พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 62 ไหว้พระจันทร์
เมื่อเห็นประตูบ้านของตระกูลจางถูกเปิดออก นายรองเฉิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากจึงรีบพาหลิวผู่เข้าไปด้วย
“ท่านผู้เฒ่าไม่อยู่บ้าน” บ่าวเฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็รีบหรี่ตาแล้วชักสีหน้าเอ่ยขึ้น
โกหก!
ทั้งสามคนที่ยืนอยู่นอกประตูได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ
แต่ไม่กล้าตะโกนส่งเสียงออกมา
“ท่านผู้เฒ่าคงเห็นว่าเรามาที่นี่หลายครั้งแล้ว…” นายรองเฉิงยิ้มกล่าวด้วยความเคารพ
พูดไม่ทันจบประโยค สาวใช้ก็ส่งเสียงและรีบเข้าไปทำความเคารพ
“นายท่านก็มาที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ” นางเอ่ย
นายท่านหรือ
นายรองเฉิงตะลึง แล้วมองไปที่สาวใช้ที่อยู่ตรงหน้า
เรียกข้าอย่างนั้นหรือ
ก่อนที่เขาจะพูด หลิวผู่ตกใจแต่ก็แลดูมีความสุขก่อนจะมองนายรองเฉินด้วยความประหลาดใจ
“ใต้เท้า สาวใช้บ้านท่านสามารถเข้าออกบ้านของท่านผู้เฒ่าได้เช่นนี้เลยหรือ ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ ” เขาพูดเสียงดังด้วยสำเนียงส่านซีปนกานซู่ เสียงดังฟังชัดเต็มสองรูหูของนายรองเฉิง
สาวใช้บ้านข้าสามารถเข้าออกบ้านอาจารย์ท่านได้เช่นนี้เลยหรือ!
สาวใช้บ้านข้าเนี่ยนะ
ท่านผู้เฒ่าจางยกถ้วยน้ำชาขึ้น
หลิวผู่และนายรองเฉิงลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม
“พวกข้าขอตัวลากลับก่อนนะขอรับ” พวกเขากล่าวด้วยความเคารพ
“อืม” ท่านผู้เฒ่าจางกล่าว
นายรองเฉิงและหลิวผู่ต่างเดินออกจากบ้านตระกูลจาง
“ขอบคุณพี่จื่อกู้มากสำหรับครั้งนี้” หลิวผู่กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ไม่เป็นไรหรอกน้องอวี้คุน ” สีหน้าของนายรองเฉิงนิ่งเรียบ แต่ยังคงแอบอมยิ้มเล็กน้อย
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอตัวออกเดินทางก่อนแล้ว คงไม่ได้อยู่คุยดื่มกับพี่ชาย ไว้วันหน้าหากมีโอกาส ขอดื่มแบบไม่เมาไม่กลับ” หลิวผู่พูดพลางเอื้อมมือไปตบแขนของนายรองเฉิง
หลิวผู่เรียนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ระหว่างทางนั้นก็ได้เข้ามาพึ่งอาศัยเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์จางฉุน แม้ว่าจะร่ำเรียนอยู่ เขาก็ไม่ละทิ้งความพยายามในการฝึกฝนการต่อสู้ แรงตบแขนของเขาทำเอานายรองเฉิงเจ็บจนต้องกัดฟันกรอด แต่ทว่าหัวใจของเขากลับเป็นสุข
ด้วยเหตุนี้เขาและตระกูลหลิวเมืองถงโจวจึงได้เกี่ยวข้องกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่หลิวผู่จะออกเดินทางออกไปนั้น เขาได้ถามไถ่เรื่องการเลื่อนตำแหน่งของตนอย่างละเอียด หลิวผู่ทำทีครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มหัวเราะแล้วเดินจากไป
“สำเร็จแล้วหรือ”
ฮูหยินรองเฉิงถามอย่างสงสัยพร้อมกับถอดเสื้อคลุมของสามีออก
“หลิวอวี้คุนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ก็มีความละเอียดอ่อนแฝงอยู่ ดังนั้นเขาต้องเขียนจดหมายถึงลุงของเขาอย่างแน่นอน มีทั้งอาจารย์และมีบัณฑิตหลิวช่วยเสนอชื่อและคอยสนับสนุน หากเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จ ข้าจะไปลาออกมาทำนาแล้วล่ะ” นายรองเฉิงหัวเราะกล่าว
สำเร็จก็ดีแล้ว ฮูหยินรองเฉิงแลดูมีความสุขมาก นางยังคาดหวังว่าสามีจะทำให้นางได้รับยศสตรีบรรดาศักดิ์อีกด้วย
“ครั้งนี้ถือว่ายอดเยี่ยมจริงๆ คงต้องขอบคุณท่านผู้เฒ่าจางอย่างมาก” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พูดถึงเรื่องนี้ นายรองเฉิงก็ดูแน่นิ่ง
ขอบคุณท่านผู้เฒ่าจางที่ไว้หน้าให้เข้าบ้านหรือ
ทว่า…
“ท่านผู้เฒ่าไม่ได้ไว้หน้าข้า” เขานั่งลงด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ “แต่เพราะเป็นสาวใช้ของบ้านเราต่างหาก”
ณ ตอนนั้น ยามบ่าวเฝ้าประตูได้ยินสาวใช้ตะโกนเรียกเขาว่านายท่าน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที พอรู้ว่าจะมาเข้าพบก็ไม่ปิดประตูใส่เหมือนเคย หากแต่เข้าไปถามให้ ผ่านไปไม่นานก็อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปได้
นายรองเฉิงรู้ดีว่าได้รับความกรุณาเช่นนี้ก็เพราะสาวใช้นางนั้น
“สาวใช้หรือ” ฮูหยินรองเฉิงรู้สึกงวยงง
นายรองเฉิงเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับฮูหยินรองเฉิงฟัง สีหน้าของนางไม่ได้แย่ไปกว่าเขาเลย
“ตอนนั้นข้าก็ไม่สามารถถามว่านางเป็นใครและไม่รู้ว่าชื่ออะไร” นายรองเฉิงกล่าว “เจ้าเรียกสาวใช้ทุกคนในบ้านมาหน่อยสิ ข้าจะดูว่าเป็นใครกัน”
“จะเป็นไปได้อย่างไรที่สาวใช้บ้านเราจะเข้านอกออกในบ้านตระกูลได้ตามอำเภอใจเช่นนั้น ” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว “ท่านฟังผิดหรือเปล่า”
“ถูกของเจ้านะ”
“หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่สาวใช้ที่บ้านเราหรอกหรือ” นายรองเฉิงกล่าว
ไม่ใช่คนที่อยู่ในบ้าน แล้วจะมาจากที่ไหนกัน
สามีภรรยาคู่นี้กำลังงวยงง
“ฮูหยินพูดถูก ท่านผู้เฒ่าไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ “
สาวใช้วางตะกร้าและพูดอย่างรีบร้อน
“วันนี้ข้าเห็นนายท่านที่นั่นเจ้าค่ะ” นางรู้สึกเหมือนลมหนาวพัดมาจึงรีบเดินไปปิดประตู
เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือลง มองไปที่นางแล้วตอบว่า “อืม”
“นายท่านเคารพนับถือท่านผู้เฒ่ามาก” สาวใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม ระหว่างคิ้วของนางเก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “หากท่านผู้เฒ่าออกปากกับนายท่านว่าให้พาพวกเรากลับไป นายท่านคงเรียกเรากลับบ้านแน่นอนเจ้าค่ะ”
“กลับไปหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง “กว่าข้าจะย้ายออกมาไม่ง่ายเลย อยู่ที่นี่อิสระและสบายใจมาก จะกลับไปทำไมเล่า”
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้รู้สึกประหม่า นางคุกเข่าไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วจับไปที่เข่าของเฉิงเจียวเหนียง “แม้ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่นายหญิงอย่าคิดออกบวชเลยนะเจ้าคะ”
มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงยกยิ้ม
“มนุษย์เราบำเพ็ญปฏิบัติได้ทุกที่ ไม่ยึดติดกับที่ใดที่หนึ่งหรอก” นางพูดพลางเอื้อมมือไปตบที่มือของสาวใช้ “เจ้าทำใจให้กว้าง ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนี้หรอก ลุกขึ้นก่อนแล้วสอนวิธีทำผลไม้อบแห้งที่เจ้าทำเป็นให้แก่เหล่าเซียนทั้งหลายให้ทันก่อนวันไหว้พระจันทร์ในวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะได้ใช้ไหว้พระจันทร์กัน”
“ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
“นายหญิงอยากกินอะไรหรือเจ้าคะ ข้าจะได้ทำ พวกเรากินไปชมจันทร์ไปนะเจ้าคะ” นางพูดอย่างมีความสุข
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ากล่าว
“ภูเขาที่นี่สูงและอากาศสดชื่นมาก เหมาะแก่การชมจันทร์ยิ่งนัก หากอยู่ที่บ้าน อาจไม่มีความสุขเท่านี้” นางพูดพลางมองออกไปข้างนอกประตู ป่าไผ่เสียงดังกรอบแกรบทำให้สุขกายสบายใจนัก
เมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึง บ้านตระกูลเฉิงก็เหมือนกับทุกๆ ครอบครัวที่เต็มไปด้วยแสงไฟสีสันสดใส คึกคักอย่างมาก
เด็กๆ ที่เดินไปชมโคมไฟบนถนนต่างพากันกลับบ้าน เหล่าฮูหยินเฉิงเป็นผู้นำในการไหว้บูชาพระจันทร์ครั้งนี้ หลังจากไหว้เสร็จ ครอบครัวก็รวมตัวกินดื่มเพื่อชมจันทร์ไปด้วยกัน แม่นางเฉิงหกแสดงศิลปะการจัดดอกไม้ แม่นางเฉิงห้าและแม่นางเฉิงหกมอบรองเท้าปักคู่หนึ่งให้กับเหล่าฮูหยินเฉิง แม่นางเฉิงเจ็ดวาดภาพชมจันทร์ คนในบ้านต่างสนุกสนานและมีความสุขกันมาก
ขณะเหล่าฮูหยินเฉิงกำลังกระซิบกับแม่นมหลายนางอยู่นั้น บริเวณหน้าโต๊ะที่เหล่าลูกสาวนั่งอยู่ก็เกิดเสียงของตกแตกดังขึ้น แม่นมนางหนึ่งทำจานแตก
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่จำเป็นต้องออกหน้ากับเรื่องเช่นนี้ ให้หัวหน้าสาวใช้ของนายหญิงแต่ละนางเป็นผู้รับผิดชอบแทน เมื่อหัวหน้าแม่บ้านของนายหญิงนางหนึ่งเข้าไปกระซิบ แม่นมคุกเข่าลงเพื่อทำความสะอาด แต่การคุกเข่าครั้งนี้กลับทำให้ผลไม้ทรงกลมหลายลูกกลิ้งออกมาจากอ้อมแขนของนางด้วย
“สามหาว เจ้าอยากตายหรือไร ถึงได้มาขโมยที่นี่” แม่นมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตะโกน
เสียงนั้นทำให้ทุกคนหันไปมอง แม้ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินคำว่าขโมย
เหล่าฮูหยินหน้าเสียแล้วมองไปที่ฮูหยินใหญ่เฉิง
“นางไม่ได้ขโมยเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกน “นางคือแม่นมที่ดูแลข้าเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างตะลึง สีหน้าของเหล่าฮูหยินแย่ลงกว่าเดิมมาก นางมองไปที่ฮูหยินใหญ่เฉิงอีกครั้ง
“ทุกวันนี้มีคนเยี่ยงนี้ก็มารับใช้อย่างใกล้ชิดได้แล้วหรือ” นางเอ่ยถาม
คนที่สามารถรับใช้อย่างใกล้ชิดได้นั้น พวกเขาต้องเชิดหน้าชูตาได้ ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นวันนี้ขึ้น ก็คงเพราะปกครองไม่เข้มงวด
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวพร้อมกับก้มหน้า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านย่า” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกนพร้อมกับลุกขึ้นยืน “นางไม่ได้ขโมย เป็นข้าเองที่บอกให้นางทำเช่นนั้น เพราะข้าจะกลับไปกินที่เรือนเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามือไม้ไว อยากกินเองเจ้าค่ะ จึงขโมยผลไม้นั่น ไม่เกี่ยวกับแม่นางเฉิงเจ็ดเจ้าค่ะ” แม่นมได้ยินก็ตื่นตระหนกตกใจ รีบพูดแล้วหมอบกราบลงในทันใด
สารภาพผิดอย่างร้อนรนเช่นนี้มีพิรุธยิ่งนัก
เหล่าฮูหยินเฉิงมองฮูหยินใหญ่เฉิงด้วยใบหน้าบึ้งตึง นางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง เสียงดังนั้นสะท้านไปทั่วทั้งบรรยากาศอันเงียบสงบ
………………………………………………………………..