พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 69 ถามเจ้า
ท่านผู้เฒ่าเดินลงมาจากภูเขาอย่างช้าๆ รับผ้าเช็ดหน้าที่บ่าวส่งให้แล้วเช็ดเหงื่อ จากนั้นมองไปที่วัดเสวียนเมี่ยว ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
วัดเสวียนเมี่ยวมีผู้คนเดินเข้าออกตลอดเวลา
“นายท่าน ช่วยพวกนางไว้มากเลยนะขอรับ” บ่าวอดไม่ได้ที่จะพูด
หากไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าส่งมอบของขวัญให้แก่ผู้คนในเมืองแล้ว ใครจะรู้จักวัดเสวียนเมี่ยวแห่งนี้กัน ถึงแม้จะรู้จัก ก็ไม่มีใครอยากมาด้วยซ้ำ
“ลมที่ดีต้องอาศัยแรงที่เหมาะสมช่วย” ท่านผู้เฒ่าเช็ดเหงื่อแล้วกล่าว “ลมจะพัดได้ไกลถึงเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถของตนแล้ว”
อาหารว่างที่ทำโดยวัดเสวียนเมี่ยวประณีตนัก อีกอย่าง ยังทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย เชื่อว่าลมดีเช่นนี้คงจะสามารถพัดตรงขึ้นไปถึงเมฆสีครามได้ไม่ยาก
โอกาสจึงมหัศจรรย์เช่นนี้แล
“นายท่านขอรับ เราจะกลับเมืองหลวงแล้ว ไปเอาขนมไหว้พระจันทร์กลับไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ” บ่าวเอ่ยถาม
“เกรงว่าเวลานี้คงเอาไม่ได้แล้ว” ท่านผู้เฒ่ายิ้มแล้วชี้ไปที่ผู้คน ซึ่งเดินออกมาจากวัดเสวียนเมี่ยว “เจ้าดูสิ แต่ละคนดูผิดหวังมาก เห็นได้ชัดว่าซุนเซียงกูมุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่หวั่นไหวกับลาภยศแห่งโลกียโลก”
บ่าวมองตามแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน
“เซียงกูรูปนี้ฉลาดนัก” เขากล่าว “ทว่า ผู้อื่นไม่มี ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่มี”
ท่านผู้เฒ่าไม่ปริปากพูดว่าถูกต้องหรือไม่ ทั้งสองค่อยๆ เดินลงจากเขาและรออยู่ที่ด้านหน้าของรถลา จากนั้นสังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงข้างรถ จึงอดไม่ได้ที่จะตะลึง
“ปั้นฉินหรือ” บ่าวตะโกนถาม “เจ้า…”
ไปแล้วไม่ใช่หรือ
“ท่านผู้เฒ่าเจ้าคะ” สาวใช้โค้งคำนับ ดวงตาแดงก่ำและบวมมาก แต่ใบหน้าของนางกลับมีรอยยิ้ม
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าจางก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
“ไปครานี้ จากไกลพันลี้เชียวนะ” เขากล่าว
“เจ้าค่ะ ข้าบอกกับนายหญิงแล้ว นายหญิงก็ดีใจเช่นกันเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “ขณะนั้น ข้าออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวนายหญิงก่อน มันยากที่จะปล่อยเลยตามเลยและข้าก็ไม่กล้าพูดด้วยเจ้าค่ะ กลัวว่าท่านผู้เฒ่าจะเข้าใจผิดว่าข้าไม่ได้เต็มใจ ไม่คิดว่าท่านผู้เฒ่าจะปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ มาส่งให้ข้าได้พบกับนายหญิงก่อน ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่ามองนางด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมาย
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงมองผิดไป แท้จริงแล้วเจ้าไม่ได้คิดถึงนายเก่า แต่รู้สึกไม่สบายใจที่ไปโดยไม่ได้บอกลา” เขาหัวเราะกล่าว พร้อมกับสะบัดเสื้อแล้วนั่งลงในรถ
ร่องรอยแห่งความโศกเศร้าปรากฏทั่วใบหน้าของสาวใช้
“ข้าคือทาส ก่อนที่จะติดตามนายหญิง เคยทั้งกวาด ล้างพื้น และซักผ้า นายสั่งให้ข้าทำอะไร ข้าก็ทำตามคำสั่งอย่างรู้หน้าที่ของตน” นางกล่าว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าแล้วยิ้ม “นายท่านให้ข้ามาปรนนิบัตินายหญิง ข้าก็ตั้งใจปรนบัตินายหญิง นายท่านให้ข้ามาปรนนิบัติท่านผู้เฒ่า ข้าก็จะตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ แม้ว่าจะไม่อยากแยกจากนายหญิงก็ตาม แต่ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ของตนเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
“นายหญิงเมื่อได้ฟังก็ดีใจแทนข้าด้วยเจ้าค่ะ นายหญิงบอกว่าบนโลกแห่งนี้ สิ่งที่น่าดีใจที่สุดคือ ใช้คนให้ถูกกับงาน หากปล่อยข้าไว้เพียงในบ้าน ข้าก็จะเป็นสาวรับใช้ไปตลอดชีวิต ในเมื่อท่านผู้เฒ่าชอบฝีมือการทำอาหารของข้า ข้าก็จะตั้งใจทำอาหารเจให้ดียิ่งขึ้นเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดต่อ พร้อมกับมองไปที่วังไท่ผิง ซึ่งตั้งอยู่บนเขา “ภายภาคหน้าหากข้าถือศีลกินเจ นายหญิงก็จะได้รับบุญกุศลด้วยเช่นกัน นายหญิงจึงให้ข้าขอบคุณท่านผู้เฒ่าล่วงหน้าเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะ
“ดี ดี” เขากล่าว “อนุโมทนาบุญ อนุโมทนาบุญ”
บ่าวก็ดีใจเช่นกันและรับแส้มา
“หากเป็นเช่นนี้ นายท่านก็ไม่ต้องไปหาซุนเซียงกูเพื่อรับขนมผลไม้ดองแล้ว” เขาหัวเราะกล่าว “ต่อจากนี้ไป ครอบครัวเราทำกินเองได้แล้ว”
ท่านผู้เฒ่ายิ้มและสาวใช้ก็ยิ้มตามไปด้วย
“มีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างรีบร้อน หลังจากที่คิดอะไรบางอย่างออกและมองไปที่วังไท่ผิงอีกครั้ง “ข้ากล้าพอที่จะขอร้องท่านสักเรื่องเจ้าค่ะ”
“อืม” ท่านผู้เฒ่ามองหน้านางแล้วตอบ
“ท่านผู้เฒ่าคงจะได้ยินมาบ้างแล้วว่านายหญิงข้าป่วยอยู่ ขยับขเยื้อนได้ไม่ดีนัก และนายหญิงชอบฟังคนเล่านิทานมาก ดังนั้น ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยหาสาวใช้ที่อ่านหนังสือให้นายหญิงฟังได้จะได้หรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้กล่าวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยโดยไม่รอให้ท่านผู้เฒ่าตอบ นางก็รีบพูดต่อ “คำพูดเหล่านี้ข้าควรพูดกับนายรองเฉิงเอง แต่ข้ากลัวว่านายรองเฉิงจะคิดว่าข้าเจตนาสร้างเรื่อง สุดท้ายไม่เพียงแต่จะหาสาวใช้ให้นายหญิงไม่ได้ และนายหญิงอาจต้องถูกต่อว่าอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะอีกครั้ง
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะคิดว่าเจ้าเจตนาหาเรื่องหรือ” เขาหัวเราะกล่าว
“ท่านผู้เฒ่าไม่ใช่คนเช่นนั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดขึ้นทันที “ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าข้าเสียใจ ไม่เพียงแต่จะไม่ถามไถ่หรือขับไล่ข้าแล้ว แต่ท่านกลับเข้าใจแล้วพาข้ามาพบกับนายหญิง ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากเจ้าค่ะ ท่านคือคนดีจริงๆ ข้าได้ติดตามรับใช้ท่าน นับเป็นบุญของข้าแล้ว”
ท่านผู้เฒ่ามองนางแล้วถอนหายใจ
“นายหญิงของเจ้ามีเจ้าเป็นสาวใช้ นับเป็นโชคดีของนางแล้ว” เขากล่าว
เดิมทีไม่ว่าข้าจะคิดหนักเพียงใด เรื่องนี้ก็ไม่มีทางออก ไม่พาสาวใช้ไป นายรองของตระกูลเฉิงคงต้องโมโหเป็นแน่ แม้ว่าข้าจะกำชับไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว คงจะไม่ลงโทษสาวใช้ในชั่วครู่ชั่วยาม แต่ตนยังไงก็ต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ซึ่งคุ้มครองนางให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้แค่ในตอนนี้ แต่ไม่อาจคุ้มครองนางได้ตลอดไป
ไม่คาดคิดว่าสาวใช้นางนี้จะเปลี่ยนใจเช่นนี้ หรือตนมองคนผิดไปเสียแล้ว นางไม่ใด้อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากนายหญิงของนางหรอกหรือ หรือเหมือนที่นางพูดไว้ว่าแค่อยากบอกลานายหญิงเพียงเท่านั้นเองหรือ
หรือบางที นางอาจถูกสอนให้พูดเช่นนี้ก็เป็นได้
ท่านผู้เฒ่ามองไปที่วังไท่ผิง
น่าสนใจนัก น่าสนใจนัก
เฉิงเจียวเหนียงมองลงไปยังตีนเขา โดยไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน
“นายหญิงไม่ต้องเสียใจไปเจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนอดไม่ได้ที่จะพูด “อากาศหนาวแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้เสียใจ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวหันหน้าไปมองนาง โดยปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “เช่นนี้ ดีแล้ว”
เจ้าอาวาสซุนแลดูเศร้าหมอง มองนางด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
เด็กคนนี้คงจะเคยชินกับการหาความสุขในความทุกข์เสียแล้ว
“สำหรับนางแล้ว มีข้าอยู่ด้วย ก็เท่านั้น ไปอยู่กับท่านผู้เฒ่า คนเหล่านั้น จะต้องตกใจ จะต้องดีใจ และจะให้ความสำคัญกับนางเป็นพิเศษ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
รสชาติพื้นฐานของปูหมักส้มดองยังทำไม่ได้และกินราวกับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ ดังนั้น คนที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ย่อมขับไล่ออกไปได้อย่างง่ายดาย
เจ้าอาวาสซุนแม้ว่าจะดูเหมือนจะเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เข้าใจ
“อีกอย่าง ข้าเคยพูดแล้วว่า กิน สวมใส่ นอน เที่ยว กินง่ายที่สุด ใครจะมาปรนนิบัติรับใช้ข้าก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้ข้าดูแลตัวเองได้แล้ว ทั้งการกินและการดื่ม” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“หา” เจ้าอาวาสซุนพูดเสียงดัง แล้วกล่าวแสดงความยินดีก่อน
“อาการป่วยของนายหญิงดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว” นางกล่าว “ทว่า จะให้นายหญิงลงมือทำเองได้อย่างไร แล้วจะมีพวกข้าไปทำไมเล่าเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“บัดนี้ ข้าอยากได้เพียงสาวใช้ที่อ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว” นางพูดพร้อมกับมองไปที่เชิงเขา “ข้าอยากอ่านออกเขียนได้แล้ว พอดีเลย ท่านผู้เฒ่าอยากมีลาภปาก ก็สลับสับเปลี่ยนสาวใช้กัน ไยจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่านผู้เฒ่า ข้าและทุกคนเล่า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ดี”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่เจ้าอาวาสซุน
การแสดงออกทางสีหน้าของเจ้าอาวาสซุนแลดูสับสนเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าใจจริงๆ
ทั้งสองกลับหลังหันแล้วเดินไปที่ประตูเหมินซาน โดยมีเสียงหัวเราะดังมากจากด้านหลัง
“โปรดรอก่อน”
ทั้งสองหันหลังกลับไปมอง และมองเห็นท่านผู้เฒ่าเดินก้าวขึ้นมาอย่าประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ประหลาดใจ
เจ้าอาวาสซุนส่งน้ำให้ด้วยตัวเอง จากนั้นคุกเข่านั่งลงข้างๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าอาวาสซุนไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แม้แต่ยื่นน้ำชาและรินน้ำ ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนทำ
ท่านผู้เฒ่าจางแน่ใจแล้ว
“ตอนแรกมองสิ่งที่เกิด ณ ที่แห่งนี้ว่าช่างงดงามมาก แต่บัดนี้กลับมองว่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านผู้เฒ่ามีตาทิพย์” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อขอบคุณ
“แม่นางพูดเช่นนี้น่าอายนัก” ท่านผู้เฒ่าพูดพร้อมกับส่ายหัวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “สายตาของข้าไม่ดีแล้ว ไม่ดีแล้วต่างหาก ข้าเพิ่งพูดกับปั้นฉินไปว่าสุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ขณะที่พูด ข้าคิดว่าปั้นฉินดูแลแม่นางเป็นอย่างนี้ บัดนี้ถึงรู้ว่า แท้จริงแล้วแม่นางเป็นฝ่ายดูแลปั้นฉิน”
เจ้าอาวาสซุนพยักหน้า
ในที่สุดก็ดูออกแล้วว่า ที่นี่ใครคือนายที่แท้จริง
“นี่เป็นหลักธรรมชาติของมนุษย์ ท่านผู้เฒ่าถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ท่านผู้เฒ่าจางพยักหน้า
ทุกคนล้วนเชื่อและยอมรับในสิ่งที่ได้ยิน ได้เห็นมาก่อน โดยใครจะคิดว่าเด็กบ้าจะได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา
“ขอบคุณแม่นางที่เข้าใจ” เขาพูดพร้อมกับหมุนถ้วยน้ำชาในมือและขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ที่แม่นางทำเช่นนี้เพราะไม่มีทางเลือกหรือไร้น้ำใจกันแน่”
จู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังออกมา ราวกับก้อนหินถูกโยนลงไปในน้ำ ซึ่งทำให้น้ำสาดกระจายเป็นรูปดอกไม้ ทำลายพื้นผิวของทะเลสาบที่เงียบสงบ
คนที่ไม่มีทางเลือกจะทำให้ผู้คนสงสารและเวทนา แต่คนที่ไร้น้ำใจจะทำให้ผู้คนรังเกียจ
เจ้าเป็นคนประเภทไหนกัน
…………………………………………………….