ม
ใบหน้า
“ไม่ ไม่ไปแล้ว” แม่นางเฉิงสิบแปดยิ้มบางเอ่ยบอก
เฉินตันเหนียงตกใจ กำลังจะถามต่อ สายตาก็ตกลงบนถนน
“เอ๋ นั่นพวกพี่ปั้นฉินนี่นา” นางรีบเอ่ย ทิ้งคำพูดไว้ตรงนี้ ยกมือ
ชี้ไป
ปั้น
ฉินอย่างนั้นรึ
แม่นางเฉินสิบแปดมองไป เห็นบนรถม้าบนถนนในฤดูร้อน
มีสาวใช้สองคนนั่งอยู่กำลังเคลื่อนตัวผ่านไป“เหตุใดพวกพี่ปั้นฉินจึงร้องไห้เล่า” เฉินตันเหนียงขมวดคิ้วถาม
พลางยกเท้าจะตามไป “ข้าจะไปถาม”
แม่นางเฉินสิบแปดยื่นมือไปจับนางไว้
“ที่เรือนนางเพิ่งจะจัดงานศพ ร้องไห้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” นาง
เอ่ย “เจ้าอย่าไปรบกวนเลย”
เฉินตันเหนียงหยุดฝีเท้าลงส่งเสียง “อ้อ” มองรถม้าที่วิ่งไปบน
ถนน
“พวกพี่ปั้นฉินร้องไห้เสียอกเสียใจกันน่าดู” นางถอนใจ
ขมวดคิ้วเอ่ย
สาวใช้ยื่นมือไปดึงปั้นฉิน เงยหน้ามองเบื้องหน้า
“อย่าร้องเลย” นางเอ่ย “รีบกลับบ้านดีกว่า อย่าให้นายหญิง
ดูออกด้วย”
ปั้น
ฉินพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา น้ำตาก็ยังคง
ไหลรินลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
“พวกเจ้าไปไหนมาหรือ”
แม่นางหวงเห็นพวกนางเข้าประตูมาก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้“พวกเรา…” ปั้นฉินลังเลว่าจะตอบดีหรือไม่
สาวใช้ชิงเอ่ยขึ้นว่า
“ไปสุสานมาเจ้าค่ะ” นางบอก
แม่นางหวงส่งเสียงอ๋อ มองสองคนร้องไห้กันจนตาบวมก็
ถอนใจ
“เอาละ รีบเข้ามาเถิด อย่าทำให้น้องสาวพลอยเสียใจไปด้วย
ล่ะ” นางกำชับ
สาวใช้ทั้งสองคำนับแล้วรีบเข้าไป
“พี่ปั้นฉิน เหตุใดไม่บอกไปว่าเป็นสุสานของท่านชายเฉิงสี่เล่า”
ปั้น
ฉินถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไปสุสานเป็นเรื่องอัปมงคล แต่ไปสุสานท่านชายเฉิงสี่กลับ
ไม่อัปมงคล” สาวใช้บอก
ปั้น
ฉินนิ่งอึ้ง
“อัปมงคลหรือ” นางถาม
“ใช่นะสิ หรือที่ที่ไปมาเมื่อครู่จะอัปมงคลไม่พอ” สาวใช้แค่น
เสียงเอ่ยปั้น
ฉินหลุดขำออกมา
“พี่ปั้นฉิน!” นางตีแขนสาวใช้ไม่รู้จะร้องไห้หรือขำดี
พูดคุยกันพลางเดินเข้าประตูเรือนมา เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่
บนระเบียงมองไปยังสาวใช้ทั้งสอง
“นายหญิง พวกเราออกไปข้างนอกมาเจ้าค่ะ” สาวใช้บอก
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า สายตามองใบหน้าพวกนางไปมา
เครื่องสำ อางหายหมดแล้ว ดวงตาก็ร้องไห้จนบวม จมูกก็แดง
…
ปั้น
ฉินก้มหน้าปกปิด สาวใช้ก็ฝืนยิ้ม
“นึกขึ้นมาแล้ว ก็ยังเสียใจอยู่ดี” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียง “อ้อ” ออกมา มองพวกนางแวบหนึ่ง
แล้วดึงสายตากลับ
“เช่นนั้นพวกเราไปล้างหน้านะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพลางรีบดึง
ปั้น
ฉินหันหลังเดินไปห้องด้านข้าง เดินมาครึ่งทางก็หันหลังกลับมา
อีก“นายหญิง ท่านรู้ว่าข้าโกหก” นางเอ่ย “ท่านไม่เชื่อ ก็ไม่ถาม
ตรงกันข้ามยังเป็นข้าเองที่อึดอัดจนตระหนก”
ปั้น
ฉินนิ่งอึ้งมองนาง
ดูท่าแล้วครานี้พี่สาวใช้จะเสียใจอย่างยิ่ง จัดการเรื่องราวอย่าง
แปลกประหลาดไปเสียแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง แย้มยิ้มให้
“แล้วพวกเจ้าไปไหนมาหรือ เหตุใดจึงร้องไห้กันเพียงนี้” นาง
ถาม
“ข้ากับปั้นฉินไปตำหนักชิ่งอ๋องมาเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
สาวใช้สองคนบนระเบียงได้ยินสาวใช้พูดสีหน้าก็
ตระหนกตกใจ รีบวางของในมือลง ก้มหน้าออกไป
ได้ยินสาวใช้เล่า ปั้นฉินก็ปิดหน้าร้องไห้อย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง
ครั้งนี้สาวใช้กลับไม่ร้องเพราะเป็นคนเล่า
“มีอะไรให้ต้องร้องกัน” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเอ่ย
“พวกเขารังแกคนเกินไปแล้ว” สาวใช้เอ่ย “มีสิทธิ์อะไรมา
สงสัยนายหญิง”“ไม่ได้สงสัยนี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ที่พูดมาล้วนเป็น
ความจริงทั้งนั้น”
สาวใช้เงยหน้ามองนาง
“เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ ที่ข้าต้องจงรักภักดีหรือกตัญญูรู้คุณ ยัง
ไม่ต้องพูดเรื่องภักดี แต่หากพูดเรื่องกตัญญูก่อน ข้าย่อมเลือกคนใน
ครอบครัวเป็นอย่างแรกอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงบอก “ดังนั้น
พวกเขาไม่จำ เป็นต้องสงสัย ข้ายิ่งไม่โกรธและเสียใจเพราะความ
สงสัยของพวกเขา”
สาวใช้และปั้นฉินนิ่งอึ้ง
อันที่จริง ในความจริงแล้วเป็นเช่นนี้จริงๆ
เดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้แท้ๆ!
ความคิดเปลี่ยนแปร สาวใช้ก็เดือดดาลขึ้นมา
“มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้ถามพวกเขาเลย”
นางเอ่ยอย่างโมโห
“แต่มนุษย์ทุกคนมักจะลืมเลือนทุกคนไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยจำ ได้เพียงสิ่งที่ต้องการให้คนอื่นทำ ลืมว่าหากเป็นตัวเองจะทำ
อย่างไร
“ลืมไป ก็เป็นทุกข์ในชีวิต”
“นั่นแหละ ให้พวกเขาเป็นทุกข์ไปเถอะ” สาวใช้เอ่ยอย่าง
เคียดแค้น
ในขณะที่นายบ่าวกำลังพูดคุยกันอยู่ทางนี้ แม่นางหวงก็เข้ามา
อย่างรีบร้อน
“น้องสาว มีคนจากวังมา บอกว่าจะพูดเรื่องแต่งงาน” นางเอ่ย
เสียงสั่น
แต่งงานอย่างนั้นรึ
สาวใช้กับปั้นฉินต่างมองไปด้วยความตื่นตะลึง
เฉิงเจียวเหนียงก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน
“แต่งงานอะไรกัน” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม
“ผู้บัญชาการฟ่านล้อกันเล่นแล้ว” ขันทีอมยิ้มเอ่ย “ตอนนั้น
ฝ่าบาทมีพระราชโองการออกมาแล้ว งานแต่งงานระหว่างแม่นาง
เฉิงกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องนะสิ”ฟ่านเจียงหลินสีหน้านิ่งอึ้ง
“นะ…นี่นับได้ด้วยหรือ” เขาโพล่งขึ้น
สีหน้าขันทีพลันเคร่งขรึมขึ้น
“เหลวไหล! พวกเจ้าเห็นพระราชโองการของฝ่าบาทเป็นอะไร
กัน!”
ข่าวคราวที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องต้องแต่งงานกับแม่นาง
เฉิงแพร่สะพัดไปราวกับสายลม แต่ในบรรดาชาวบ้านยังไม่ทันจะได้
วิจารณ์กันก็มีข่าวใหม่แพร่มา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปฏิเสธการแต่งงานครานี้