พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 79 ไปครั้งนี้
บนท้องถนนยามพลบค่ำผู้คนน้อยลงมาก มองดูชุนหลานทางด้านหลังที่เช็ดน้ำตาไม่หยุด ท่านชายสี่ทำได้เพียงปลอบใจนางอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ที่บ้านมีการค้าขายกับเมืองหลวง ถึงเวลาให้คนในร้านส่งจดหมายให้ก็สะดวก หากมีเรื่องไม่ดีอะไร ก็รับจินเกอร์กลับมาได้” เขากล่าว
ชุนหลานพยักหน้าพลางน้ำตาไหลแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณท่านชายเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางสะอื้น
“ดูเจ้าสิ ใบหน้าอันสะสวยเปื้อนน้ำตาแล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริง หยุดทำแบบนี้เถิด” ท่านชายเสื้อดำข้างๆ กล่าวพลางหัวเราะไป แล้วมองดูท่านชายเฉิงสี่ “รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนใส่ใจทะนุถนอมหญิงสาว ขนาดเหล้ายังดื่มกับข้าไม่หมด ก็วิ่งออกมาเพื่อสาวใช้ผู้นี้เสียแล้ว”
“น้ำใจต่อผู้คนเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่นัก” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว ยกตาขึ้นมองข้างหน้า พูดถึงตรงนี้ในใจก็รู้สึกแปลกพิลึก
จริงๆ แล้ว เขาสมควรทำ ไม่ใช่ทำเพื่อสาวใช้ผู้นี้ที่จะลาจากกับน้องชายตนเอง แต่เพราะคนที่ไปนั้นเป็นน้องสาวของเขานี่
เหมือนว่าจะไม่มีคนนึกถึงเรื่องนี้สินะ หากไม่ใช่ชุนหลานมาขอร้องตน ตนก็ไม่ได้นึกถึงเช่นกัน
“ชุนหลาน เจ้าพกเงินมาไหม” เขาเอ่ยถาม
ชุนหลานพยักหน้า แล้วหยิบถุงหอมออกมาจากแขนเสื้อ
นี่เป็นเงินเก็บทั้งหมดของนาง หวังว่าน้องชายเมื่อถึงเมืองหลวงแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย
เงินพวกนี้สำหรับสาวใช้แล้วเป็นเงินจำนวนมาก แต่สำหรับท่านชายเฉิงสี่แล้ว ไม่กล้าให้ใครจริงๆ
“จั่งหมิง เจ้าพกมาเท่าไร” เขาหันมาถามสหาย
สหายเขาถามบ่าวสาวใช้ด้านหลัง สาวใช้ยกถุงเงินมาให้ถุงหนึ่ง
ไม่รอให้สหายตรวจดูก่อน ท่านชายเฉิงสี่ก็หยิบมา ลองยกชั่งด้วยมือ
“ไว้ข้าจะคืนให้เจ้า” เขากล่าวอย่างพอใจ
ท่านชายที่ถูกเรียกว่าจั่งหมิงนั้นยิ้มพลางส่ายหน้า
“เจ้านี่ช่างใจกว้างเสียจริง” เขากล่าว
เงินพวกนี้พอให้สาวใช้ผู้นี้มีกินไปทั้งบ้านแล้ว ได้ยินว่าสาวใช้ผู้นี้เคยช่วยชีวิตชายสี่เอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
“ท่านชาย ท่านชาย ใช่คนกลุ่มนั้นหรือไม่เจ้าคะ” ชุนหลานตะโกน
เวลานี้พวกเขาออกประตูเมืองแล้ว บนทางอ้อมเมืองด้านซ้ายมีขบวนคนและรถม้าเดินมา
“จินเกอร์…” ชุนหลานรั้งตัวจินเกอร์ไว้แล้วร้องไห้ กำชับไปพลาง ยัดเงินที่ถือในมือให้เขาไปพลาง
จินเกอร์ฟังอย่างเขินอายและรำคาญ
ส่วนท่านชายเฉิงสี่เดินไปด้านหน้าเพื่อพูดคุยกับพ่อบ้านเฉา
“ระหว่างทางท่านช่วยดูแลน้องสาวข้าด้วย” เขากล่าว
พ่อบ้านเฉาประหลาดใจเล็กน้อย มองดูชายหนุ่มผู้นี้
ช่างหายากเสียจริง บ้านตระกูลเฉิงยังมีคนมาส่งด้วย
พวกเขาพูดคุยกันทางนี้ ทางนั้นนายเฉินสี่ก็คุยกับพ่อบ้านของตนอยู่
“…ปูเบาะรองนั่งให้มากหน่อย…ทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน…”
“…นายสี่ขอรับ ตัวแทนของท่านองคมนตรีตระกูลเหวินเคยส่งสาส์นทักทายมา พบหรือไม่ขอรับ…”
“…มีเวลาว่างไปพบพวกเขาที่ไหนกัน บอกแล้วว่าอย่าให้คนรู้เส้นทางของเราไม่ใช่หรือ”
“…นายสามกลัวว่าระหว่างทางพวกเราจะไม่สะดวก จึงบอกกับโรงเตี๊ยมตามทางเอาไว้ก่อน แต่บอกกับคนนอกว่าท่านนายสี่กลับบ้านเยี่ยมญาติขอรับ…”
ท่านชายเฉิงสี่ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ท่านชายหนุ่มที่ติดตามข้างกายเขาได้ยินโดยบังเอิญ สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด
ตัวแทนองคมนตรีหรือ บ้านตระกูลเหวินหรือ ส่งสาส์นทักทายให้กับพวกเขาหรือ
นี่เขาเป็นใครกันแน่
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไป ด้านนายเฉินสี่ก็รู้ตัวแล้วมองมาเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่ใช่ขุนนาง แต่ฐานะหน้าตาทางบ้านที่สั่งสมมา หนุ่มน้อยผู้นี้มิอาจเทียบได้เลย เมื่อมองไป ก็ซ่อนความน่าเกรงขามอยู่
ท่านชายหนุ่มรีบหลบสายตา
“ข้าไปพบน้องสาวข้าหน่อย” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว
พ่อบ้านเฉาร้อง ‘อ้อๆ’ แล้วชี้ทางให้เขา แต่กลับไม่ยอมไปตรงหน้าหญิงสาวและสาวใช้ผู้นั้น
รถม้าด้านหลัง สาวใช้ที่สวมกระโปรงยาวคิ้วตาสดใสนั่งอยู่บนแอกรถม้า ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งอ่านเสียงเจื้อยแจ้ว
“…รถม้าเต็มท้องถนนหน้าวัด มีคนหนุ่มสาวมากมายที่…”
รถม้า นอกเมือง กลุ่มคนทางนี้ตรวจตราสิ่งของที่เตรียมไว้สำหรับเดินทาง ทางนั้นชุนหลานกับจินเกอร์ร่ำลาอย่างโศกเศร้า ท่ามกลางความจอแจ สาวใช้ผู้นี้อ่านหนังสือท่ามกลางภาพการจากลาที่โศกเศร้าและวุ่นวายนี้ทำให้ยิ่งดูสบายใจไปใหญ่
เวลานี้ยังจะอ่านหนังสืออีกหรือ สาวใช้นี้ช่างดูสง่างามนัก สมกับเป็นสาวใช้ที่บ้านตระกูลจางส่งมา
ท่านชายเฉิงสี่เดินเข้ามาใกล้แล้วคำนับ
สาวใช้มองมา แต่ปากก็ยังอ่านหนังสือไม่หยุด เหมือนว่าไม่คิดจะสอบถามอะไร
“ข้าคือ ท่านชายสี่ตระกูลเฉิง ทราบว่าน้องสาวจะเดินทางจากไป ตั้งใจมาร่ำลา” ท่านชายเฉิงสี่ได้แต่เอ่ยปากก่อน “อยู่ข้างนอก ดูแลตัวเองให้ดี”
“ปั้นฉิน”
ในรถม้ามีเสียงหญิงสาวลอยมา สาวใช้จึงหยุดอ่าน แล้วกระโดดลงรถมาคำนับท่านชายเฉิงสี่
ปั้นฉินหรือ
ท่านชายเฉิงสี่มองดูสาวใช้ผู้นี้ แล้วมองไปในรถม้า พอเข้าใจได้บ้าง
คงจะอ่านเป็นแค่ชื่อนั้นกระมัง
“ท่านชายสี่ ท่านตั้งใจมาส่งนายหญิงเราหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถาม เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
จริงๆ แล้วก็ไม่ถือว่าตั้งใจอะไร หากมิใช่สาวใช้ของตนร้องไห้คุกเข่าขอร้องตน เขาก็ไม่ได้นึกถึงจริงๆ
“นี่เป็นเงินจำนวนหนึ่ง อากาศเริ่มหนาวแล้ว ต้องเพิ่มของใช้ต่างๆ พวกเจ้าเอาไว้ใช้เถิด” เขาพูดตัดบทไป แล้วยื่นถุงเงินในมือให้
สาวใช้หน้าตายิ้มแย้มไม่ได้พูดจาและไม่ได้รับมา
“ขอบคุณมาก”
เสียงหญิงสาวลอยมาจากในรถม้า
“ขอบคุณท่านชายสี่มากเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบยื่นมือมารับไว้ ยิ้มขอบคุณแล้วคำนับ
ท่านชายเฉิงสี่มองดูในรถม้าอีกครั้ง
หลังจากเขาเดินเข้ามาก็ไม่ได้มองรถม้าเท่าไรนัก ความสนใจอยู่ที่สาวใช้ผู้นี้ทั้งหมด เด็กสติไม่สมประกอบคนหนึ่งก็ต้องฝากฝังให้สาวใช้ดูแล จึงเห็นควรว่าต้องกำชับสาวใช้ไว้ แต่ว่าจากการถามตอบสองประโยคนั้นเหมือนว่าคนที่เป็นนายคือเด็กสติไม่สมประกอบในรถนั่น…
“น้องสาว ยังต้องการอะไรอีกหรือไม่” เขาเอ่ยถามทำทีสำรวจ
“ไม่มี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ แล้วหยุดไปสักพัก “ขอบคุณมาก”
ท่านชายเฉิงสี่เหมือนว่ายังอยากจะพูดอะไรอีก พ่อบ้านเฉาก็เข้ามา
“ท่านชายสี่ สายแล้ว พวกเราต้องรีบเดินทางขอรับ” เขากล่าว
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้าแล้วถอยไปสองสามก้าว
สาวใช้ยิ้มให้เขา แล้วขึ้นรถม้าอีกครั้ง เปิดม่านขึ้นแล้วเข้าไป
ขบวนรถออกเดินทางไปข้างหน้า
“ท่านชายสี่ ขอบคุณที่มาส่งนะเจ้าคะ” ม่านหน้าต่างรถเปิดออก สาวใช้ที่อยู่ข้างในนั้นยิ้มให้เขา
“เดินทางปลอดภัย” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว เมื่อมองไป ก็ตะลึงไปทันใด
ตรงข้ามสาวใช้นั่น มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ เดิมทีหันข้างมองไปด้านหน้า เห็นเพียงผมอันดกดำปล่อยสยาย หน้าผากอวบอิ่มจมูกสูงโด่ง เมื่อสาวใช้กล่าวขึ้น นางก็ค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ
ในขณะเดียวกันม่านรถก็ปิดลง แล้วรถม้าก็วิ่งไปข้างหน้า
ท่านชายเฉิงสี่อ้าปากค้างสีหน้าตกใจยืนอยู่กับที่
เขา เห็น อะไร!
“รอเดี๋ยว…” ท่านชายเฉิงสี่ตั้งสติได้ก็ตะโกนเรียกแล้ววิ่งตามไป
“ท่านชายสี่ ส่งกันพันลี้สุดท้ายก็ต้องลาจาก ท่านเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ” พ่อบ้านเฉาคารวะพลางตะโกนอยู่บนม้า
รถม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าม้าก็วิ่งไวดั่งโบยบิน เพียงไม่นานก็วิ่งออกไปไกลเสียแล้ว
ท่านชายเฉิงสี่วิ่งได้สองสามก้าวก็หยุดลงอย่างจนใจ สีหน้าอารมณ์ซับซ้อนมองดูรถม้าที่ไกลออกไป
ใช่สิ ใช่สิ เป็นนาง เป็นนาง
เป็นนางแน่นอน สระบัวเป็นที่อยู่ของพี่สาวน้องสาว ถึงแม้จะเป็นคนบ้า ก็เป็นพี่สาวน้องสาว เป็นนางจริงๆ
เป็นนางไปได้…
“ชายสี่ เจ้ากับน้องสาวคนนี้ของเจ้าสนิทกันหรือ” ท่านชายจั่งหมิงตามมาแล้วยิ้มกล่าว พลางมองไปทางคนและม้าที่ไกลออกไป คิ้วขมวดเล็กน้อย “บ้านท่านแม่ของน้องสาวเจ้าเป็นใครกัน”
สำหรับเด็กบ้าคนนี้ของบ้านตระกูลเฉิง คนในเมืองเจียงโจวต่างก็รู้กัน อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร วิจารณ์กันเองก็พอแล้ว กับเหล่ามิตรสหายแล้วจะไม่พูดถึงคำว่าบ้าเลย
ท่านชายเฉิงสี่ยังตะลึงงันอยู่ ท่านชายจั่งหมิงถามอีกรอบเขาจึงได้ยิน
“นายใหญ่โจวมีตำแหน่งแม่ทัพกุยเต๋อหลัง”
“แค่ตำแหน่งนี้หรือ” ท่านชายจั่งหมิงเอ่ยถามอย่างตกใจ
“ใช่ บรรพบุรุษก็เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เป็นขุนนางนอกราชสำนัก คนส่านซี” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว เห็นเขาสีหน้าตกใจเช่นนั้น “ทำไมหรือ”
นี่ ไม่เพียงพอที่ท่านองคมนตรีอำมาตย์เหวินจะถึงขั้นส่งสาส์นทักทายด้วยตนเอง
ท่านชายจั่งหมิงมองไปทางที่รถม้าไกลออกไปอีกครั้ง คนและม้าเหลือเพียงจุดดำในชั่วพริบตา
รีบร้อนเพียงนี้เลย…
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนที่มาส่งอีก ท่านชายจั่งหมิงถามแล้วได้ความว่าเป็นคนดูแลร้านทางนี้ของตระกูลโจว
“คนพวกนั้นก็เป็นคนบ้านพวกเจ้าเหมือนกันหรือ” เขาเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ขอรับ” คนบ้านตระกูลโจวตอบกลับ
ท่านชายเฉิงสี่ก็อึ้งไปเช่นกัน
“แล้วเป็นผู้ใดกัน” เขาเอ่ยถาม ไหนบอกว่าคนบ้านตระกูลโจวมารับไม่ใช่หรือ ทำไมมีคนที่ไม่ใช่คนตระกูลโจวด้วยเล่า
คนรู้จักเดินทางด้วยกันหรือ
“ไม่ทราบขอรับ เห็นว่ามาด้วยกัน ว่ากันว่าแซ่เฉิน เป็นคนเมืองหลวงขอรับ” คนตระกูลโจวตอบกลับ ตอบเสร็จก็จากไป
คนเมืองหลวง แซ่เฉินหรือ
“คงไม่ใช่บ้านเฉินเซ่าท่านอำมาตย์เฉินหรอกนะ” ท่านชายจั่งหมิงพูดโพล่งเอ่ยถาม
ท่านชายเฉิงสี่อึ้งไป แน่นอนว่าเขาจะต้องรู้ว่าเฉินเซ่าคือใคร แล้วเขาก็หัวเราะออกมาในทันใด
“เจ้าคิดอะไรน่ะ!” เขากล่าวพลางหัวเราะ ยื่นมือมาตบบ่าท่านชายจั่งหมิง “บ้านเฉินเซ่าท่านอำมาตย์เฉินมารับน้องสาวข้าด้วยตนเองหรือ ถ้าเจ้าบอกว่าเง็กเซียนฮ่องเต้มารับน้องสาวข้ายังจะน่าเชื่อถือเสียกว่า!”
ก็จริง ท่านชายจั่งหมิงก็หัวเราะตาม หัวเราะไปก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางที่คนกลุ่มนั้นไกลออกไป
อย่างนั้น น่าจะเป็นผู้ใดกัน
ท่านชายสี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองตามไป
หญิงสาวเมื่อโตขึ้นก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะคนปกติหรือคนไม่ปกติ
สวยขึ้นเพียงนี้เชียว
ดีเสียจริง แต่ก็น่าเสียดาย
ในใจของทั้งสองคนก็คิดกันคนละเรื่อง พวกเขายืนเหม่ออยู่นาน กลับเป็นชุนหลานที่เช็ดน้ำตาไม่มองอีกหันหลังกลับก่อนใคร แล้วตกใจเมื่อเห็นท่านชายสองท่านนี้อาลัยอาวรณ์กับการจากลาจนเหม่อลอย
สิ่งที่ทำให้ผู้คนโศกเศร้าวิญญาณสลาย ก็คือการจากลา
เพียงแต่คนส่งมิได้วิญญาณสลายเพราะการจากลา ส่วนคนลาก็มิได้โศกเศร้าใดๆ
“นายหญิงขอรับ”
สาวใช้เปิดม่านรถออก เห็นคนติดตามรับใช้ที่ขี่ม้าเข้ามา
“ขอให้นายหญิงทนลำบากอีกสักพัก เดินทางไปอีกสักยี่สิบสามสิบลี้ ก็จะได้เข้าพักที่จุดพักม้าอำเภอเหมยแล้วขอรับ” เขากล่าว
สาวใช้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อำเภอเหมยไม่หยุดแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม
ผู้ติดตามรับใช้ส่ายหน้า
สาวใช้หันหน้าไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ผู้ติดตามรับใช้โล่งใจ ตอนมาพ่อบ้านเฉาบอกไว้ว่าขอเพียงนายหญิงผู้นี้เห็นด้วยก็พอ เขาบังคับหัวม้าแล้ววิ่งกลับไป
เปิดม่านออก เฉิงเจียวเหนียงมองไปด้านนอก เดินทางมาเสียไกลยังไม่ปล่อยม่านลง
“นายหญิง ลมเย็นนะเจ้าคะ ปล่อยม่านลงเถิดเจ้าค่ะ”
สาวใช้กล่าว
“ภูเขาแม่น้ำ ตระหง่านสวยงาม เสียจริง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้มองตามออกไป แสงอาทิตย์ตกดินยามพลบค่ำปูไปบนทางหลวง ดูแล้วเหมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด กล่าวได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาลเสียจริง
“เมื่อได้เห็นทะเลสาบตามทาง จะยิ่งสวยงามกว่านี้อีกเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวแล้วเตือนอีกครั้ง “นายหญิง ปล่อยม่านลงเถิดเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงนั่งเหยียดตรงตามคำบอก ปล่อยม่านรถลง สาวใช้หนีบให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ถูกลมพัด
“ข้าเคยมาทางนี้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นายหญิงผู้นี้พาสาวใช้มาจากปิ้งโจวเดินทางกลับเจียงโจวด้วยตนเอง เรื่องนี้สาวใช้รู้มาบ้าง
ฉะนั้นตอนนี้เป็นเพราะเดินทางเส้นทางเดิมอีกครั้งจึงได้มีความรู้สึกนี้หรือ
หรือว่าความเสียใจที่สรรพสิ่งเป็นเหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไปกันแน่
“เวลานั้น ไม่ได้เห็น ว่าสวยงามเพียงนี้” เฉิงเจียวเหนียงมุมปากโค้งเล็กน้อย มองดูสาวใช้พลางยิ้มไป
ตอนนั้นคิดแต่จะเร่งเดินทาง ทุ่มเทวางแผน ทิวทัศน์อยู่ข้างกายแต่กลับมองไม่เห็น
“ตอนกลับมา ทิวทัศน์ที่นายหญิงเห็นจะต้องสวยงามกว่านี้อีกเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอย่างไม่มีความลังเลหรือปิดบังใดๆ “ข้าจะต้อง เห็นแต่ทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นแน่”
………………………………………………….