พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 105
“นี่ลูกคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมบอกว่าจะเข้าร่วมงานแบบนั้นกันล่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าทุกคนไม่พอใจกันหมดแล้วน่ะ”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เคาน์ติสก็ตามอาเรียขึ้นมาที่ห้องและถามขึ้น เธอขึ้นเสียงราวกับไม่สามารถเข้าใจได้ถึงการกระทำของอาเรีย ดูเหมือนเคาน์ติสกำลังคิดว่าในสถานการณ์ที่คุกรุ่นเช่นนี้นั้น การกระทำของอาเรียไม่ต่างไปจากการเอาน้ำมันเข้าราดเลย
อาเรียปิดประตูห้องและสังเกตไปรอบๆ ด้วยหางตาว่าไม่มีคนอื่นอยู่แล้วจริงๆ จากนั้นเธอหันกลับมาทางเคาน์ติสด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ”
“…อาเรีย”
“ลูกรับประกันได้ว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกที่เลวร้ายอย่างแน่นอนค่ะ”
ไม่สิ ท่าทีของท่านเคานต์จะต้องเปลี่ยนไปอย่างมากแน่ๆ และมิเอลก็จะไม่สามารถดูถูกฉันได้อีกต่อไป
‘ไม่แน่ บางทีอาจจะพยายามสุดแรงเกิดเพื่อดึงไปเป็นพวกของตนก็ได้’
เพราะความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทในฐานะนักลงทุน A นั้น เป็นเพียงการร่วมมือกันเพื่อสร้างวิทยาลัยเท่านั้น แต่ขุมอำนาจที่อาเรียสั่งสมเอาไว้นั้นตั้งตนอยู่ตรงกลางไม่เลือกข้างฝ่ายใด
ในตอนนี้ทุกอย่างถูกจัดการภายใต้ขอบเขตของบารอนเวอร์บูม จึงยังไม่มีท่าทีเกี่ยวกับเรื่องการเมืองแต่อย่างใด แต่หลังจากอาเรียเปิดเผยตัวตนออกไปแล้ว สถานการณ์จะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
‘แน่นอนว่าฉันต้องเลือกเข้าข้างคุณอาซอยู่แล้วละ’
***
“วันนี้เลดี้ดูงดงามมากเลยค่ะ นานแล้วนะคะที่ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ สวยเหมือนนางฟ้าเลยค่ะ”
อาเรียหันไปมองเจสซี่ที่ไม่ได้พูดจาเกินจริงแต่อย่างใด ก่อนจะหันมาสำรวจตัวเองในกระจก แม้ว่าชุดและเครื่องประดับที่เตรียมไว้สำหรับวันนี้จะเปล่งประกายดูสวยงามเข้ากันก็ตาม แต่มันกลับเข้ากับรูปโฉมอันสง่างามของอาเรียได้อย่างเป็นธรรมชาติ แลดูงดงามเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้แต่มิเอลที่ดูสง่างามและไอซิสที่มีรูปโฉมงดงามโฉบเฉี่ยวก็ยังยากที่จะใส่ของพวกนี้ให้ออกมาสวยงามอย่างพอดี
เมื่อก่อนก็เช่นเดียวกัน เธอมั่นใจว่ารูปโฉมของเธองดงามไม่เป็นสองรองใคร เช่นเดียวกับที่มิเอลมีต้นกำเนิดอันสูงศักดิ์ เธอเองก็มีรูปร่างหน้าตางดงามมาแต่กำเนิด ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะรูปโฉมนี้ก็ได้ ที่ทำให้เธออยู่รอดในอดีตมากกว่ายี่สิบปี
‘ถ้าฉันไม่มีความงามเป็นอาวุธแล้วละก็ คงจะถูกมิเอลฆ่าตายก่อนจะอายุยี่สิบปีไปแล้วก็ได้’
เพราะไม่มีใครรักลูกสาวโสเภณีที่นิสัยน่ารังเกียจและไม่มีอะไรน่าสนใจแบบเธอได้
แต่ช่างโชคดีที่ตอนนี้พระเจ้าได้เข้าข้างเธอแล้ว นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่มีผู้ใครเทียบได้ ตอนนี้เธอสร้างตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จอีกต่างหาก
อาเรียยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และออกเดินทางไปยังงานพิธีเปิดวิทยาลัยที่ตนเองลงทุนพร้อมกับเจสซี่และแอนนี่ที่แต่งตัวสวยงามเช่นเดียวกับเธอ
“…แม่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมลูกต้องมาที่นี่ด้วย”
เคาน์ติสเดินออกมาเพียงลำพังได้กล่าวขึ้น
สีหน้าของเธอยังดูอึมครึมอยู่เช่นเดิม อาเรียจับมือมารดาของเธออย่างแผ่วเบา เพราะเดี๋ยวใบหน้าที่ดูอึมครึมนั้นจะต้องเปลี่ยนเป็นสีหน้าประหลาดใจและดีใจอย่างแน่นอน
อาเรียขอบคุณเคาน์ติสที่ยอมมาร่วมงานซึ่งน่าอึดอัดใจแบบนี้เพื่อลูกสาวของตน ทั้งที่เธอรู้ว่าท่านเคานต์จะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
“รออีกไม่นานก็จะได้รู้แล้วละค่ะ”
เพราะวิทยาลัยอยู่ใกล้กับพระราชวัง พวกเธอจึงถึงที่หมายอย่างรวดเร็วโดยไม่มีช่องว่างให้ได้พูดคุยกันมากเท่าไร ตัวอาคารหรูหราดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับจะโอ้อวดว่าเป็นผลงานของมกุฎราชกุมาร
ราวกับว่า
“…ตายจริง ถ้าบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังแล้วละก็ คงจะไม่มีใครค้านนะเนี่ย”
จะคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังก็ไม่แปลก
เคาน์ติสที่ลงมาจากรถม้าซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่ อาเรียเองไม่เคยเห็นขั้นตอนระหว่างการก่อสร้างแม้แต่ครั้งเดียว พอได้มาเห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์เข้า เธอก็พยายามเก็บอาการและแสร้งทำตัวไม่สะทกสะท้านอะไร
‘ในเวลาสั้นๆ เขาสามารถสร้างตึกใหญ่โตได้แบบนี้เชียวหรือ คงจะทุ่มเงินไปไม่น้อยทีเดียว’
อาเรียมองไปรอบๆ ด้วยความชื่นชม เนื่องจากใกล้จะถึงเวลาเปิดพิธีแล้ว จึงเห็นฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ มีทั้งเหล่าขุนนางที่แต่งกายอย่างสวยงามเป็นระเบียบและสามัญชนที่แต่งตัวพื้นๆ
“ยินดีต้อนรับครับ”
ดูเหมือนบารอนเวอร์บูมกำลังรออาเรียอยู่ เขาถึงได้รีบออกมาต้อนรับเมื่อเห็นเธอเข้า
เมื่อได้เห็นรูปโฉมอันงดงามของอาเรีย เขาก็ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ชั่วขณะราวกับหยุดหายใจไปแล้ว จากนั้นเขาก็กลับมาตั้งสติได้และเริ่มแนะนำตัวก่อนจะช่วยดูแลความสะดวกให้กับสองแม่ลูก
เคาน์ติสไม่เคยแม้แต่จะนึกฝันว่าอาเรียจะรู้จักกับคนภายนอกได้ เธอเอาพัดป้องปากก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“เขาเป็นใครน่ะ”
“คนรู้จักทางธุรกิจน่ะค่ะ”
คนที่ตกใจกับคำตอบของอาเรียไม่ได้มีแค่เคาน์ติสเท่านั้น บารอนเวอร์บูมเองถึงกับหุบปากราวกับตกใจที่อาเรียพูดคำว่าธุรกิจออกมาทั้งๆ ที่เธอคอยปกปิดมันมาตลอด
“…ธุรกิจอย่างนั้นหรือ”
“ที่ผ่านมาลูกเบื่อๆ เลยได้ลองลงทุนไปนิดๆ หน่อยๆ ค่ะ ทำเป็นงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ น่ะค่ะ ไม่ได้ลงทุนใหญ่โตอะไรมากมาย”
เคาน์ติสเชื่อคำพูดของอาเรียตามที่บอกว่าได้รู้จักบารอนเวอร์บูมผ่านการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เป็นงานอดิเรก แล้วก้าวเดินต่อไป ดูเหมือนเธอไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวอาเรียแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญอะไรเท่าไร
แอนนี่ที่รู้ความจริงเรื่องนี้ยิ้มออกมาโดยไม่มีความหมาย ส่วนเจสซี่ที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้แต่เอียงคอไปมา
บารอนเวอร์บูมรีบเดินเข้ามาใกล้อาเรียซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า และกระซิบถามเธอเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ…”
“หมายถึงอะไรคะ”
“เปล่าครับ คือว่า…”
เมื่อเข้ามาใกล้ๆ เธอ เขาก็ได้กลิ่นน้ำหอมอันน่าหลงใหลโชยมาอ่อนๆ
แม้จะรู้ว่าเป็นน้ำหอมของใครในบรรดานักธุรกิจ แต่เขาก็อดใจเต้นไม่ได้จนหน้าแดงออกมา เคาน์ติสที่กำลังมองอยู่หุบพัดจนเกิดเสียง และส่งคำเตือนให้เขา
“ท่านบารอนคะ อาเรียลูกสาวดิฉันยังเป็นผู้เยาว์อยู่นะคะ”
ดูเหมือนเคาน์ติสจะไม่พอใจนักกับการที่บารอนซึ่งไม่ได้มีอะไรน่าสนใจแบบเขาแสดงความสนใจในตัวอาเรีย
สายตาของแอนนี่ฉายแววน่ากลัวออกมา บารอนเวอร์บูมตั้งใจจะพูดแก้ตัวออกไป แต่เพราะมีใครบางคนเรียกชื่ออาเรียออกมาก่อน เขาเลยต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้น
“อาเรีย! “
“ซาร่า! ท่านมาร์ควิส…! “
ทั้งๆ ที่คิดว่าทั้งคู่คงจะยุ่งจนไม่สามารถมาได้แล้วแท้ๆ แต่ซาร่าที่ได้รับจดหมายจากเธอ ก็เข้ามาทักทายอาเรียด้วยรอยยิ้มอันงดงาม
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือยังคะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณที่อุตส่าห์สละเวลามานะคะ ทั้งๆ ที่ยุ่งอยู่แท้ๆ “
อาเรียตอบออกไปเช่นนั้น พร้อมกับยิ้มอย่างเขินอายเหมือนตอนที่เธอได้พบกับซาร่าเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นแบบนั้นซาร่าก็เอามือไปลูบผมอันนุ่มสลวยของอาเรีย สัมผัสมืออันเบาบางราวกับกำลังทะนุถนอมเด็กน้อยที่มีค่าของตน
“โชคดีที่มีเวลาว่างพอดีค่ะ ท่านมาร์ควิสเองก็อยากรู้อยู่พอดีเลยถือโอกาสมาด้วยกันน่ะค่ะ”
ซาร่าคงจะรู้สึกเป็นกังวลจึงได้มา และหลังจากที่พวกเขาทักทายกับเคาน์ติสอย่างมีมารยาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว บารอนเวอร์บูมก็ได้พาพวกเขาเข้าไปในงาน
ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างไว้ข้างๆ อาคารส่วนกลาง มีเหล่าขุนนางฝ่ายสนับสนุนองค์รัชทายาทนั่งอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาเบิกตาโตเมื่อได้เห็นมาร์ควิสวินเซนต์ที่เข้ามาในงานเป็นคนแรก และก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นอาเรียที่เข้ามาต่อจากนั้น ทั้งคนที่รู้ว่าอาเรียคือใครและคนที่ไม่รู้จักเธอต่างก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
พวกเขาต่างงุนงงไม่รู้ว่าจะต้องแสดงออกอย่างไรต่อความงดงามเกินบรรยายนี้ จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ากำลังทำสายตาไร้มารยาทอยู่ จึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันหน้าไปอีกทาง
“เลดี้ซาร่าเนี่ย ไม่ว่าจะพบกี่ครั้งก็ยังดูสง่างามไม่เปลี่ยนเลยนะคะ”
“ชมกันเกินไปแล้วค่ะท่านเคาน์ติส ท่านเคาน์ติสสิคะยังดูสวยไม่สร่างเลย ดิฉันเกรงว่าตัวเองยังสวยเทียบกับท่านเคาน์ติสไม่ได้เลยค่ะ”
ต่างจากงานหมั้นอันเรียบง่ายที่ถูกจัดขึ้นเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เคาน์ติสไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากชมเพื่อนที่แสนน่ารักของอาเรีย ซึ่งจะจัดพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการในปีหน้าและกลายเป็นมาร์เชอเนสไปในที่สุด
อาเรียเดินทิ้งห่างพวกเธอและมองหาอาซ แม้จะยกความดีความชอบให้กับนักลงทุนแต่ในจดหมายเองก็บอกให้มาพบกันวันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเขาจะต้องมาถึงอยู่แล้วแน่ๆ
แต่ทว่ายิ่งรอนานจนใกล้จะถึงเวลาเปิดพิธีแล้วก็ตาม ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาซแต่อย่างใด บารอนเวอร์บูมก็คิดสงสัยเรื่องที่เขายังไม่ปรากฏตัวเสียทีจนไม่สามารถเก็บซ่อนความกระวนกระวายใจได้
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วละครับ ตามกำหนดการแล้วท่านปิโนต์นัวร์ หลุยส์จะต้องเป็นคนกล่าวเปิดพิธีน่ะสิครับ”
เพราะทั้งอาซและอาเรียไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ บารอนเวอร์บูมที่เป็นคนจัดการเรื่องพิธีเปิดวิทยาลัยแทนพวกเขา จึงได้เป็นกังวลจนหน้าถอดสี
‘ไม่น่า ปิโนต์นัวร์ หลุยส์ตัวจริงคงจะไม่โผล่มาหรอกใช่ไหม’
และในตอนที่อาเรียกำลังคิดว่านั่นไม่มีทางเป็นไปได้ และวุ่นวายใจที่เขายังไม่ปรากฏตัวออกมาเสียทีนั่นเอง
“อะ มาแล้วครับ”
เธอเห็นอาซที่ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนสักแห่งกำลังก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ
บารอนเวอร์บูมที่คลายความกังวลและโล่งใจอย่างหวุดหวิดนั้น เอียงคอและพูดท้ายเสียงสั่นเมื่อตระหนักได้ว่าอาซดูต่างจากปกติ
“แต่ทำไมการแต่งตัวถึงได้ดู…”
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวโพลนที่ปักดิ้นสีทองดูแปลกตาต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เข็มกลัดที่ติดตรงช่วงอกมีลักษณะเป็นตราประทับของราชวงศ์ซึ่งมีต้นแบบมาจากดอกทิวลิป สิ่งนั้นหากว่าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แล้วละก็ไม่สามารถสวมใส่มันได้เลย
เมื่อบารอนเวอร์บูมสังเกตเห็นสิ่งนั้นเข้า เขาก็หน้าซีดเผือดขึ้นมา
“ละ เลดี้คะ! ท่านผู้นั้น…! คือคนที่เราได้เจอที่ร้านของท่านบารอนเมื่อคราวที่แล้วนี่คะ…! “
แอนนี่คงรู้สึกถึงความไม่ปกติขึ้นมา เธอจำอาซได้และเรียกอาเรียด้วยใบหน้าถอดสี อาซจะขึ้นไปบนเวทีเพื่อสังเกตดูว่านักลงทุนได้มาเข้าร่วมงานด้วยหรือไม่ เขาปราดตามองตามที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายอยู่พักหนึ่ง
“…! “
และขณะนั้นเองเขาก็สบตาเข้ากับอาเรียโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาเบิกโพลงราวกับกำลังฉงนใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าเธอคงจะมาร่วมพิธีเปิดโรงเรียนเพื่อที่จะได้พบเขา
หลังจากที่อาซเดินขึ้นไปบนเวที ผู้คนที่รู้จักและถือเป็นคนใกล้ชิดของเขาก็ลุกขึ้นยืนแสดงความนอบน้อม รวมถึงคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ก็คาดเดาสถานะของเขาจากการแต่งกายและแสดงท่าทีเคารพต่อเขา
“ได้ยินมาว่าเจ้าชายเป็นผู้ลงทุนในครั้งนี้ คงจะเป็นท่านผู้นั้นสินะ…! “
เคาน์ติสชื่นชมและแสดงความนอบน้อมต่อเขา แม้ว่าเขาจะไม่ลงรอยกับฝ่ายขุนนางก็ตาม แต่เพราะคนของราชวงศ์นั้นถือเป็นผู้ที่ต้องให้ความเคารพยำเกรงนั่นเอง และเคาน์ติสก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่พวกเขาสู้กันอยู่แล้ว
ทุกคนในงานต่างทำแสดงความเคารพต่ออำนาจของเจ้าชาย หลังจากที่อาซมองดูขุมอำนาจของตนด้วยการสำรวจดูหน้าตาของแขกผู้มีเกียรติทีละคนแล้ว พิธีเปิดวิทยาลัยก็ได้เริ่มขึ้น
“ผมต้องขอขอบคุณทุกท่าน ณ ที่นี้ที่อุตส่าห์มาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของสถาบันความรู้แห่งใหม่ของราชอาณาจักรด้วยครับ”
เมื่ออาซกล่าวแสดงความยินดีขึ้นมา บารอนเวอร์บูมก็มีท่าทีซวนเซราวกับจะล้มพับลงไปเสียในตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งที่ตอนนั้นเขาบอกว่าตัวเองคือปิโนต์นัวร์ หลุยส์แท้ๆ! ตนเองถึงได้ปฏิบัติต่อเขาไปแบบนั้น! ถึงขั้นรู้สึกหมั่นไส้เขาที่เดินจับมืออาเรียออกไปต่อหน้าต่อตาอีกด้วย ภายในใจที่กำลังคร่ำครวญของบารอนเวอร์บูมแสดงออกมาให้เห็นผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน
เพราะยังไม่ได้จัดพิธีบรรลุนิติภาวะ ที่ผ่านมาอาซจึงไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ และในตอนนี้เขาเลือกที่จะใช้โอกาสนี้เปิดเผยตัวตนผ่านผลงานที่ประสบความสำเร็จของตนเอง
เสียงของอาซดังก้องขึ้นภายในห้องโถงอันเงียบงัน
“วิทยาลัยที่ถูกสร้างขึ้นในเมืองหลวงแห่งนี้นั้น มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ความรู้แก่บุคคลธรรมดาทั่วไปที่ไม่ใช่ขุนนางและมุ่งมั่นสร้างสรรค์บุคลากรที่มีศักยภาพในด้านธุรกิจครับ พูดให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือ…”
เมื่ออาซอธิบายถึงแนวทางและจุดประสงค์ของการก่อตั้งวิทยาลัย แขกทั้งหลายต่างก็เบิกตาโพลง แม้จะเคยได้ยินข่าวลือมาพอประมาณ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ฟังรายละเอียดที่ถูกต้อง
ผู้คนที่เคยคิดว่านี่เป็นสถาบันที่สร้างขึ้นเพื่อเหล่าขุนนางอย่างที่เคย ต่างเริ่มซุบซิบนินทากันเงียบๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดมาจะสามารถเป็นไปได้จริงๆ น่ะหรือ
จากนั้นเมื่อการบรรยายจบลง อาซก็ปราดตามองไปยังบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย เขาเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงนักลงทุน
“แน่นอนว่าธุรกิจในครั้งนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะมีผู้ที่เต็มใจช่วยลงทุนให้ครับ”
ดูเหมือนอาซจะคิดว่านักลงทุนไม่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ เพราะทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างเป็นคนที่เคยเห็นหน้ากันมาแล้ว
หลังจากที่เขาพูดจบ ห้องโถงก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ เนื่องจากนี่เป็นจังหวะที่นักลงทุน A ควรจะปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่มีผู้ใดลุกออกมาจากที่นั่งเลย
สีหน้าของบารอนเวอร์บูมที่ตกตะลึงเมื่อได้รู้ตัวตันที่แท้จริงของอาซนั้น กลับยิ่งดูตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
อย่าบอกนะว่าอาเรียจะเปิดเผยตัวออกมาน่ะ ท่าทางของบารอนเวอร์บูมดูไม่ค่อยสู้ดีนัก หากเขาเป็นลมหมดสติไปในตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
บารอนเวอร์บูมที่อยู่ในสภาพนั้น ส่งสายตามาทางอาเรีย เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเงียบๆ
“…อาเรีย”
เคาน์ติสที่นั่งอยู่ข้างๆ เรียกชื่อเธอออกมา และเนื่องจากที่นั่งของเธออยู่ใกล้กับเวทีอาซจึงหันสายตามายังเธออย่างเป็นธรรมชาติ
อาเรียสบสายตาที่แสดงถึงความงุนงงของเขาอย่างผ่าเผย และค่อยๆ ขึ้นบันไดที่อยู่ข้างเวทีอย่างช้าๆ
“…เลดี้อาเรีย”
อาซแสดงท่าทีงุนงงเมื่อได้เห็นเธอขึ้นมาบนเวทีอย่างกะทันหัน และค่อยๆ เอ่ยชื่อเธอออกมา
สีหน้าท่าทางของอาเรียดูเย่อหยิ่งและสง่าผ่าเผยราวกับดอกไม้งามที่เบ่งบานอยู่บนยอดหน้าผาสูง เธอใช้มือข้างหนึ่งจับชายกระโปรงไว้และค่อยย่อเข่าช้าๆ แสดงความเคารพต่อมกุฎราชกุมาร
อาซขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจในเจตนาของเธอ อาเรียทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะสดใส
“หม่อมฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทรงกรุณา ‘เชิญ’ หม่อมฉันมาในโอกาสอันมีค่าเช่นนี้นะคะ เจ้าชาย”
ไม่จริงน่า…!
อาซจ้องอาเรียด้วยแววตาตกตะลึง เขาไม่สามารถควบคุมสีหน้าตกใจเอาไว้ได้ เมื่อได้ลองนึกถึงข้อสันนิษฐานที่ดูไม่น่าเชื่อขึ้นมา
………………………………………