พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 116
* * *
“มาแล้วหรือครับ”
บารอนเวอร์บูมต้อนรับอาเรียด้วยรอยยิ้มอันสดใสทันทีที่เธอมาถึงโรงเรียน
และด้วยสายตาที่เขาส่งให้แอนนี่ที่อยู่ข้างหลังเธอนั้น ก็เป็นการบอกให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้คืบหน้าไปไม่น้อย
อาเรียยิ้มกว้างให้กับท่าทีนั้น และเอ่ยปากพูด
“ต้องการเวลาคุยกับเธอสักหน่อยไหมคะ”
“…ครับ มะ ไม่ครับ!”
พอเธอแซวเขาเล่นเช่นนั้น บารอนเวอร์บูมก็สะดุ้งตกใจ และโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ แอนนี่เองก็ทำเป็นพัดหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ในตอนที่อาเรียรู้สึกว่าทั้งคู่ดูน่ารักดีเลยตั้งจะแซวเล่นต่ออีกหน่อยนั้นเอง
“เลดี้อาเรีย!”
ใครบางคนเรียกชื่อของอาเรีย
เป็นไปไม่ได้ เมื่อเธอหันกลับไปตามเสียงที่ได้ยิน ก็เห็นซาร่าที่แต่งชุดเต็มยศยืนอยู่ตรงนั้น
สายตาของผู้คนจับจ้องมาที่เธอผู้พาอัศวินมาด้วยถึงสามคน อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ได้มากับมาร์ควิสวินเซนต์ผู้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา
“เลดี้… ซาร่า”
แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ จดหมายเชิญก็ไม่ได้ส่งไป และนี่ก็ไม่ใช่งานอันเลิศเลอที่น่าเชิดหน้าชูตาเสียหน่อย แถมยังไม่มีแม้แต่มาร์ควิสวินเซนต์มาคอยเป็นห่วงเดินตามเธอด้วย
เพราะอะไรกัน อาเรียไม่สามารถซ่อนความสงสัยที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของซาร่าได้ แต่ซาร่าก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และยื่นจดหมายที่ถืออยู่ในมือให้เธอ
“คำตอบค่ะ อาจจะช้าไปหน่อยนะคะ เพราะว่าฉันมัวแต่คิดกังวลอยู่นาน แล้วก็เพราะฉันโน้มน้าวท่านมาร์ควิสน่ะค่ะ”
คำตอบ …อย่าบอกนะว่าเป็นจดหมายที่ฉันขอให้เธอมาเป็นคุณครูที่โรงเรียนครั้งที่แล้วน่ะ!
แม้เธอจะคิดว่าซาร่าตอบช้าไปเสียหน่อย แต่เธอก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะซาร่าต้องพิจารณาไปถึงเรื่องตำแหน่งการเมืองด้วย
แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะเอามาให้ด้วยตัวเองแบบนี้ และยังด้วยใบหน้าอันน่ารักและน่าเอ็นดูปานนั้นอีก เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าซาร่าคงจะไม่ปฏิเสธเพราะเป็นคำขอของตนเอง แต่ความจริงเธอก็แอบเป็นกังวลอยู่ในใจ
อาเรียรีบเปิดจดหมายที่ได้รับมาจากซาร่าดู
เนื้อความจดหมายค่อนข้างกระชับ ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเนื้อความที่ถูกใจอาเรียอย่างสุดๆ
‘ฉันจะรับข้อเสนอของอาเรียผู้น่ารักเอาไว้ค่ะ’
…แล้วอย่างนี้ฉันจะไม่ชอบซาร่าได้อย่างไรกัน
หลังจากอ่านจดหมายของซาร่า ก็ไม่มีทั้งอาเรียที่เป็นดาวของอาณาจักร หรือนักลงทุนA ที่มานั่งสนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง แล้วแสร้งทำเป็นสง่างามอีกต่อไป
“ในเมื่อเลดี้กำลังทำเรื่องดีๆ อยู่แบบนี้ ฉันจะปฏิเสธลงได้อย่างไรกันคะ”
“ซาร่า…!”
อาเรียซึ่งลืมทั้งเวลาและสถานที่นั้นโผเข้ากอดซาร่า ก่อนที่ซาร่าจะพูดจบเสียอีก บารอนเวอร์บูมที่เพิ่งเคยเห็นท่าทีของอาเรียเช่นนี้เป็นครั้งแรง เบิกตากลมโต และแข็งราวกับหิน
“ฉันตกใจมากที่เลดี้จำความฝันที่ฉันเคยพูดลอยๆ ไว้ครั้งหนึ่งได้ ฉันคิดว่าความฝันนั้นมันอยู่ไกลเกินจะเอื้อม ก็เลยลืมไปแล้ว แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าโอกาสนั้นจะมาหาเช่นนี้”
ซาร่าพูดพลางลูบผมของอาเรีย สีหน้าของเธอดูประทับใจเป็นอย่างมากเสียจนถ้าหากน้ำตาไหลรินออกมาตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ต่างจากเมื่อกี้ที่เธอดูนิ่งเฉยราวกับทนเก็บมันมาตลอด
ตอนนี้อาเรีย หรือรูปลักษณ์ภายนอกของเธอนั้น โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงเป็นท่าทีที่ดูค่อนข้างแปลก แต่ซาร่าและอาเรียก็ตกอยู่ในโลกที่มีเพียงพวกเธอสองคน โดยไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่หลั่งไหลเข้ามา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเย้ยพวกเธอ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ใครจะหัวเราะได้ลง เมื่อทั้งคู่กำลังพึ่งพิงและแบ่งปันความรู้สึกซึ่งกันและกันถึงขนาดนั้น
“ท่านมาร์ควิสวินเซนต์ไม่ได้เกลียดฉันใช่ไหมคะ”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรคะ ท่านมาร์ควิสวินเซนต์ชอบเลดี้จะตายไปค่ะ ชมเลดี้ไม่หยุดเลยค่ะว่าอายุแค่นี้แต่เก่งจริงๆ เพียงแต่ว่า… เขาเป็นกังวลนิดหน่อยที่เลดี้เข้าไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายน่ะสิคะ”
ซาร่าตอบเช่นนั้นแล้วสังเกตสายตาของผู้คนรอบๆ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังดูเป็นกังวล เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมือง
และอัศวินของอาเรียและซาร่าที่สังเกตเห็นบรรยากาศนั้น ก็มายืนล้อมพวกเธอปิดกั้นสายตาจากคนรอบข้าง แต่นั่นก็ไม่พอที่จะปิดกั้นไปถึงการสนทนาของพวกเธอ
อาเรียจับมือซาร่า ขอให้เธอเข้าไปคุยกันข้างใน
บารอนเวอร์บูมผู้ทำความเข้าใจเหตุการณ์อะไรได้อย่างรวดเร็วนั้น รีบจัดการเปลี่ยนที่นั่งให้อาเรียและซาร่า ทำให้อาเรียสามารถพูดคุยกับซาร่าได้อย่างอิสระตลอดทั้งงาน
“แล้วก็เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ… แต่คิดว่าต้องบอกเลดี้ไว้ ความจริงดยุกเฟรดเดอริกมาหาท่านมาร์ควิสอยู่ตั้งหลายครั้งเลยค่ะ”
“…ดยุกหรือคะ”
“ค่ะ ไม่ใช่แค่ท่านมาร์ควิสเท่านั้นนะคะ แต่ดูเหมือนจะไปหาท่านอื่นๆ ด้วยเหมือนกันค่ะ เหล่าท่านที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดน่ะค่ะ ท่านยังมาหาคุณพ่อของดิฉัน แม้จะมาจากตระกูลไม่ได้สำคัญอะไรด้วยค่ะ”
“…ตายจริง”
เป็นเพราะดัชเชสไม่ได้ทำผลงานอะไรโดดเด่น หรือเป็นเพราะอาซขยายอำนาจของเขากันนะ หรืออาจจะเพราะทั้งสองอย่าง แต่ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นดยุกก้าวออกมาทำเองแบบนี้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน
‘…คุณอาซจะไม่เป็นไรใช่ไหมนะ’
เขารู้ความจริงเรื่องนี้หรือเปล่านะ เขาคงจะกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่ ถึงได้ยุ่งขนาดที่นานๆ ทีจะโผล่มาให้เห็นแค่หน้า แล้วก็ไป…
เธอเชื่อว่าเขาจะทำมันได้ดีด้วยตัวของเขาเองได้ก็จริง แต่เธอก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้พอนึกไปถึงเขาในอดีตที่เคยหมดสิ้นหนทางมาก่อน ต้องรีบบอกเรื่องนี้ให้เขารู้โดยไวที่สุด…
เธอรู้สึกใจร้อนขึ้นมา เพราะยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าเขาจะมาเยี่ยม
ซาร่ากุมมืออาเรีย เหมือนกับว่าความกังวลนั้นผุดขึ้นมาให้เห็นบนใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ก่อนจะพูดต่อ
“ดูเหมือนว่าเพราะอย่างนั้นท่านมาร์ควิสก็เลยตัดสินใจแล้วน่ะค่ะ”
“…ตัดสินใจหรือคะ”
“ค่ะ กลายเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถคงความเป็นกลางเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ”
แม้จะไม่ได้ถามว่าเขาตัดสินใจที่จะสนับสนุนฝั่งไหน แต่เธอก็รับรู้ได้ เพราะถ้าหากมาร์ควิสวินเซนต์อยู่ฝ่ายดยุก ก็ไม่มีทางที่ซาร่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้
อาเรียเอ่ยปากถามซาร่าด้วยความโล่งใจเล็กน้อย
“มีท่านอื่นๆ ที่ตัดสินใจเหมือนกับท่านมาร์ควิสอีกหรือไม่คะ”
“อาจจะนะคะ เพราะพวกเขามักจะแวะมาหาท่านมาร์ควิสน่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ด้วยค่ะ พวกเขาทุกคนต่างเป็นท่านที่วิเศษและรักอาณาจักรของตัวเองค่ะ”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ฝั่งดยุกที่ทิ้งอาณาจักรตัวเอง และพยายามไปจับมือกับอาณาจักรอื่น
ในตอนนั้นเองที่เธอได้ยินซาร่าพูดเสริมว่าเหล่าขุนนางที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตลอด รวมถึงมาร์ควิสด้วยนั้น น่าจะได้เจออาซแล้ว ทำให้อาเรียโล่งใจ และเธอกลับมามีสีหน้าเป็นปกติได้อีกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นสาเหตุที่อีกใจหนึ่งของเธอไม่สบายใจก็คือเพราะเธอได้ยินข่าวลือเรื่องนี้จากซาร่า ไม่ใช่จากอาซ
ต่อให้เขาบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ ก็ไม่มีทางที่เธอจะเที่ยวเอาไปคุยโม้ต่อ แต่อาซก็ไม่ได้พูดอะไร และพูดแค่ว่าเขาสบายดี
ตัวเธอคิดถึงเขามากขนาดนี้ พลางตัวสั่นเทาด้วยความกังวล
‘เจอกันครั้งนี้คงต้องพูดอะไรเสียหน่อยแล้ว’
เธอตัดสินใจดังนั้น แล้วยืดหลังขึ้นตรงอีกครั้ง พร้อมกับเผยยิ้มอันงดงาม ถึงอย่างนั้นอาเรียที่ไม่ได้ปิดซ่อนความเมตตาของเธอ ก็ขึ้นไปยืนบนโพเดียมอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่ออาเรียขึ้นไปยืนบนเวที นักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับความเมตตากรุณาจากเธอนั้น ต่างมองเธอด้วยความเคารพและเกรงขาม
เธอแสดงความเมตตา ขานชื่อนักเรียนทีละคน ทีละคน และขานชื่อฮานส์เป็นคนสุดท้าย
เขาขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าสับสนที่ไม่รู้ว่าทำไมชื่อของตัวเองถึงถูกเรียกอีกครั้ง ในเมื่อเขาได้รับทุนการศึกษาอื่นเนื่องจากมีผลการเรียนอันโดดเด่นไปแล้ว
“ฉันขอสัญญาว่าจะสนับสนุนค่าครองชีพ รวมไปถึงทุนการศึกษาจนกว่าเธอจะสำเร็จการศึกษา เพราะเธอมีผลการเรียนดีเด่นและสติปัญญาเป็นเลิศค่ะ”
ทันทีอาเรียพูดจบ ผู้ชมก็ฮือฮากันเสียงดัง เพราะเป็นการสนับสนุนที่ไม่เคยมีมาก่อน
แถมไม่อยากจะเชื่อว่าไม่ใช่แค่ทุนการศึกษาธรรมดาๆ แต่สนับสนุนไปถึงค่าครองชีพ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำตามจุดประสงค์แรกเริ่มเดิมทีของโรงเรียนด้วยแท้ๆ
อาเรียยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฮานส์ที่ไม่อาจซ่อนความสับสนงุนงงของเขาไว้ได้ แล้วรีบหันไปมองว่าเจสซี่อยู่ไหน
เธอไม่ได้รับแม้แต่การสนับสนุน แต่เธอก็ท่วมท้นไปด้วยความประทับใจ พลางใช้ฝ่ามือปิดปากของเธอให้สนิท ทั้งที่มันเป็นแค่เงินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
“ฮานส์ ฉันไม่ได้ตัดสินใจให้เพียงเพราะความสัมพันธ์ในอดีตหรอก ดังนั้นฉันอยากให้เธอรับไว้โดยไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ”
เพราะเจสซี่จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเธอทำได้ดีละนะ
สุดท้ายอาเรียก็ตบไหล่ฮานส์เบาๆ แล้วลงมาจากเวทีพร้อมกับคำชื่นชมและยกย่องของทุกคน
และเธอก็หวังว่าความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้นเท่าที่เขาได้รับการสนับสนุนไป
* * *
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี เธออุตส่าห์ได้เจอซาร่าทั้งที ก็เลยพูดคุยกันอยู่สักพัก และกำลังเดินทางกลับ เธอสะดุดตากับเข็มกลัดแปลกๆ ที่ติดอยู่ที่หน้าอกของแอนนี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
‘จะว่าไปแล้วเหล่านักเรียนที่โรงเรียนก็ติดเหมือนกัน มันคืออะไรกันนะ’
เธอสงสัยเลยถามออกไป แอนนี่จึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง
“สังเกตเห็นแล้วหรือคะ มันเป็นผลงานแห่งความจงรักภักดีของดิฉันที่มีต่อเลดี้ค่ะ!”
“นั่นหมายความว่าอย่างไร”
พออาเรียถามกลับเพราะไม่เข้าใจคำตอบของเธอ แอนนี่ก็เริ่มเล่าเรื่องสุดยาวแสนยาว
“อันนี้ก็คล้ายกับเข็มกลัดที่เลดี้ให้มาครั้งแรกไม่ใช่หรือคะ”
“นั่นสินะ”
“ความจริงดิฉันไปอวดมาว่าได้รับเข็มกลัดอันนี้จากเลดี้น่ะค่ะ! บอกว่าเป็นหลักฐานว่าได้รับการยอมรับจากเลดี้ แล้วทุกคนก็เกิดอิจฉาขึ้นมาน่ะสิคะ ก็เลย…”
“ก็เลย”
แอนนี่เว้นช่วงไประยะหนึ่ง ซึ่งต่างจากปกติ แม้แต่เจสซี่ก็แสดงท่าทีสนอกสนใจ หูผึ่งไปกับเขาด้วย แม้แต่อัศวินที่ขึ้นรถมาด้วยกันก็ยังดูสงสัยใคร่รู้ ถึงจะไม่ได้แสดงอาการออกมา
แอนนี่พูดต่อพร้อมกับยืดอกออกกว้าง
“ก็เลยทำเข็มกลัดที่เหมือนกันแต่ราคาถูกขึ้นมาค่ะ! เพื่อแบ่งให้คนที่จงรักภักดีต่อเลดี้ค่ะ”
“ดังนั้นก็หมายความว่าเป็นผู้ติดตามของเลดี้ในรูปแบบหนึ่งใช่ไหม”
เมื่อเจสซี่เอียงคอถาม แอนนี่ก็ตอบเสียงดังว่าใช่แล้ว
“ก็ใช่น่ะสิ! เพราะพวกกลุ่มหรือกองกำลังอื่นๆ ก็มีสัญลักษณ์เฉพาะกลุ่มของตัวเองกันทั้งนั้น ก็นะ… เหล่าสามัญชนไม่มีของพวกนั้นใช่ไหมล่ะ ก็เลยทำขึ้นด้วยจุดประสงค์ว่า ‘พวกเราเองก็ลองทำดูสักครั้งเถอะ!’ แต่ก็ตายจริง ไม่คิดเลยว่าจะมีคนติดตามเลดี้มากมายขนาดนี้!”
“เพราะเลดี้เป็นคนที่สมควรจะได้รับสิ่งนั้นไงล่ะ”
เจสซี่ตอบราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว และยื่นมือออกไป ขอให้ตัวเองอันหนึ่ง แอนนี่สังเกตหน้าของอาเรีย แล้วบอกอย่างอ้อมแอ้มกับเจสซี่ว่าเดี๋ยวจะเอาให้ทีหลัง
‘เธอขายมันสินะ’
ถ้าเป็นแอนนี่ล่ะก็คงทำแบบนั้นแน่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัดราคาถูกแค่ไหน แต่ก็ยังต้องใช้จะเงินเพื่อผลิตมันขึ้นมา ดังนั้นก็คงสมควรแล้วที่จะได้รับเงินก็จริงอยู่ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะทำโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับตนผู้เป็นเจ้านายเลย
‘ก็ได้ เห็นว่ามันน่ารักหรอกนะ ครั้งนี้ฉันจะทำเป็นมองข้ามไปก็แล้วกัน’
แล้วก็ยังเป็นเรื่องดีที่จะทำอีกด้วย เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าสัญลักษณ์ที่สามารถรวมใจของผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น อาเรียก็ชอบที่เธอรีบบอกความจริง
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว เพราะเธอสนทนากับซาร่าค่อนข้างนานไปหน่อย
ถึงอย่างนั้น เหล่าเลดี้ที่มาในฐานะแขกของมิเอลก่อนที่เธอจะออกจากคฤหาสน์ ก็ยังคงอยู่ในสวน และเพลิดเพลินไปกับปาร์ตี้น้ำชา ไม่ยอมกลับบ้าน สำหรับปาร์ตี้น้ำชาที่จัดโดยหญิงสาววัยเยาว์แล้ว ถือว่าใช้เวลานานเกินไปหน่อย
ทันทีที่อาเรียลงจากรถม้า สายตาแหลมคมของเหล่าหญิงสาวที่มารวมตัวกันอยู่รอบๆ ต่างก็จ้องมองมาที่เธอ ภายในนั้นยังมีเหล่าหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้วปนอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเหล่าหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเสียจริงๆ
“งานเลี้ยงสนุกไหมคะ”
อาเรียทักทายบรรดาหญิงสาวผู้โง่เขลาด้วยท่าทางอันสง่างามไม่มีใครเกิน
สิ่งเดียวที่ดีกว่าเหล่าสามัญชนก็คือการแสร้งทำเป็นสูงส่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการเตือนว่ากิริยามารยาทของพวกเธอต่ำช้ากว่าสามัญชนพวกนั้น
“…แน่สิคะ ก็ได้รับเชิญจากท่านนั้นนี่คะ”
เหล่าหญิงสาวที่รู้สึกละอายใจ พวกเธอเริ่มดูหมิ่นดูแคลนอาเรีย ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บนเรือที่มีรูอยู่ทั่วลำและกำลังจะจมลง
“ตายจริง สร้อยข้อมือของเลดี้อาเรียดูมีเอกลักษณ์มากเลยนะคะนี่ เป็นสร้อยที่พวกสามัญชนนิยมใส่กันหรือคะ”
พอไม่มีเรื่องอะไรให้จับผิด พวกเธอก็ดูถูกไปถึงกระทั่งเรื่องสร้อยข้อมือที่เธอสวม ไม่รู้เสียแล้วว่าใครเป็นคนให้สร้อยข้อมือนี้มา
อาเรียสังเกตว่าพวกเธอสงสัยกันเหลือเกิน เธอจึงตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“ดูมีเอกลักษณ์ดีใช่ไหมละคะ สร้อยนี้เจ้าชายเป็นคนให้มาค่ะ”
“…!”
ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นศัตรูกับเจ้าชายมากขนาดไหน แต่เจ้าชายก็คือเจ้าชาย
พวกเธอดูถูกของขวัญของคนที่จะขึ้นเป็นเจ้าชายในอนาคตไปเสียแล้ว หากอาเรียบอกความจริงไป เธอก็อาจจะโดนข้อหาดูหมิ่นราชวงศ์ได้
ทว่าอาเรียรู้สึกว่าจะอยู่คุยกับเหล่าหญิงสาวโง่เง่านี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอจึงมองไปรอบๆ โดยไม่สนใจหญิงสาวที่หน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
ตรงท่ามกลางผู้คนที่มารวมตัวกันนั้น มีมิเอลที่ทำสีหน้าสดใสอยู่
‘เธอวางแผนอะไรอยู่กันแน่’
อาเรียคุยกับแอนนี่เพื่อให้เธอไปหากำหนดการวันนี้ของมิเอลมา แล้วขึ้นห้องไป
เธอสั่งให้ทำความสะอาดห้องของเธออีกครั้งหนึ่ง และเปิดหน้าต่างกว้าง เหลือบมองไปที่สวนอย่างสนอกสนใจ เผื่อมีอันตรายอะไรที่เธอไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะโชคร้ายหรือโชคดี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เลดี้คะ ดูเหมือนว่าเลดี้มิเอลจะไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกจากสนุกสนานไปกับงานเลี้ยงค่ะ”
ที่แอนนี่รายงานมาก็ไม่มีอะไรเช่นกัน
อารมณ์ของอาเรียสงบลงอย่างมาก เมื่อได้ยินเธอบอกว่ามิเอลไม่ได้ทำอะไรผิดปกติ
‘ฉันระแวงมากเกินไปหรือเปล่านะ’
ถึงอย่างนั้นเธอก็มองออกไปนอกหน้าต่าง พลางอ่านหนังสือในมือบ้างไม่อ่านบ้าง และเห็นท่านเคานต์กลับมาถึงคฤหาสน์ในตอนดึก
เธอสังเกตเห็นอีกว่ามิเอลที่สนุกสนานไปกับงานเลี้ยงนั้น ทักทายท่านเคานต์อย่างอ่อนหวาน และเคนที่ตามมาทางด้านหลังก็มองของมาทางห้องของเธอแวบหนึ่ง และยังเห็นครอบครัวท่านเคานต์ตัวจริงที่กำลังเดินเข้ามายังคฤหาสน์พร้อมกับขำกันคิกๆ คักๆ
เมื่อภาพปกติที่เห็นมาตลอดเข้ามาในสายตา ความตึงเครียดของเธอก็ค่อยๆ หายไป
เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตั้งใจจะนั่งพักด้วยท่วงท่าที่สบาย แต่ก็มีใครบางคนมาเคาะประตู
“พี่คะ น้องมีเรื่องจะคุยด้วย”
มิเอลนั่นเอง
ทั้งร่างของเธอกลับมาอยู่ในสภาวะตึงเครียดอีกครั้ง
“มีเรื่องอะไร”
“ออกมาก่อนเถอะค่ะ”
“ฉันกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ เธอพูดจากตรงนั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นน้องจะรอค่ะ”
คำตอบของมิเอลนั้นเด็ดขาด
ถ้าเป็นปกติแล้ว เธอก็น่าจะสั่งสาวใช้อะไรแบบนั้นแท้ๆ แต่นี่บอกว่าจะรออยู่นอกประตูอย่างนั้นหรือ อาเรียหยิบกล่องนาฬิกาทรายขึ้นมา เพราะสงสัยว่าอาจจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจะพลิกนาฬิกาทรายทันที เธอตัดสินใจได้ดังนั้นแล้วก็เปิดประตูออก
“…มีเรื่องอะไรจะพูดหรือ”
เธอถามไปเช่นนั้น แล้วจึงเห็นท่านเคานต์ยืนอยู่ด้านหลังมิเอล เขามีสีหน้าที่บอกว่าเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุ
มิเอลมองไปยังกล่องที่อาเรียถืออยู่พักหนึ่ง เธอยิ้มโดยไม่
แปลกมาก
อาเรียจึงใส่แรงเข้าไปที่มือที่ถือกล่องนาฬิกาทรายอยู่ แล้วค่อยๆ ออกมานอกห้อง และในตอนที่เธอขยับเข้ามาข้างๆ ท่านเคานต์นั้นเอง
มิเอลก็ผลักท่านเคานต์ที่รออยู่ตรงปลายบันไดลงไปข้างล่างเต็มแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
“…!”
ท่านเคานต์ที่กำลังตกบันไดลงไปพยายามคว้าข้อมือของอาเรียโดยอัตโนมัติ ทว่าสิ่งที่เขาจับนั้นไม่ใช่ข้อมือของเธอ แต่เป็นปลายสร้อยข้อมือที่อาซให้เป็นของขวัญ
มีเพียงสร้อยข้อมือของอาเรียที่ตกลงไปบนพื้นพร้อมกับท่านเคานต์ แล้วมิเอลก็กรีดร้องเสียงดังขึ้นมา
“ใครก็ได้! ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ! ท่านพี่ผลักท่านพ่อตกบันได!”
เธอบ้าไปแล้วจริงๆ หรือ!
เธอไม่คิดว่ามิเอลจะผลักพ่อของตัวเองตกบันไดแบบนี้ ทำให้ขาของอาเรียอ่อนแรงและทรุดลงไปนั่งลงกับพื้น เธอคิดว่ามิเอลจะพยายามฆ่าเธอ ซึ่งก็ยังดีเสียกว่า แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิเอลจะทำร้ายพ่อของตัวเองได้ลง!
‘นะ นาฬิกาทราย…!’
มือของเธอที่กำลังเปิดกล่องนั้นสั่นระริกด้วยความตกใจ แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นพันปี หัวใจของเธอเต้นแรงขนาดที่จะหลุดออกมาได้
โชคดีที่เธอเปิดกล่องนาฬิกาทราย แล้วหยิบนาฬิกาทรายขึ้นมาไว้ในมือได้ในทันที และในตอนที่เธอกำลังจะรีบพลิกมันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเหตุการณ์อันน่าสลดอย่างไม่น่าเชื่อราวกับภาพลวงตา
“เลดี้!”
คนคนนั้นคืออาซผู้มีสีหน้าซีดเผือด
ทั้งที่ไม่ใช่วันที่ต้องมาเยี่ยม ทั้งที่มีใครอยู่ด้วยแท้ๆ ทำไมกัน ทำไมถึงมาปรากฏตัวโดยใช้ความสามารถอย่างสะเพร่าเช่นนี้!
ท่านเคานต์ที่ตกบันไดลงไป มิเอลที่เบิกตากลมโตเมื่อเห็นอาซ หลังจากที่เธอแผดเสียง และอาเรียที่ล้มลงไปกองกับพื้น
อาซที่มองสถานการณ์ทั้งหมดนี้ภายในชั่วครู่ และพยายามทำความเข้าใจนั้นก็จับมืออาเรียขึ้นมา ทิ้งมิเอลที่แผดเสียงร้องเอาไว้และหายตัวไป
เหลือเพียงท่านเคานต์และมิเอลอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มามุงกัน ถามว่าเกิดอะไรขึ้น!
………………………………………………………