พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 91 ได้ยิน
แสงไฟของบ้านตระกูลโจวสว่างไสวนัก มองดูรถม้าเข้าประตู นายน้อยโจวหกอดไม่ได้ที่จะเดินก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว
ม่านของรถม้าถูกเปิดออก สาวใช้ประคองฮูหยินโจวลงจากรถ ม่านรถถูกปิดลงและไม่มีใครออกมาอีกเลย
นายน้อยโจวหกถอนหายใจ
แล้วเดินกลับไปที่ลานกว้างของตนและเปิดประตู ซึ่งในห้องโถง ท่านชายฉินกำลังใช้เตาไฟต้มเหล้าอยู่ ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นมึนเมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ไปรอเก้อตรงประตูใช่หรือไม่” เขายิ้มพลางมองไปที่นายน้อยโจวหกซึ่งกำลังสะบัดเสื้อแล้วนั่งลง
“ต้อนรับพ่อแม่กลับบ้าน คือสิ่งที่ควรทำ” นายน้อยโจวหกกล่าวพร้อมกับยกชามเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว
ท่านชายฉินยิ้มแล้วรินเหล้าเพิ่มให้แก่เขา
“บอกว่าคืนนี้นายใหญ่เฉินก็จะฟื้นแล้ว จึงอยากนอนค้างอยู่ที่นั่น” นายน้อยโจวหกกล่าว “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”
“ใช่หรือไม่ใช่ ต่อไปก็จะได้รู้กัน” ท่านชายฉินกล่าว “นางไม่ยอมก้าวเข้าบ้านเจ้าหรอก”
นายน้อยโจวหกหัวเราะเยาะ
“อยากเข้าก็เข้า ไม่อยากเข้าก็ไม่ต้องเข้า” เขากล่าว
“ท่านลุงและท่านป้าว่าอย่าไรบ้าง” ท่านชายฉินถาม
“ไม่ได้ว่าอะไร ก็เช่นนั้นแล” นายน้อยโจวหกพูดอย่างไม่สนใจใยดี “บอกว่ารูปร่างหน้าตาเหมือนท่านอาหญิงเลย”
“โอ้ อาหญิงของเจ้าเป็นสาวงามเลยนะ” ท่านชายฉินยิ้มกล่าว
นายน้อยโจวหกหมุนชามเหล้าและดูเหมือนจะใจลอย ท่านพ่อไม่ค่อยพูดอะไรมาก ทว่า ท่านแม่กลับมีนิสัยเฉกเช่นผู้หญิงทั่วไป โดยพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเกินจริงเล็กน้อย
เล่าตั้งแต่ลงจากรถม้าไปจนถึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าไปในบ้าน ซึ่งนางงดงามสะดุดตาจนทุกคนไม่ยอมละสายตาจากนางได้เลย เล่าละเอียดจนราวกับว่าหญิงสาวคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าของเขา
เช่นเดียวกับที่เห็น ณ บ้านแห่งตระกูลเฉิง เช่นเดียวกับที่ฝันเห็นทุกคืนทุกวันก็ไม่ปาน หญิงสาวผู้นั้นมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นมุมปากของนางก็โค้งงอขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงการเยาะเย้ย
เขาหยิบชามเหล้าขึ้นมาดื่มรวดดียว
“ไปเรียกพ่อบ้านเฉาเข้ามา อยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง ต้องน่าสนใจมากแน่” ท่านชายฉินกล่าว
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่รีบตอบ แล้วลุกขึ้นออกไปเรียกพ่อบ้านเฉา
“จะมีอะไรน่าสนใจหรือ” นายน้อยโจวหกพูดพึมพำและมองหน้าเขาอีกครั้ง “เจ้าจะไม่กลับบ้านหรือ”
“คืนนี้ข้าไม่กลับ” ท่านชายฉินกล่าว
“ผู้หญิงคนนี้มีอะไรน่าสนใจ คุ้มค่ากับการที่เจ้าไม่กลับบ้าน” นายน้อยโจวหกกล่าว “หากเจ้าสนใจมากเช่นนี้ ก็ขอนางแต่งงานไปเลยสิ”
เมื่อพูดคำนี้ลั่นออกจากปาก ทั้งคู่ก็นิ่งไปชั่วขณะ
แม้ว่าท่านย่าองค์หญิงฝังหนิงจะล่วงลับไปแล้ว แต่หากนับทางสายเลือดแล้ว ก็ถือว่าใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาก พ่อของเขามีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรม และตระกูลฉินยังเป็นตระกูลมีชื่อเสียงแห่งภาคกลางของเสฉวน แม้ว่าท่านชายฉินจะเป็นคนทุพพลภาพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งงานกับใครก็ได้
เมื่อตนพูดเช่นนั้น ก็หัวเราะให้กับข้อบกพร่องที่มี ก็คงเหมาะสมกับคนบ้าเป็นที่สุด
นายน้อยโจวหกมีสีหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
“ข้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาพูดพึมพำ
ท่านชายฉินหัวเราะเสียงดัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขายิ้มกล่าว “คนงามเช่นนั้น ข้าคงไม่มีวาสนาหรอก”
นายน้อยโจวกำลังจะพูด สาวใช้ที่อยู่นอกประตูก็พาพ่อบ้านเฉาเข้ามา
“ลำบากเจ้าแล้ว” นายน้อยโจวหกกล่าว พร้อมกับส่งสัญญาณให้พ่อบ้านเฉานั่งลง
พ่อบ้านเฉาดีใจนัก
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากขอรับ เพียงกลับถึงบ้าน ก็สบายใจและหายเหนื่อยแล้วขอรับ” เขากล่าวพร้อมกับนั่งคุกเข่า
ระหว่างเดินทางหลายพันไมล์ ครอบครัวอย่างไรก็คือครอบครัว นายน้อยโจวหกพยักหน้า
ทว่า ท่านชายฉินกลับยิ้ม
“ทำไมหรือ ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเฉิงเจียวเหนียงจะทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมารมากขนาดนั้นเลยหรือ” เขาถาม
นายน้อยโจวหกขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ทุกเรื่องก็โยงเข้านางหมด นางมีอะไร…” เขาอดไม่ได้ที่จะพูด
ก่อนที่จะพูดจบ พ่อบ้านเฉายิ้มอย่างข่มขื่น
“ข้า ข้าน้อยรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฟังคำของท่านชาย” เขาก้มศีรษะคำนับแล้วกล่าว
เสียงของนายน้อยโจวหกหยุดกะทันหัน ซึ่งดูเหมือนจะทั้งกลัดกลุ้มใจและรู้สึกจนปัญญา จึงยกชามเหล้าขึ้นมาเสียเลยแล้วหยุดพูด
“ไม่ใช่ว่าข้าคิดมากจนเกินไป แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่อยากจะคิด” ท่านชายฉินยิ้มกล่าวและมองไปที่นายน้อยโจวหกที่กำลังกลุ้มใจอยู่ “ทุกสิ่งบนโลกเป็นเช่นนี้แล คนเราไม่แตกต่างกันมากหรอก ทว่า สิ่งที่แตกต่างกันคือ อยากคิดหรือไม่อยากคิดเพียงเท่านั้น”
“ถามในสิ่งที่เจ้าอยากถาม อย่าพูดเรื่องไร้สาระให้มากความ” นายน้อยโจวหกเบิกตากล่าว
เมื่อละสายตาไปที่พ่อบ้านเฉา สาวใช้ก็กำลังรินเหล้าให้แก่พ่อบ้านเฉา
“หากพูดถึงแม่นางแห่งตระกูลเฉิง แม่นางเป็นคนแปลกนัก…”
ประตูถูกดึงขึ้น เพื่อแยกคืนอันอบอุ่นออกจากต้นฤดูหนาว
เมื่อเทียบกับสถานที่สว่างและอบอุ่นของนายท่านและนายน้อยแล้ว ห้องของบ่าวรับใช้ช่างดูมืดมนและเย็นยะเยือกนัก
ปั้นฉินถูมือและเขยิบเข้าใกล้ตะเกียงน้ำมัน แล้วเย็บเสื้อ
เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะของเหล่าบรรดาสาวใช้ดังมาจากด้านนอกประตู ประตูถูกผลักออก คนและลมเย็นของต้นฤดูหนาวเข้ามาพร้อมๆ กัน โดยที่ตะเกียงน้ำมันกำลังจะดับลง ปั้นฉินจึงรีบใช้มือบัง
“…หากเสี่ยวเย่ว์ไม่รีบกลับไปเสียก่อน ข้าคงชนะแน่”
“…เจ้าไม่มีทางชนะหรอก เพราะเสี่ยวเย่ว์มีงานมงคลอยู่กับตัว โชคด้านการเงินกำลังรุ่ง…”
“…เสี่ยวเย่ว์โชคดีนัก ฮูหยินยกนางให้แก่พ่อบ้านเฉา ซึ่งพ่อบ้านเฉามีความสามารถมาก แม้ว่าเขาจะอายุมากไปสักหน่อย แต่เรื่องน้อยใหญ่ภายในบ้านก็ต้องอาศัยเขาทั้งนั้น
“ครั้งนี้กลับมา ก็สร้างผลงานยอดเยี่ยม หากแต่งงานแล้ว เสี่ยวเย่ว์ก็จะได้ไปเป็นแม่บ้านของฮูหยินแล้ว
เหล่าบรรดาสาวใช้นั่งส่องกระจกเพื่อแต่งหน้าทำผม ทั้งพูดคุยและหัวเราะเสียงดัง ภายในห้องเต็มไปด้วยความสุขที่หนวกหู
“พ่อบ้านเฉากลับมาแล้วหรือ” ปั้นฉินถามด้วยความประหลาดใจแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จนลืมวางเข็มและด้ายที่อยู่ในมือลง ทำให้จิ้มโดนนิ้วมือโดยไม่รู้ตัว
เหล่าสาวใช้ดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นนาง โดยคนส่วนใหญ่เหลือบมองนางแล้วก็ละสายตาไป
“ใช่แล้ว” มีสาวใช้เพียงคนเดียวที่ตอบพร้อมกับหันหน้ามัดเชือกผูกผม “เข้าเมืองตั้งแต่ช่วงค่ำแล้วและเพิ่งจะกลับมาพร้อมกับนายใหญ่และฮูหยิน”
“หากเป็นเช่นนั้น นายหญิงข้าก็มาถึงแล้วสิ” ปั้นฉินพูดเสียงสั่น เพราะตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหลพรากออกมา
ครั้งนี้มีสาวใช้หลายคนหัวเราะออกมา
“นายหญิงของเจ้าคือนายหญิงตระกูลใดและเจ้าเป็นสาวใช้ของจระกูลใดกัน” สาวใช้นางหนึ่งพูดด้วยความดูถูก “หรือที่นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้า ลำบากแม่หญิงแล้วที่ต้องมาทนอยู่ที่บ้านของพวกเรา”
ภายในห้องหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
ปั้นฉินก้มหน้าด้วยความลำบากใจ
“ข้า ข้า…” นางอ้ำอึ้งอยู่นาน ไม่รู้จะพูดอะไรและน้ำตาก็ไหลหยดลงบนเท้าของนาง
“กลางคืนแล้วจะร้องไห้เสียงดังไปทำไม” สาวใช้นางหนึ่งตะโกน
“นั่นสิ ทำหน้ามุ่ยตลอดทั้งวัน อย่างกับว่าใครติดหนี้เจ้าอย่างนั้นแหละ” สาวใช้อีกคนตะโกนต่อ
“ถึงว่าตั้งแต่เจ้าย้ายเข้ามา โชคลาภในการเล่นการพนันข้าแย่ลงเรื่อยๆ เลย” สาวใช้อีกหลายคนตะโกนเช่นกัน
ภายในห้องยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
ปั้นฉินถอยกลับไปที่เตียงของตนอย่างตกใจจนสั่นไปทั้งตัว และใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาด้วยความตื่นตระหนก ยิ่งนางไม่อยากร้อง นางก็ยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“พอแล้ว คราวหน้าบอกท่านแม่ ให้หาที่ดีๆ ให้แก่พี่สาวตระกูลอื่นอยู่ ที่ของพวกเราไม่คู่ควรกับพี่สาวหรอก ทำให้พี่สาวต้องลำบากใจแล้ว”
ปั้นฉินก้มหน้าลง โดยถือเข็มกับด้ายอยู่ในมือด้วยความตื่นตระหนกและร่างกายของนางก็สั่นไปทั้งตัว
“นี่ เจ้าจะเย็บปักถักร้อย ก็ไปทำที่อื่น พวกข้าจะนอนแล้ว เจ้าจุดไฟไว้ พวกเราจะนอนกันได้อย่างไร พวกเราไม่ได้ว่างเหมือนกับเจ้านะ กลางวันพวกเรายุ่งมาก”
ประตูถูกปิด ตะเกียงน้ำมันดับลง ทั้งด้านในและด้านนอกมืดสนิท
ปั้นฉินกอดเสื้อที่เย็บไว้ นางมองไปรอบๆ ด้วยเนื้อตัวสั่นเครือและน้ำตานองหน้า
นายหญิง…
นายหญิง…
เกิดอะไรขึ้น
นี่เกิดอะไรขึ้น
ฟ้าใกล้สว่างแล้ว มีคนสี่ถึงห้าคนนั่งหรือพิงโต๊ะไม้เตี้ยหรือนั่งกอดอกและหลับตาอยู่ภายในห้องของนายใหญ่เฉิน เหลือเพียงแต่หมอหลวงหลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้างเตียงและยื่นมือออกมาไปตรวจชีพจรเป็นระยะๆ
“ฝังเข็มเช่นนี้ ช่างแปลกนัก จะได้ผลจริงหรือ” เขาพูดพึมพำ
นายใหญ่เฉินนอนอ้าปากค้างอยู่บนเตียงอย่างไร้สติเหมือนเช่นเคย โดยมีน้ำลายหยดออกมาจากปากเป็นครั้งคราวและลำคอมีเสียงสั่นเครือ
หมอหลวงหลี่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิศตะวันออกเริ่มสว่างขึ้นแล้ว
“ฟ้าจะสว่างแล้ว ไม่ใช่ว่าจะฟื้นอย่างช้าที่สุดตอนฟ้าสว่างหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงยังไม่ฟื้นอีก” เขาบ่นพึมพำและมองเห็นเด็กน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่ใต้เท้าของตน จึงใช้ขาเตะเด็กน้อยนั่น
“เด็กน้อย ลุกขึ้นได้แล้ว”
เด็กคนนั้นตื่นขึ้นมาอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่นและยื่นมือออกไปจับเตียงเพื่อพยุงตัวขึ้น
“ท่านอาจารย์ขอรับ ท่านอาจารย์ขอรับ” เขาพูดด้วยสายตาที่ง่วงนอน
“…กี่โมงแล้ว…”
“ใกล้รุ่งสางแล้ว” หมอหลวงหลี่กล่าวพร้อมกับหันหลังแล้วจ้องไปที่เด็กน้อย
“อืม” เด็กน้อยพูดพลางใช้แขนเสื้อเช็ดปากแล้วนั่งลง
“จะรุ่งสางแล้ว …ฟ้าจะสว่างแล้ว…”
หมอหลวงหลี่มองไปที่เด็กชายและเด็กชายก็มองไปที่หมอหลี่เช่นกัน
“เวลาพูด ทำไมไม่อ้าปากพูดเล่า” หมอหลวงหลี่ถามด้วยความงุนงง
“ไม่ใช่ท่านอาจารย์พูดหรือขอรับ” เด็กน้อยถามด้วยความงุนงงเช่นกัน
“นายสาม นายสาม” มือข้างหนึ่งที่อยู่บนเตียงยกขึ้นแล้วคว้าแขนของเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ
เด็กน้อยกรีดร้องด้วยความตกใจและทุกคนในห้องก็ตกใจจนตื่นนอน
…………………………………………………