พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 86 ไม่เข้าใจ
เหล้ากินหมดแล้ว เนื้อก็กินหมดแล้ว กองไฟยังลุกโชน ทุกอย่างเหมือนว่ายังคงเหมือนเดิม
แต่มองดูหญิงสาวที่นั่งเงียบข้างกองไฟดั่งรูปปั้นหินแล้ว แต่ละคนก็รู้สึกว่าไม่เหมือนเดิม
เรียบร้อยสง่างาม แต่ก็เคาะโฝ่วร้องเพลงกับชายฉกรรจ์พวกนี้ได้ ทั้งๆ ที่มีท่าทีหยาบเถื่อนอยู่บ้าง แต่เมื่อนางยกมือยกเท้ากลับรู้สึกว่าดูใจกว้างไร้พันธนาการไป
ดูเหมือนดอกไม้ที่อ่อนแอ มองไปก็ดูเหมือนคนแก่ผมขาว
“มีอะไรน่าดูกัน” ชายฉกรรจ์สองสามคนจ้องตาโตเอ่ยขึ้น แล้วมองไปทางเด็กหนุ่มที่เดินมาจากกองไฟฝั่งตรงข้ามที่มองมาทางนี้
เด็กหนุ่มแต่งตัวเหมือนเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ทางนี้ เสื้อคลุมมีหมวกตัวใหญ่ ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนนี้ เสียงเสื้อคลุมกระพือส่งเสียง
สำหรับการมาของเขาคนในที่นั้นต่างก็สอบถามอย่างระแวงระวัง
“นี่คือนายหญิงน้อย หรือนายหญิงใหญ่กัน” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยอยากรู้ “มองดูก็เหมือนนายหญิงน้อย แต่ทำไม…เหมือนหญิงชรา”
ตรงไหนที่เหมือนหญิงชรากัน
“เจ้าหนุ่มน้อยนี่พูดอะไรกัน” เหล่าชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่หรือ” เด็กหนุ่มเดินเข้าใกล้อีกสองสามก้าว หยุดลงสักครู่ “ทำไมเสียงถึง น่าเกลียดเช่นนี้”
เสียมารยาทยิ่งนัก!
ชายฉกรรจ์สองสามคนต่างก็รีบลุกขึ้นมา ผู้ติดตามของฝั่งเด็กหนุ่มนั้นก็จ้องพร้อมจะจู่โจม
บรรยากาศตึงเครียด
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าป่วยมานานเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปากพูด
“ได้ยินหรือยัง นายหญิงป่วยน่ะ!” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งตะโกนเสียงกึกก้อง
เด็กหนุ่มทนหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นายหญิงป่วย เจ้าหัวเราะอะไร!” ชายหนุ่มผู้นั้นยิ่งโมโหไปใหญ่ จ้องตาโตพลางตะโกนกล่าว
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายยกมือขึ้นตบเขาไปหนึ่งที
“ปั้งฉุย! เจ้าสิป่วย! ว่านายหญิงทำไม!” เขาตะคอกใส่
ชายหนุ่มถูกตีจนงงงวย
“หา ข้าไม่ได้ว่านายหญิงนี่” เขากล่าวอย่างเหม่อลอย
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดัง เดินเข้าใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ
“นี่ นี่ เจ้า เจ้า มานั่งตรงนี้ไม่ได้” มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวขึ้น คาดคั้นออกมาประโยคหนึ่ง “ชาย…ชายหญิงห้ามชิดใกล้ ต้องหลีกเลี่ยง”
เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกน่าขันยิ่งขึ้น ใช้มือยกหมวกขึ้นเล็กน้อยมองดูชายฉกรรจ์
“ที่แท้เจ้าไม่ใช่ผู้ชายอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยถาม
ชายฉกรรจ์จ้องตาเขม็งในทันใด
“เจ้าว่าใคร…” เขายื่นมือมาชี้หน้าหมอนี่กำลังจะเอ่ยปากด่า
“น้องหก” ชายหนุ่มที่พิงอยู่ที่ไม้กระดานมาตลอดส่งเสียงตะคอกห้ามปราม “พูดน้อยๆ หน่อย หนวกหู”
ชายฉกรรจ์สองสามคนนั้นไม่พูดอะไรอีก จ้องดูเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างโมโหแล้วนั่งลงกัน ทั้งซ้ายขวา กั้นกลางระหว่างชายหนุ่มนั่นและเฉิงเจียวเหนียง
ทางนั้นนายสี่เฉินเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว
“หรือว่า จะเชิญนายหญิงพักผ่อนในรถดี” เขากล่าว มองดูพ่อบ้านเฉา
พ่อบ้านเฉาทำเช่นเดิม
“ก็ดีขอรับ ก็ดีขอรับ” เขากล่าว แต่กลับไม่ก้าวเท้าออก ท่าทางเหมือนว่าเจ้าจะบอกเจ้าก็ไปบอกเอง
ก็แค่ทำเจ้ากระหายน้ำเพียงครั้งเดียว ก็ทำเจ้าขลาดกลัวไปถึงเพียงนี้ ยังบอกว่าเป็นบ้านแห่งยอดนักรบอาจหาญโจวเมืองส่านซี บ้านแห่งคนไร้ประโยชน์ก็ว่าไปอย่าง
นายเฉินสี่ด่าว่าอยู่ในใจ ตนก็นั่งลงข้างกองไฟเช่นกัน
กองไฟทางด้านนี้เงียบสงัดไปสักพัก
“ความดีชั่วของคน ความร้อนหนาวของโลก อารมณ์ความปรารถนาต่างๆ ผู้ป่วยต่างก็ลิ้มรสถึงมันได้ ไม่ว่าอายุเท่าไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวขึ้นมากระทันหัน ใต้หมวกนั้นมองเห็นคางเล็กๆ
หมายความว่าอย่างไร
เหล่าชายฉกรรจ์ข้ามองเจ้า เจ้าก็มองข้า
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองดูกองไฟ ได้ยินดังนั้นคล้ายกับว่ายิ้มออกมา เผยให้เห็นมุมปากที่โค้งขึ้น
เช่นนี้เองหรือ
“นายหญิงขอรับ” ชายหนุ่มด้านข้างเอ่ยปาก “ที่แท้นายหญิงก็ป่วยอยู่ แต่กลับยื่นมือมาช่วยพวกข้า ช่วยรักษาโรคช่วยชีวิตเอาไว้ นี่เป็นจิตใจแห่งโพธิสัตว์ จะต้องได้รับการตอบแทนที่ดีเป็นแน่ขอรับ”
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’ หันหน้าเล็กน้อยไปมองเขา
“เจ้าเคยเรียนหนังสือหรือ” นางเอ่ยถาม
บทสนทนานี้เปลี่ยนได้เร็วยิ่งนัก…
ชายหนุ่มชะงักไปสักครู่
“มิกล้าบอกว่าเคยเรียนหนังสือหรอกขอรับ พอรู้หนังสือบ้างเท่านั้น” เขายิ้มกล่าว
“แล้วเหตุใดไม่เรียนต่อเล่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“บ้านจนนี่ขอรับ เรียนต่อไม่ไหว หาเงินเดือนทหารเลี้ยงครอบครัวขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงร้อง ‘อืม’ แล้วละสายตากลับมามองกองไฟ
“แล้วเจ้า ทำไมถึงยื่นมือช่วยเล่า” เด็กหนุ่มทางด้านนั้นกล่าวขึ้นกระทันหัน
คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็ขมวดคิ้ว
บทสนทนาเปลี่ยนอีกแล้วหรือ
ก็ไม่ใช่ เด็กหนุ่มผู้นี้พูดแทรกอะไรไปเรื่อย
มีชายฉกรรจ์ยื่นมือมาเกาหัว รู้สึกเหมือนในหัววุ่นวายไปหมด
ชายหนุ่มที่เคยเรียนหนังสือผู้นั้นตอบสนองไวกว่าหน่อย ขมวดคิ้วแล้วหันไปมองทางเด็กหนุ่ม
“ตอนนั้นข้าป่วยหนักรักษาไม่ได้ใกล้จะตายแล้ว ข้างกายมีเพียงพี่น้องพวกนี้ ขนาดที่พักยังไม่ให้เราเข้าไปพักไล่เราออกไป ในที่กันดารนั้นไร้สิ้นหนทาง ในตัวไร้เงินทอง และไม่ได้มีคนรับใช้มากมาย ท่านชาย ท่านว่านายหญิงผู้นี้ทำไมถึงยื่นมือมาช่วยเหลือกันเล่า” เขาเลิกคิ้วกล่าว มัดหนวดเคราขึ้น เริ่มมีอารมณ์โมโหแล้ว
“อาจจะชอบรูปลักษณ์หล่อเหลาของท่านก็เป็นได้” เด็กหนุ่มยกมุมปากกล่าวขึ้น
“เจ้า!” ชายฉกรรจ์คนอื่นๆ โมโหอีกครั้ง มีสองสามคนกระโดดขึ้นมา
เจ้าคนเกเรนี่ พูดจาหาเรื่อง ไม่เพียงแต่ไม่เคารพรูปลักษณ์ของผู้มีพระคุณแล้ว ตอนนี้ยังกล้าหัวเราะหยอกล้อบุญคุณคุณธรรมของผู้มีพระคุณอีก
ท่านชายบ้านตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ไม่รู้ความทุกข์ยากของผู้อื่น น่าชังเป็นที่สุด!
“ท่านชายท่านนี้ คนมีน้ำใจเช่นนี้ท่านอาจจะไม่ค่อยได้พบเห็นนัก แต่ใช่ว่าบนโลกนี้จะไม่มี” ชายหนุ่มที่ป่วยอยู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าเอามาล้อเล่น”
เด็กหนุ่มไม่ใส่ใจความโกรธแค้นของคนทางนี้เลยสักนิด เขาแบะมือออก
“ไม่ใช่ข้าพูดสักหน่อย” เขากล่าว “นางพูดเองต่างหากเล่า”
กลุ่มชายฉกรรจ์ก่นด่าสาปแช่ง
“นายหญิง พวกเราเจ็ดพี่น้อง เป็นคนบ้านเดียวกัน มาจากเขาเม่าหยวน ชื่อของพวกข้าต่ำต้อยนักนายหญิงไม่ต้องจำหรอกขอรับ เพียงแต่ขอถามชื่อของนายหญิงผู้มีพระคุณ เพื่อจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ขอรับ” ชายหนุ่มที่ป่วยอยู่นั้นไม่สนใจท่านชายเด็กหนุ่มนั้นอีกต่อไป มองไปทางเฉิงเจียวเหนียงแล้วกล่าวอย่างจริงใจ
“นั่นสินั่นสิ นายหญิงช่วยพี่ข้าเอาไว้ ยังให้เงินอีก”
“เป็นดั่งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดใหม่…”
“จะตั้งป้ายเชิดชูเกียรติให้นายหญิง…”
คำพูดขอบคุณที่วุ่นวายโหวกเหวกหยาบโลนแต่ก็ตรงๆ เข้าใจง่ายดังขึ้นมา
เฉิงเจียวเหนียงมุมปากโค้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้บอกชื่อของตน ให้สาวใช้พยุงตัวไปพักผ่อนเสีย
รู้ว่าพวกนางเร่งเดินทางมาเหนื่อยลำบากนัก เหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนไม่กล้ารบกวน จึงไม่ได้ถามต่อ
“นายหญิงช่างมีเมตตานัก ช่วยเหลือคนไม่จำเป็นต้องจดจำ ใจเย็นสงบยิ่งนัก” ชายหนุ่มที่ป่วยอยู่กล่าวออกมา
“ถึงจะเคยเรียนหนังสือ ก็ไม่ต้องพูดจาภาษาหนังสือเช่นนั้นก็ได้” เด็กหนุ่มที่เงียบไปได้สักพักเอ่ยปากจากข้างๆ ขึ้นมาอีก “การยึดติดกับอะไรเดิมๆ ไม่ใช่อะไรที่น่ามองนัก”
ท่ามกลางสายตาอันโมโหของเหล่าชายฉกรรจ์ เด็กผู้นั้นก็เดินจากไป
“เจ้าหมอนี่ ภายนอกสูงศักดิ์ แต่กลับเป็นคนเกเรนัก” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก่นด่าด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มที่ป่วยอยู่ยิ้มเล็กน้อย
“บนโลกใบนี้ คนสูงศักดิ์คนใดไม่เกเรกันเล่า” เขากล่าว เหมือนว่าถามกลับ แต่ก็คล้ายว่าพูดกับตัวเอง
ค่ายค้างแรมคึกครื้นเงียบเหงา นอกจากคนที่เฝ้ายามแล้ว คนอื่นๆ ที่รีบร้อนเดินทาง อีกยังต่อสู้กับฝูงหมาป่า ดื่มเหล้า เหนื่อยล้า ต่างก็ห่อเสื้อคลุมล้มหัวนอนหลับกันไป
เมื่อทางทิศตะวันออกมีแสงสว่างขึ้น ค่ายค้างแรมก็คึกครื้นอีกครั้ง เหล่าคนและม้าทั้งสามฝ่ายต่างก็พร้อมออกเดินทาง
เสียงขี่รถม้า เสียงก่นด่าสาปแช่ง เสียงพูดคุยผสมปนเป เหมือนดั่งหมอกมัวในยามเช้า
“พวกเจ้า ไม่ต้องตามข้าแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเจ็ดพี่น้องเขาเม่าหยวนที่เดินตามมาแล้วกล่าว “แผลของเขา ไม่ร้ายแรงแล้ว บำรุงอย่างวางใจได้ไม่กี่วันก็พอ แต่ไม่เหมาะ เดินทางไกลตอนนี้ ข้าเคยบอกว่า โรครักษาได้ แต่ชะตาชีวิตรักษาไม่ได้ เจ้าเองไม่เอาชีวิต ถึงข้าจะอยู่ข้างกายเจ้า ก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้”
ชายหนุ่มเจ็ดคนจากเขาเม่าหยวนทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกขอบคุณ
“แต่ว่า หากพวกเจ้าไม่มา หากข้าไม่มีชีวิตรอด เจ้าก็คงไม่มีชีวิตรอดเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว อากาศยามเช้าหนาวเหน็บ นางแทบจะห่ออยู่ในเสื้อคลุมทั้งตัว ขนาดมุมปากและคางก็มองไม่เห็นแล้ว “นี่คือฟ้ายุติธรรม ใช่หรือไม่”
……………………………………………………