พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 9 วิชานอกตำรา
ฝนหยุดเมฆคลาย ภายในพริบตาก็เหมือนมีคนมากมายโผล่มาขึ้นจากใต้ดิน บนทางหลวงอันว่างเปล่าเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่จอแจ
คนที่หลบฝนในศาลทรุดโทรมและพากันเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเรื่องราวที่ได้พบเจอในวันนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาสนทนาได้อีกหลายวัน
“ได้ยินว่าเหล่าขุนนางของสำนักดาราพยากรณ์ในเมืองหลวงก็คาดเดาฟ้าฝนได้เช่นกัน…”
“อย่างนั้นนายหญิงผู้นั้นก็เก่งกาจเหมือนเหล่าขุนนางเชียวหรือ”
ผู้คนสลายไปชั่วพริบตา ในศาลทรุดโทรมเหลือเพียงปั้นฉินนายบ่าวและผู้เฒ่ากับเด็กหญิง
ปั้นฉินเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วตั้งนานแล้ว ส่วนคนรถช่วยเก็บใส่รถ จากนั้นจึงออกเดินทางไปกับรถลา
ผู้เฒ่าเองก็แบกเด็กหญิงออกเดินทางเช่นกัน
“นายหญิงเรียกลมเรียกฝน!” เด็กหญิงยังเล็ก ถึงจะได้ยินคนพูดซุบซิบทั้งวัน แต่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เอาแต่นึกถึงขนมแสนอร่อย เด็กน้อยปรบมือตะโกนไปทางรถลาอย่างอดไม่ได้
นายหญิงของข้าได้รับการเปิดทวารรับรู้จากท่านเซียน ปั้นฉินยิ้มแย้มอย่างได้ใจ
“ไม่ใช่ ดูฟ้า” มีเสียงลอยออกมาจากรถลาอีกครั้ง และยังเปิดม่านรถมาครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้พวกนางอยู่หน้าศาลแล้ว ฝนคลายฟ้าสดใส แสงแดดเจิดจ้า ม่านรถที่เปิดออกบดบังเงาเล็กน้อย แต่ยังคงมองเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถ นางยังคงเป็นสาววัยเยาว์
เด็กเพียงนี้เชียว! ผู้เฒ่าตกใจอย่างมาก นี่จะเรียกว่ายังสาวอาจยังมิได้! อายุน่าจะเพียงสิบสามสิบสี่เท่านั้น!
“ตอนเช้าตอนออกมา มีเมฆมากคล้ายสำลี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว มองดูเด็กหญิงบนหลังท่านปู่
เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ผู้เฒ่ากลับเข้าใจ มองเมฆรู้ฝน มองฝนรู้ฟ้า
“นายหญิงรอบรู้ยิ่งนัก นายหญิงรอบรู้ยิ่งนัก” เขากล่าวไม่หยุด
เฉิงเจียวเหนียงก้มหัวตอบกลับเพื่อแสดงความเคารพ แล้วหันไปมองดูผู้เฒ่า
“ท่านผู้เฒ่า อาการป่วยของท่านต้องรีบรักษา” นางจู่ๆ พูดออกมา
ผู้เฒ่ายืนห่างออกมาเพื่อให้พวกนางไปก่อน เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้นก็อึ้งไปสักพัก
“นายหญิงยังรักษาโรคได้หรือ” เขาถาม
“รู้เล็กน้อย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว สายตามองไปบนหลังที่ค่อมเล็กน้อยของผู้เฒ่า
หากเป็นคนนอกมากคงจะคิดว่าผู้เฒ่าหลังค่อมงอเพราะว่าแบกเด็กสาว
“แล้วนายหญิงว่าข้าเป็นโรคอะไร” หลังผู้เฒ่าอึ้งไปสักพัก เอ่ยถามอย่างอมยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงกลับเงียบไป
“ไม่รู้” นางตอบ
ผู้เฒ่าอึ้งไปอีกสักพัก
“แต่ข้ารักษาได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“อย่างนั้นท่านจะรักษาอย่างไร” ผู้เฒ่ายิ้มถาม ดูท่าทีจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของนากมากนัก
“นายหญิงของข้ารักษาโรค ต้องจ่ายค่ารักษาก่อน” ปั้นฉินพูดอยู่ข้างๆ
ได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
“ขอบคุณนายหญิง ข้าอุ้มเด็กน้อยอยู่ไม่ค่อยมีแรง รีบไปก่อนแล้วก็แล้วกัน” เขาพูดตัดบทไปเสียดื้อๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกประตูศาลเดินไปตามทาง
คนรถอดไม่ไหวแล้ว
“นายหญิง พวกท่านทำการค้าแบบนี้ไม่ได้หรอก มีพูดแบบนี้กันที่ไหนเล่า” เขากล่าว “บอกว่าไม่รู้โรคอะไรได้อย่างไรเล่า ถึงแม้จะไม่รู้ ในเมื่อรักษาได้ อย่างนั้นก็ตั้งชื่อโรคมาก็ได้นี่”
ปั้นฉินจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“พวกเราไม่ได้ทำการค้า” นางกล่าว
คนรถเบะปาก
“ไม่ได้ทำการค้า แล้วจะเอาค่ารักษาไปทำไม” เขาพึมพำ
“เพราะเราต้องการเงินนี่…” ปั้นฉินกล่าว พูดเสร็จมองดูท่าทางดูแคลนของคนรถจึงรู้สึกโมโห “รีบไปกันเถอะ ต้องไปถึงเมืองข้างหน้านั้นก่อนฟ้ามืด”
“ข้าก็แค่อยากช่วยพวกท่าน” คนรถรู้สึกไม่น้อยใจ พูดพึมพำ แล้วควบลาออกไป
รถโครงเครงออกประตูศาล แสงแดดแยงตา เฉิงเจียวเหนียงปล่อยม่านรถลง
ปั้นฉินนั่งอยู่บนรถ คนรถเร่งรถ คนทั้งคันรถมุ่งไปยังทางข้างหน้า
ยามฟ้ามืดรถลาก็มาจอดหน้าที่พักในที่สุด เสี่ยวเอ้อร์ในร้านเดินหาวออกมารับรอง ปั้นฉินกระโดดลงจากรถ
นางสอบถามอย่างตั้งใจพักใหญ่ กว่าจะโบกมือให้คนรถในที่สุด
“เอาใจยากเสียจริง ที่พักมากมาย ถามนู่นถามนี่อันนี้ไม่ดีอันนั้นไม่ได้ ทำเอาจนฟ้ามืด พวกท่านยังต้องให้เงินข้าเพิ่มอีกวัน แถมยังต้องให้ค่าอาหารที่พักข้าอีกวัน ทำไปเพื่ออะไรกัน” คนรถบ่นพึมพำพลางลากรถลาไปจอดในโรงรถม้า
“มีเงินให้ยังไม่เอาอีกหรือ” ปั้นฉินกล่าวกับคนรถอย่างไม่พอใจ
เฉิงเจียวเหนียงลงจากรถ ปั้นฉินรีบยื่นมือพยุงนาง
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านที่นำทางอยู่ด้านหน้ามองมา เห็นนายหญิงผู้นี้ตัวสูงกว่าสาวใช้เล็กน้อย คลุมผ้าคลุมหน้ายาวจากหัวจรดเท้า ข้างในใส่เสื้อแขนสั้นกระดุมหน้าสีน้ำตาล กระโปรงสีพื้นเห็นอยู่รำไร การแต่งตัวเช่นนี้ช่างจืดชืด แสดงว่านายหญิงผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว แต่ดูรูปร่างแล้วกลับสวยงามสะโอดสะอง
ณ เวลานี้ บนทางเดินไม่มีแขกอื่นเดินไปมาแล้ว ไฟของห้องรับรองด้านหลังก็ดับหมดแล้ว สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมา หญิงสาวที่เดินอยู่ใต้โคมไฟทางเดินช่างสะกดสายตาคนยิ่งนัก
ตรงข้ามมีคนสองคนพิงผนังพูดคุยกันอยู่ หนึ่งในนั้นมองมาพอดี ดวงตาลุกวาวอย่างอดไม่ได้
“หญิงผู้นี้ช่างงดงามนัก” เขากล่าว
อีกคนหนึ่งมองตามสายตาเขาไป กลับเห็นเพียงด้านหลังรางๆ ของเฉิงเจียวเหนียงที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
“หยวนหลังเดี๋ยวนี้สายตาแหลมคมกว่าเก่า มองทะลุผ้าคลุมทางด้านหลังก็เห็นหน้าตาคนเสียแล้ว” เขาหัวเราะกล่าว
ชายที่ถูกเรียกว่าหยวนหลังหัวเราะออกมา
“สาวงามนั้น มิใช่เพียงแต่หน้าตาดีเพียงอย่างเดียว” เขากล่าว
เขาพูดพลางมองไปทางห้องที่หญิงผู้นั้นพักอยู่ ในห้องแสงไฟมืดสลัว เหมือนว่าจะพักผ่อนกันแล้ว
ปั้นฉินนั่งอยู่ใต้ไฟสลัว นับเงินอย่างตั้งใจ
“นายหญิงเจ้าคะ มีแค่ไม่กี่ตังแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพิงกายบนหัวเตียง แสงไฟที่มืดสลัวไม่อาจสลายความมืดยามค่ำคืนข้างกายนาง รอบกายพร่าเลือนไปหมด
“พรุ่งนี้เช่ารถ อาหารสองมื้อ ไปถึงเมืองเจียงโจวก่อนตะวันตกดินพอพอดี” นางกล่าว
ถึงแม้ปั้นฉินจะคุ้นเคยกับค่าเช่ารถค่าอาหารต่างๆ แต่คำนวณได้ไม่เร็วเท่าเฉิงเจียวเหนียง ดังนั้นนางจึงจำแต่ราคา ทุกครั้งแค่บอกตัวเลข รอให้นายหญิงจัดแจงการเดินทางเป็นพอ
“นายหญิงเจ้าคะ เดินทางอีกแค่วันเดียว เรายังต้องเปลี่ยนรถอีกหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถามอย่างสงสัย
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปสักครู่
“ต้อง” นางกล่าว
“อืม คนรถคนนี้ขี้โวยวายเสียจริง” ปั้นฉินพยักหน้ากล่าว
แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แต่ด้วยจิตใต้สำนึกนางแล้วอยากจะทำแบบนี้ เปลี่ยนรถ ใช้รถหลายคันเดินทางพร้อมกัน ทำเส้นทางการเดินทางของนางให้ยุ่งเหยิงไม่มีใครรู้ได้ วิธีนี้ทำให้ค่าเดินทางของพวกนางเพิ่มขึ้นมาก สำหรับคนทั่วไปแล้ว เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเสียเลย แต่ทว่าทำไมนางถึงอยากทำเช่นนี้ เหมือนว่ากำลังหลบหลีกอะไรอยู่ หลบหลีกอะไรกัน
เฉิงเจียวเหนียงหลบหลีก หรือใครกันที่หลบหลีก
เฉิงเจียวเหนียงขบคิดอีกครั้ง ความทรงจำจางๆ ที่วุ่นวายของนางมันคืออะไรกันแน่
เมื่อเห็นนายหญิงที่อยู่ข้างเตียงเหม่อลอยอีกครั้ง ปั้นฉินเก็บถุงเงินอย่างระมัดระวัง ดับไฟ ตะแคงนอนอยู่บนเสื่อรอง
ตั้งแต่ที่โรคกำเริบเมื่อเดือนก่อน ในระหว่างการเดินทางนี้นายหญิงก็ไม่มีอาการเลย ทั้งยังใกล้จะถึงบ้านแล้ว ไม่ต้องเดินทางเหน็ดเหนื่อย ไร้ที่พึ่งพิงอีกแล้ว
ปั้นฉินยิ้มหวานมุมปาก นอนหลับไปอย่างตื่นเต้นและสบายใจ
วันรุ่งขึ้นตอนเฉิงเจียวเหนียงนายบ่าวนั่งรถออกเมืองก็ใกล้จะเวลาเที่ยงวันแล้ว บนท้องถนนทั้งม้ารถผู้คนจอแจ ทำให้รถลาของเฉิงเจียวเหนียงวิ่งอยู่ในนั้นไม่เป็นที่สังเกต
“รายงานด่วน รายงานด่วน”
เสียงฝีเท้าม้าที่เร่งรีบลอยมาจากทางด้านหลัง ผู้คนที่เดินบนท้องถนนต่างหลบให้ มองดูขบวนทหารวิ่งผ่านไป
ฝูงชนเบียดเสียดทั้งยังต้องหลบทาง ทำให้รถม้าคันหนึ่งเกือบจะตกลงไปในร่องน้ำข้างทาง
“ท่านพ่อ ไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายวัยกลางคนสวมชุดแพรไหมรีบลงจากม้าที่อยู่ด้านข้างเพื่อสอบถาม
คนรับใช้เปิดม่านรถ
ในรถมีผู้เฒ่ากับเด็กน้อยนั่งอยู่
“ท่านพ่อ ตันเหนียงจะขี่ม้า” เด็กหญิงอ้าแขนตะโกนพูดกับชายผู้นั้น
ผู้เฒ่ายื่นมือมาลูบหัวเด็กหญิง
“ข้างนอกร้อน รอเย็นแล้วตันเหนียงค่อยขี่ม้า” เขากล่าวปลอบเด็กน้อยแล้วหันมาพยักหน้ากับชายหนุ่ม
“ข้าไม่เป็นอะไร รีบไปเถอะ อย่าให้เสียงานเจ้าเลย”
“ลูกอกตัญญู ให้ท่านพ่อต้องมาลำบากกับข้า” ชายหนุ่มก้มหน้าเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“อย่าพูดเช่นนี้เลย รีบ…” ผู้เฒ่ากล่าว พูดยังไม่จบก็หยุดลงกระทันหัน สีหน้าตกใจเล็กน้อย
“ท่านพ่อขอรับ” ชายหนุ่มไม่เข้าใจถึงร้องถาม แต่เห็นสายตาของท่านพ่อที่มองออกไปด้านหน้า เขาจึงได้มองตาม
ตรงนั้นมีรถลาคันหนึ่ง สาวใช้อายุราวสิบห้าสิบหกกำลังเปิดม่านรถพูดกับคนในรถ สีหน้าดูร้อนใจ
พอมองไปที่ลาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนว่าโดนเบียดเมื่อครู่จะทำให้ขามันบาดเจ็บ คนรถกำลังนั่งลงสำรวจ
นั่นนายหญิงผู้นั้นนี่…
ผู้เฒ่าครางเสียงเบา พวกนางจะไปเจียงโจวเหมือนกันหรือ
ครั้งก่อนระหว่างทางเห็นว่าคนแก่กับเด็กเดินเชื่องช้า พวกนางก็เชิญให้นั่งรถของตน บอกว่ารีบไปจะได้ไม่ตากฝน ตอนแรกไม่ได้สนใจคำพูดนี้ เพียงเห็นว่าใจดีช่วยเหลือคนแก่ ถึงแม้จะไม่เชื่อคำพูดพวกนาง แต่ก็ยังเชื่อความเมตตานี้
เลยให้สาวใช้นั้นอุ้มเด็กหญิงไว้นั่งนอกรถมาระยะทางหนึ่ง
ครั้งนี้จะเชิญพวกนางเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่
บ้านตนยังมีรถอีกคัน อย่างไรก็เร็วกว่ารถลาคันนี้ของพวกนางแน่ๆ
แต่ทว่า…
ผู้เฒ่านึกถึงคำพูดนายหญิงผู้นั้นขึ้นมา ‘รักษาได้ ไม่รู้ชื่อโรค ค่ารักษา’
เขาส่ายหัว
“ท่านพ่อขอรับ” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้งอย่างร้อนใจ
ผู้เฒ่าดึงสติกลับมา พยักหน้าให้ลูกชาย
“ไม่มีอะไร รีบไปกันเถอะ” เขากล่าว
ชายวัยกลางคนเห็นว่าท่านพ่อท่าทางไม่เป็นอะไรจึงโล่งอก เขาปลอบเด็กหญิงอีกเพียงครู่ แล้วจึงหันกลับไปขึ้นม้า
คนคุ้มกันเปิดทางให้ พวกเขามุ่งหน้าออกไป
รถโครงเครงจนม่านเปิด ผู้เฒ่ามองออกไปข้างนอกอย่างไม่ได้ตั้งใจ รถลาคันเล็กนั้นหายไปอย่างว่องไว
โรคของท่านต้องรีบรักษา…
เสียงแข็งทื่อของนายหญิงผู้นั้นลอยขึ้นมาข้างหู
ผู้เฒ่ายื่นมือมาลูบบั้นเอว ส่ายหัวยิ้มเล็กน้อย
นายหญิงผู้นี้เป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบกว่าขวบ รู้วิชานอกตำราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขบวนรถวิ่งบนทางหลวงออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
…………………………………………………….