พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 100
* * *
ไม่กี่วันต่อมา
“เลดี้คะ มีจดหมายจากเบอร์รี่มาส่งค่ะ”
สีหน้าเจสซี่ที่นำจดหมายของเบอร์รี่มาให้ ไม่ได้ดูสดใส เธอดูเหมือนจะยังรู้สึกไม่พอใจที่ปล่อยเบอร์รี่ไปทั้งอย่างนั้น
อาเรียมองดูจดหมายที่มีตราประทับว่าส่งมาจากอาณาจักรโครอาอย่างผ่านๆ แล้วพูดปลอบเจสซี่
“เจสซี่ เธอไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย”
“แต่ว่า… ดิฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่พยายามทำเช่นนั้นกับเลดี้ จะได้ไปถึงต่างอาณาจักรอย่างปลอดภัยน่ะสิคะ”
เจสซี่ทำเพื่อตัวเธอขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้เอ็นดูเธอได้อย่างไร อาเรียตัดสินใจว่าพอเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เธอจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เธอ จากนั้นออกจากห้องไปเพื่อฟังคำพิพากษาเอ็มม่าในวันนี้
เคาน์ติสที่มองอาเรียเดินลงมายังชั้น 1 มีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
“อาเรีย ไม่ต้องไปก็ได้นะ เพราะไม่ว่าอย่างไรผลก็ถูกตัดสินเอาไว้อยู่แล้ว… ถ้าไปจะไม่เป็นไรจริงหรือ”
“…ค่ะ เพราะไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาอาจจะต้องการคำให้การของลูกน่ะค่ะ”
เคาน์ติสรั้งเธอไว้เพราะผลถูกกำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่ผู้เสียหายจะต้องฝืนใจไปร่วม แต่ความตั้งใจของอาเรียที่จะไปดูจุดจบวาระสุดท้ายของเอ็มม่านั้นเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ และไปฟังเสียงร้องไห้คร่ำครวญของมิเอลด้วย
ดวงตาของมิเอลแดงก่ำเหมือนกับร้องไห้ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา อีกทั้งยังบวมเป่ง เธอคงจะพยายามปกปิดมันด้วยหมวกให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาเสมือนเหยี่ยวของอาเรีย
‘เธอคงจะอยากกรีดร้องตะโกนว่าเธอไม่ได้ทำสินะ’
เห็นได้ชัดจากที่บางทีเธอก็กัดปากตัวเองและตัวสั่นระริก
เธอคงจะต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ เพราะเธออาจจะได้เห็นคอของเอ็มม่าที่เป็นเสมือนมารดาของเธอถูกตัด แถมตัวการก็ยังอยู่ตรงหน้าเธออีก
“…ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวจะตามไปทีหลังนะคะ”
ใช่สิ เธอคงไม่อยากขึ้นรถม้าคันเดียวกับฉันสินะ เคาน์ติสคงจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ เพราะเอ็มม่าเข้ามาดูแลมิเอลตั้งแต่เธอเกิด จึงพยักหน้าให้เธอตามมาทีหลัง
เนื่องจากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นทันทีที่เคนกลับมาจากโรงเรียน เขามองมิเอลที่ยืนหันหลังอยู่ แล้วเดาะลิ้น ท่าทีในอดีตที่ทั้งรักและหวงแหนน้องสาวของเขานั้นได้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ท่านเคานต์พูดกับอาเรียอย่างอ่อนโยนแบบที่น่าจะเป็นวิธีที่เขาใช้พูดกับมิเอล
“อาเรีย อาจจะยากหน่อย แต่ก็ทนหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะ…”
ใจจริงเธออยากจะจัดปาร์ตี้ดื่มฉลอง แต่ก็จบด้วยการตอบกลับไปอย่างเงียบๆ ว่าเธอจะทำเช่นนั้น พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน
ต้องขอบคุณอาเรียที่เล่นละครเป็นเด็กหญิงผู้น่าสงสาร ทำให้ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปยังศาลนั้นปกคลุมไปด้วยความเงียบ แม้แต่ตอนที่มาถึงแล้ว เธอก็ยังเล่นละครเป็นนางเอกบทละครโศกที่เป็นได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความพยายามอันสิ้นหวังของเคน
“ตายจริง ดูเหมือนเลดี้ตระกูลโรสเซนต์ที่เป็นผู้เสียหายก็มาด้วยนะคะ”
“ไหน… เดี๋ยวนะ เลดี้ตระกูลโรสเซนต์งดงามขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ว่าแล้วเชียวว่าคงเพราะอิจฉาริษยาตามที่เขาลือกันจริงๆ ด้วยสินะคะ ข่าวลือที่ว่าเธองดงามขนาดที่สามารถดึงดูดทุกคู่สายตาได้นั้นเป็นเรื่องจริงนะคะนี่”
ผู้เข้าร่วมต่างส่งเสียงฮือฮากับการปรากฏตัวของอาเรีย ความงดงามที่ดูเรียบง่ายบริสุทธิ์ และดูราวกับเติมแต่งแต่ไม่ได้เติมแต่งอะไรนั้น ช่วยทำให้เธอดูน่าสงสารมากขึ้นอีก
เคนสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เธอ ก็เอ่ยปากถามด้วยใบหน้าอันเป็นมิตร
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“…คะ อ๊ะ ค่ะ แน่นอนสิคะ”
ในสายตาของเคนที่มองมายังตัวเธอในอดีตมีแต่ความรู้สึกดูถูกดูแคลนสินะ สายตาที่เขามองเธอเหมือนกับขยะที่บั่นทอนชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
อาเรียเช็ดน้ำตาที่ไม่ได้ออกมาจากความเห็นอกเห็นใจของทุกคน แล้วรอเพียงแค่ให้การพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้น
อาจจะเป็นเพราะเธอมาถึงเร็วไปหน่อย ทำให้ต้องรอเวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะเริ่ม ส่วนมิเอลที่ออกมาสายนั้นปรากฏตัวก่อนการพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นพอดี
“ตาแดงเชียว… ไม่เป็นอะไรนะ”
ร้องไห้ขนาดนั้นเพื่อใครหรือ
เมื่ออาเรียถามดังนั้น มิเอลก็ตอบพร้อมกับหลับตาของเธอแน่นราวกับว่าเธอไม่อยากแม้แต่จะมอง
“…ไม่เป็นไรค่ะ”
ท่านเคานต์และเคนที่รู้ต้นเหตุของน้ำตานั้นต่างก็ถอนหายใจและหันหน้าไปทางอื่น เคาน์ติสกัดฟันพลางกุมมือของอาเรียแน่น ความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่มีความเอนเอียงมากเสียจนเธอสามารถแสดงความรู้สึกของตัวเองได้
เธอเข้าใจว่าเอ็มม่าเป็นคนสำคัญสำหรับมิเอล แต่การที่จะช่วยปกป้องคนที่พยายามจะฆ่าคนต่อหน้าผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำที่ไม่สามารถเข้าใจได้
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะโง่ขนาดที่ทำลายที่ตัวเองสร้างมาทั้งหมด’
เหมือนกับตัวเธอเองในอดีตเลยไม่ใช่หรือ
อย่างนี้ก็เหมือนกับตัวเธอเองในอดีตที่ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าไม่ได้รับการยอมรับจากใครเลย แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองที่เดินไปสู่เส้นทางผิดๆ ได้
ทว่าในสายตาของผู้ฟังทั้งหลายแล้ว ความโศกเศร้าของมิเอลและความเงียบนั้น ดูเหมือนจะเกิดจากความเป็นห่วงพี่สาวของตัวเอง
เอ็มม่าดูซูบผอมลงอย่างมาก หลังจากไม่ได้เห็นหน้ามานาน ดูจากรอยฟกช้ำและบาดแผลที่เห็นได้ชัดตามตัวของเธอแล้ว คงจะมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างการสอบปากคำ ขาของเธอก็กะโผลกกะเผลก แม้ว่าจะอ่อนแรง
ผู้พิพากษาปรากฏตัวขึ้นทันทีที่เธอผู้มีตาโหลเหมือนกับไม่ได้นอน มายืนอยู่ตรงที่ของนักโทษซึ่งอยู่ตรงกลางของห้องศาล
แม้จะไม่รู้ชื่อและไม่เคยเห็นหน้า แต่ผู้พิพากษาก็เป็นใครสักคนที่สืบทอดสายเลือดของราชวงศ์
เหล่าราชวงศ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจนั้นได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของเมืองหลวง เพราะไม่มีอาณาเขต และยังเพื่อควบคุมไม่ให้พรรคขุนนางมีอำนาจมากเกินไป
ผู้พิพากษานั่งลงตรวจดูเอกสารที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครั้งหนึ่ง และเมื่อการประกาศการพิจารณาคดีเริ่มขึ้น เธอก็ถามถึงความผิดของเอ็มม่าทันที เพราะผลการพิพากษานั้นชัดเจนอยู่แล้ว
“คุณยอมรับผิดในข้อหา ‘พยายามฆ่าเลดี้อาเรีย โรสเซนต์’ หรือไม่”
“…….”
เอ็มม่าที่ปิดปากตัวเองไว้แน่นนั้นไม่มีคำตอบหรือการเคลื่อนไหวใดๆ
เธอทำเพียงแค่ก้มหัวเล็กน้อยมองลงไปที่พื้น นัยน์ตาของผู้พิพากษาดูเย็นชากับท่าทีของเธอที่ปฏิเสธการยอมรับ ถึงแม้จะมีหลักฐานและพยานทั้งหมดอยู่แล้วก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้นจะถามอีกครั้ง ยอมรับไหม”
“…….”
รอบนี้เองก็ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมา ผู้พิพากษาถอนหายใจพลางส่ายหัว เธอคงจะไม่พอใจที่เอ็มม่าเอาแต่ถ่วงเวลาแบบนี้ เนื่องจากนี่เป็นการพิจารณาคดีที่ไม่ว่าอย่างไรผลการพิจารณาก็ออกมาหมดแล้ว
“…ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องดำเนินการตามที่ระบุไว้ในเอกสาร”
เธอเขียนอะไรสักอย่างและประทับตราลงบนเอกสาร แล้วจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
เนื่องจากโทษของนักโทษได้กำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืดเวลาการพิจารณาคดีอีกต่อไป อาเรียก็เลยคิดว่ามันจบลงแล้ว แต่ผู้พิพากษากลับมองไปรอบๆ ห้อง แล้วเอ่ยปากพูด
“เลดี้อาเรีย โรสเซนต์อยู่ที่นี่ไหมคะ”
อาเรียตอบกลับเบาๆ เมื่อจู่ๆ ชื่อของตัวเองก็ถูกเรียก
“คะ อ๊ะ ค่ะ…”
จากนั้นผู้พิพากษาก็หันสายตามายังอาเรีย เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดไว้ และค่อยๆ ขมวดคิ้ว
ด้วยความที่ผู้พิพากษาแสดงสีหน้าอย่างชัดเจนเช่นนั้น อาเรียจึงเอียงคอด้วยความสงสัย ผู้พิพากษาที่จ้องมองอาเรียอยู่พักหนึ่งก็ส่ายหัว แล้วเริ่มถามคำถามเธอ
“เป็นความจริงหรือไม่คะที่คุณได้รับความเสียหายจากนักโทษเอ็มม่า”
“อ๊ะ ค่ะ… ได้ยินมาเช่นนั้นค่ะ”
“แล้วคุณคิดจะยกโทษให้เธอหรือไม่”
อาเรียที่แสร้งทำเป็นเศร้ากับคำถามไร้สาระนั้น เบิกตากลมโพลง เหล่าผู้ฟังเองต่างก็จ้องมองไปที่ผู้พิพากษาด้วยสีหน้าสงสัยว่าเธอถามอะไรของเธอ
อาเรียตกใจ ทำให้ไม่ได้ตอบกลับไป เธอจึงอธิบายถึงเหตุผลของคำถามนั้น
“ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ มีคำร้องเรียนเป็นสิบๆ เรื่องส่งมาถึงค่ะ เป็นคำร้องเรียนจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามจำนวนมาก ซึ่งขอให้อภัยโทษให้นักโทษน่ะค่ะ ดิฉันเพิ่งเคยได้รับคำร้องเรียนมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ดิฉันคิดว่าน่าจะมีเหตุผลอื่นอีก ก็เลยถามดูเท่านั้นเองค่ะ”
และเธอยังเสริมท้ายปนแสร้งหัวเราะไปอีกว่า ‘แต่ไม่มีสินะคะ’ เหมือนกับว่ามันไร้สาระ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคำร้องเรียนนับสิบมาถึงนักโทษที่มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเธอจะสงสัยว่าอาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนก็คงจะไม่แปลก ดังนั้นเธอก็เลยเจตนาพูดเช่นนั้น ความหวังอันน้อยนิดปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเอ็มม่า
แน่นอนว่าถ้าเป็นมิเอลก็คงจะยกโทษให้เธอในสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว เพราะต่อให้เธอบอกว่าเธอยกโทษให้ แต่ก็จะโดนลงโทษสถานหนักตามกฎหมายอยู่ดี
แต่ถ้าหากอาเรียผู้เป็นผู้เสียหาย พร้อมด้วยเหล่าขุนนางให้อภัย เธอก็จะสามารถเลี่ยงโทษประหารชีวิตได้
ทว่าไม่ใช่กับอาเรีย
เธอไม่ใช่หญิงชั่วเงอะงะที่บุ่มบ่ามแสร้งทำเป็นคนดีโดยไม่มีแผนอะไร
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่คิดจะยกโทษให้กับความผิดของเอ็มม่าค่ะ เพราะเธอตั้งใจจะทำร้ายฉันอย่างไม่มีเหตุผลอะไร… ก็เลยคิดว่าอาจจะมีคนที่ตกเป็นเหยื่ออีกก็ได้… ดิฉันแค่อยากให้เธอชดใช้ความผิดบาปที่เธอก่อไว้ให้ได้น่ะค่ะ”
พออาเรียตอบกลับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ผู้ฟังหลายคนที่นั่งอยู่ในห้องศาลต่างก็ชื่นชมประทับใจเสียจนลืมเวลาและสถานที่ ผู้คนส่วนใหญ่แสดงสีหน้าเป็นนัยว่าเธอทำถูกแล้ว
และตรงกลางนั้นเธอก็เห็นเอ็มม่าตกอยู่ในความสิ้นหวัง
“ถ้าเช่นนั้นแล้วก็คงต้องทำตามที่เลดี้อาเรีย โรสเซนต์ ผู้เป็นผู้เสียหายกล่าวสินะคะ”
ผู้พิพากษายกริมฝีปากขึ้นประกาศจุดจบของเอ็มม่า ราวกับเธอได้ฟังคำตอบที่เป็นที่น่าพอใจ
มันเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก
“นักโทษเอ็มม่าถูกตัดสินโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอ”
เอ็มม่าที่ได้ยินดังนั้น ก็ทรุดตัวลงไปนั่ง เธอคาดหวังอะไรกับผลการพิพากษาที่เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วกัน อาเรียมองดูสีหน้าของมิเอลที่นั่งอยู่ข้างท่านเคานต์
เธออ้าปากค้างอย่างดูไม่มีการศึกษา มองจ้องไปที่เอ็มม่า แล้วตัวสั่นระริกราวกับจะล้มลงไปเสียเดี๋ยวนั้น ดังนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ในวันนี้ที่คนที่สังเกตเห็นนั้นไม่ใช่เคาน์ติส แต่เป็นท่านเคานต์
“…ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนแล้วกัน”
ถึงแม้เธอจะไม่พอใจ แต่เพราะเธอเป็นบุตรีแท้ๆ ของตัวเอง ท่านเคานต์จึงบอกว่าไปก่อนดีกว่า แล้วลุกออกจากที่นั่งไป แต่เคาน์ติสพยักหน้าเงียบๆ เแทนการตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
“ไม่เป็นไรอะไรใช่ไหม อาเรีย”
อาเรียรู้สึกถึงมืออุ่นๆ ของแม่เธอที่มาจับมือเธอ แล้วพยักหน้า เคนเองก็ไม่ได้ตามพ่อของเขาไป แต่มองมาทางอาเรียด้วยสายตาเป็นห่วง
ท่านเคานต์เองก็พยายามจะพูดบางอย่างปลอบใจเธอ แต่ก็ปิดปากไม่พูด และบังคับให้มิเอลที่กำลังมองเอ็มม่าซึ่งหมดแรงลงไปกองอยู่กับพื้นและเหม่อมองมาทางนี้ ลุกยืนขึ้น ราวกับตัดสินใจว่าพาเธอออกไปโดยเร็วคงจะดีกว่า
“…มิเอล!”
“ตายจริง…!”
ในตอนนั้นเอง
จู่ๆ มิเอลก็ล้มลงไปกับพื้น ท่านเคานต์ตกใจ รีบเข้ามาประคองเธอ เคาน์ติสเองที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาตลอดก็รีบเข้าไปหามิเอล
ด้วยเสียงของเคนที่ตะโกนเรียกหาแพทย์ ทำให้ที่ประชุมเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นทันที
“นังสารเลว! นังชั่ว! ทั้งหมดเป็นเพราะแก! แกต่างหากที่สมควรตาย! โอ้ย!”
เอ็มม่าที่เฝ้ามองอยู่สาปแช่งอาเรีย และเธอก็โดนหมัดของเหล่าทหารชก ทำให้เธอหมดสติและโดนลากออกไป
ช่างน่าเสียดายที่เธอจะไม่สามารถทำเรื่องชั่วๆ เพื่อเจ้านายของเธอเองได้อีกต่อไปแล้ว
อาเรียรีบวิ่งไปหามิเอลที่ล้มพับลงไป แสร้งทำเป็นดูสีหน้า แล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
“มิเอล… น่าสงสารจริงๆ เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้หรือว่าเธอเป็นคนสั่งให้เอ็มม่ากับเบอร์รี่เอายามาใส่ในชาฉันน่ะ”
ทันใดนั้นดวงตาของมิเอลก็ลืมตาพรึบเหมือนกับว่าเธอยังไม่ได้หมดสติไปทั้งหมด
เธอตัวสั่นระริกและถามอาเรียว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร ในนัยน์ตาอันแดงก่ำอย่างชัดเจนนั้น ไม่มีดังเช่นความงดงามของเลดี้ชนชั้นสูงอยู่เลย
‘ฉันรอวันนี้มานานเท่าไรกัน!’
เหมือนกับตอนนั้นที่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาเป็นสายเลือด ตอนนั้นที่เธอโดนหัวเราะเยาะเย้ย แต่ทำได้แค่ร้องไห้คร่ำครวญ เหมือนกับตอนนั้น!
ตอนนี้และช่วงเวลานี้ที่เธอจะคืนสิ่งนั้นทั้งหมดกลับให้มิเอล
การแก้แค้นสำหรับเธอมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น แต่น้ำตาของเธอเกือบจะล้นออกมาเพราะความสะใจที่โถมเข้าใส่ไหลไปทั่วทั้งร่าง
‘ทำไมเธอไม่ลองร้องไห้คร่ำครวญและดิ้นรนเหมือนกับตัวฉันในอดีตดูล่ะ’
ภายในเหล่าผู้คนที่รู้สึกโล่งใจที่มิเอลสติกลับคืนมาแล้ว มีอาเรียที่พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งตามคาด
“ดูเหมือนมิเอลจะฟื้นแล้ว โล่งอกไปทีนะคะ แต่ถึงอย่างไร รีบไปให้หมอดูอีกทีคงจะดีกว่าค่ะ”
มิเอลหายใจถี่กับความสับสนอลหม่านอย่างฉับพลัน และกุมหน้าอกตัวเองไว้ เธอคงจะคิดไม่ถึงว่าหญิงชั่วโง่ๆ คนนั้นจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้
อาเรียหวังให้เธอกรีดร้อง แล้วสบถคำหยาบออกมาเสียหน่อย แม้แต่ในสถานการณ์ที่เอ็มม่าผู้เปรียบเสมือนเป็นมารดาของเธอกำลังจะถูกประหารเช่นนี้ เธอก็ไม่ได้แสดงสิ่งนั้นออกมาให้เห็นมากนัก
หากมองในแง่หนึ่งแล้ว เธอคงจะเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งมากกว่าตัวเองไม่ผิดแน่
“ท่านเคานต์ตระกูลโรสเซนต์ครับ!”
เรนฝ่าฝูงชนอลหม่านนั้นมา แล้วปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วเขาก็บอกว่าโรงพยาบาลที่ตัวเองรู้จักอยู่ใกล้ๆ นี้ และเร่งให้ท่านเคานต์เคลื่อนตัวไปที่นั่นโดยเร็ว
พวกเขาขยับตัวเคลื่อนไหวตามที่เขาบอกทันทีอย่างว่าง่ายเพราะเรนเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทั้งตระกูลท่านเคานต์
ระหว่างนั้น เรนก็กระซิบบอกจุดประสงค์เดิมทีของเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบาขนาดที่ให้ได้ยินเพียงแค่อาเรีย
“มีคนรอเลดี้อยู่ครับ”
อาเรียค่อยๆ พยักหน้า รู้ว่าคนที่เรนพูดหมายถึงใคร
อย่าบอกนะว่ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเป็นห่วงหรือ หรือเพราะตระหนักถึงธาตุแท้อื่นของเธอที่ทำการใหญ่ขนาดนี้
เคนมองดูอาเรียลุกออกจากที่นั่งไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่ได้พูดคุยกับเรากันท่ามกลางความอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ เขามองท่าทีนั้นด้วยความสงสัย ก่อนจะตามหลังเธอไป
…………………………………………………..