พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 129
เคนบอกให้บรรดาคนรับใช้ที่กำลังนวดไปตามแขนขาของทานเคานต์ให้ออกไปก่อน
“ตะ แต่คุณหมอ…”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับท่านพ่อสักหน่อย ไว้ค่อยมานวดใหม่แล้วกัน”
คุยกับท่านเคานต์หรือ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่พูดคุยได้หรืออย่างไร
คนรับใช้ต่างคิดเช่นนั้นและยังมีท่าทีลังเล แต่เคนก็ยังให้พวกเขาออกไปก่อนจะเดินไปนั่งที่ข้างหัวนอนของท่านเคานต์ที่ลืมตาขึ้นมามองเขา
“ท่านพ่อ”
เมื่อเขาเรียก ท่านเคานต์ก็กะพริบตา แม้สีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่การตอบสนองนั้นเหมือนกำลังถามว่าเรียกทำไม
ท่าทีที่ดูเหนือกว่านั้นทำให้เคนลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไปอีกครั้ง
“มิเอล… ตอนนี้น้องอยู่ในคุกครับ”
คำพูดของเคนทำให้แววตาของท่านเคานต์สั่นไหวอีกครั้ง
เขาคิดว่าเธอคงได้รับโทษเพราะเป็นคนผลักตนให้ตกลงไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะต้องเข้าไปอยู่ในคุก
เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่นานนักจึงยังไม่ได้ยินข่าวของมิเอล แน่นอนว่าสิ่งที่มิเอลทำคืออาชญากรรมที่น่ากลัว แต่หากปกปิดเอาไว้ให้เป็นแค่เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว เรื่องก็จบ
แต่คุกอย่างนั้นหรือ ได้อย่างไรกัน
ใครกันที่เป็นคนไปแจ้งความ เคนพูดต่อเมื่อเห็นท่านเคานต์เริ่มจะหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“เรื่องนั้น… น้องถูกจับด้วยข้อหาพยายามฆ่าท่านพ่อครับ และตอนนี้น้องก็กำลังลำบากเพราะผมยื่นเรื่องขอประกันตัวแต่ไม่ได้รับอนุญาต บางทีอาจเป็นเพราะ… เจ้าชายเข้ามาแทรกแซงระหว่างนั้นครับ”
ท่านเคานต์กลอกตาทันทีที่ได้ยินชื่อของเจ้าชาย เขายังตกใจเรื่องที่มิเอลเข้าไปอยู่ในคุก แต่ก็ดูเหมือนจะถามว่าเหตุใดจึงมีชื่อเจ้าชายออกมาด้วย
“เอ่อ… ที่จริงตอนแรกอาเรียถูกต้อนให้กลายเป็นคนร้ายครับ เพราะแบบนั้นเจ้าชายจึงเข้ามาแทรก”
เขาไม่อาจบอกความจริงทั้งหมดได้ดังนั้นจึงดึงเอาความผิดของตนเองออก ท่านเคานต์หลับตาลงทันทีที่ได้ฟัง มิเอลจงใจพาเขาไปยังหน้าห้องของอาเรีย เขาจึงพอจะเดาเรื่องราวได้คร่าวๆ
เคนรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะต่อให้ดันทุรังพูดเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา
“อย่างไรก็ตามมิเอลบอกว่าตัวเองพลั้งมือทำพลาดไป น้องเป็นห่วงท่านพ่อมากนะครับ น้องร้องไห้ทุกวันและรู้สึกผิด เพราะอย่างนั้นท่านพ่อช่วยมิเอลด้วยเถอะนะครับ”
คำพูดของเคนทำให้ท่านเคานต์หลุบตาลงต่ำ
ผิดไปแล้วอย่างนั้นหรือ
ในตอนนั้น ใบหน้าของมิเอลที่ผลักเขาตกจากบันไดตอนนั้นยังคงชัดเจนราวภาพวาด สีหน้าของเธอไม่ใช่สีหน้าของคนที่กำลังทำพลาดสักนิด เธอจงใจทำอย่างชัดเจน
แต่เคนกลับเอาแต่พูดกดดันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้สีหน้าของท่านเคานต์เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“…ในเมื่อท่านพ่อตอบอะไรไม่ได้ เช่นนั้นผมคงพูดมากไปเอง ท่านพ่อน่าจะเหนื่อยเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ ผมออกไปก่อนแล้วกันครับ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
เคนกำลังกลัวว่าเขาจะหลุดพูดความผิดของตัวเองหากยังช่วยแก้ต่างให้มิเอลมากไปกว่านี้ เมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสมเขาจึงรีบออกมาจากห้องของท่านเคานต์
เคนออกไปแล้ว ท่านเคานต์เหม่อมองเพดานอยู่ในห้องอันว่างเปล่าของตัวเองตามลำพังสักพักก่อนจะหลับตาลง
ในตาที่ปิดลงคู่นั้นปรากฏภาพบาปกรรมมากมายที่เขาเคยทำไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนพาให้น้ำตาคลอ
ลูกทั้งสองที่เคยคิดว่าอยู่ข้างตนกลับกลายเป็นคนอำมหิตไร้จิตใจ ขณะที่ภรรยาใหม่และลูกเลี้ยงกลับทุ่มเทให้เขาสุดหัวใจ
กระทั่งมิเอลที่ตนรักยิ่งกว่าสิ่งใดยังคิดจะฆ่ากันให้ตาย แม้เคนจะพยายามเป่าหูว่าเธอแค่พลั้งมือแต่ท่านเคานต์ยังจำสีหน้าของมิเอลตอนผลักตนเองได้ดีและรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้พลั้งมือ
น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดเมื่อคิดได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสร้างมาล้วนกลับตาลปัตร
ทั้งหมดคือเวรกรรมของเขาเอง
คือผลแห่งการกระทำของเขา
คืออดีตที่ไม่อาจหวนกลับและเพิ่งมาสำนึกได้เมื่อร่างกายต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเช่นนี้
ขณะที่น้ำตากำลังหลั่งรินเพราะความเสียดายและเกลียดชังเมื่อได้ย้อนกลับไปมองอดีตของตัวเองอยู่นั้น เคาน์ติสที่ออกไปดื่มชากับอาเรียก็เข้ามาพอดี
เคาน์ติสทำหน้าตาเป็นกังวลราวกับไม่เคยมีสีหน้าสบายใจมาก่อน เธอรีบเข้าไปหาท่านเคานต์ทันที
“คนรับใช้ไปไหนกันหมด ทำไมท่านถึงอยู่คนเดียวล่ะคะ รู้สึกดีขึ้นหรือยังคะ เอาน้ำไหม ไม่สิ ให้ดิฉันนวดให้ไหมคะ ตายจริง… ดูน้ำตานี่สิ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ!”
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเคาน์ติสเมื่อเห็นสภาพแย่ๆ ของตนทำให้น้ำตาที่เก็บกลั้นไว้ไหลออกมาอีกครั้ง แม้จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่สตรีผู้นี้กลับมีจิตใจอบอุ่นเสียยิ่งกว่าผู้ใด
ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาไม่สามารถแสดงออกได้ ความอึดอัดเศร้าเสียใจจึงได้แต่ตีรวนอยู่ภายในใจ
ไม่ว่าเธอจะรับรู้หรือไม่ เคาน์ติสก็ยังยิ้มอย่างสดใสพลางจับมือท่านเคานต์เอาไว้
“หมอเองก็บอกแล้วและท่านก็ฟื้นขึ้นมาเช่นนี้ ท่านจะต้องดีขึ้นในเร็ววันแน่นอน ดิฉันจะช่วยอย่างสุดความสามารถค่ะ”
แววตาของท่านเคานต์เป็นประกายระยิบระยับราวกับเขามองเห็นแสงแห่งความหวังออกมาจากใบหน้าของเคาน์ติสที่พูดเช่นนั้น
* * *
ด้วยคำมั่นสัญญาของเคาน์ติส การสั่งยาที่เหมาะสมของหมอประจำตระกูล และความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของทุกคนในคฤหาสน์ทำให้อาการของท่านเคานต์ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
อย่างที่หมอเคยพูดเอาไว้ว่าส่วนกระดูกสันหลังของเขาได้รับบาดเจ็บจากตอนที่ตกลงมาจากบันได ทำให้ร่างกายช่วงล่างยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่เขาสามารถขยับแขนหรือมือได้บ้างแล้ว
แน่นอนว่าเขายังหยิบของหรือหมุนตัวเองไม่ได้โดยไม่มีใครคอยช่วย
“เอาน้ำหน่อยไหมคะ”
“เอา”
นอกจากนั้นยังสามารถพูดได้แบบสั้นๆ
ไม่รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะร่างกายยังไม่ค่อยดีหรือว่าเขาไม่อยากพูดกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขามักจะตอบคำถามของเคาน์ติสอย่างง่ายดายเสมอ
“จะว่าไปแล้ว วันนี้เป็นวันพิจารณาคดีของมิเอลนี่คะ จะไปดูหน่อยไหมคะ”
“…ไม่”
ไม่ว่าเคนจะพยายามขนาดไหนท่านเคานต์ก็ไม่ทำอะไรเพื่อช่วยมิเอลเลย แม้เคนจะนำข่าวคราวของมิเอลผู้น่าสงสารมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็ตาม
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเคาน์ติส เพราะเธอคือคนที่คอยทำให้หัวใจซึ่งกำลังสั่นไหวของท่านเคานต์สงบลง
“หรือว่าเราจะดูแลมิเอลดีล่ะคะ… อาเรียเองก็บอกว่าเห็นด้วย… แต่ดิฉันคิดว่าเด็กใจดีแบบนั้นควรจะได้รับโอกาสให้เธอสำนึกผิด…”
“…”
ท่านเคานต์ส่ายหน้าน้อยๆ แม้จะเป็นเพียงการขยับกายเล็กๆ น้อยๆ จนแทบมองไม่เห็นหากไม่มองให้ดีๆ แต่เคาน์ติสก็พยักหน้ารับราวกับเธอเข้าใจ
“เธอเป็นเด็กจิตใจดีจะต้องเข้าใจท่านแน่นอนค่ะ”
เคาน์ติสบีบมือเขาทำให้การตัดหางปล่อยวัดลูกสาวแท้ๆ อย่างเลือดเย็นของท่านเคานต์มีน้ำหนักมากขึ้น บนใบหน้าที่แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนของเธอไร้ซึ่งความหม่นหมองแม้เพียงนิด
“มานึกดูแล้ว หมอเองก็แนะนำอย่างเต็มที่ทีเดียวว่าการพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ ท่านใช้โอกาสนี้ซื้อบ้านพักตากอากาศสักหลังดีไหมคะ บ้านพักตากอากาศที่ท่านเคานต์สามารถไปพักผ่อนได้ ดิฉันจะไปดูแล้วซื้อให้โดยไม่ให้ท่านเดือดร้อนค่ะ”
“…ก็ได้”
ไม่ว่าอาการของท่านเคานต์จะดีขึ้นอย่างไรเขาก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตหรือทำงานได้ตามปกติ ด้วยเหตุนี้ตระกูลเคานต์จึงตกอยู่ในมือของเคนไปโดยปริยาย
ถ้าอย่างนั้นก็ควรปอกลอกเอาทรัพย์สินมาเป็นสิ่งตอบแทนที่ถูกดูถูกข่มเหงมาตลอดสิ
เคาน์ติสที่ได้ทีหลอกเอาทรัพย์สินทีละเล็กละน้อยจากท่านเคานต์ผู้มีจิตใจอ่อนแอแย้มยิ้มสดใสให้เขาที่เชื่อใจเธอและตอบมาแบบนั้น
* * *
“พิจารณาจากการที่ท่านเคานต์ฟื้นคืนสติแล้ว ดิฉันขอตัดสินให้เลดี้มิเอล โรสเซนต์ต้องโทษคุมขังอยู่ในบ้านพักส่วนตัวเป็นเวลา 5 ปีค่ะ”
มิเอลทรุดนั่งลงกับพื้นอีกครั้งหลังได้ฟังคำตัดสินจากเฟรย์
คุมขังอยู่ในบ้านพักอย่างนั้นหรือ ‘ในเมื่อท่านพ่อยังไม่ตายแล้วเหตุใดยังต้องรับโทษอีก!’ และเหตุใดผู้เป็นพ่อจึงไม่ดูแลเธอ!
“มิเอล น้องไปอยู่ที่คฤหาสน์แล้วลองโน้มน้าวท่านพ่อดูก็ได้ หากเห็นว่าน้องคิดได้ท่านพ่อต้องยกโทษให้แน่ น้องควรจะไปพบท่านพ่อทันทีที่กลับไปถึงคฤหาสน์นะ”
เคนกระซิบบอกมิเอลเบาๆ
การกักตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ใช่โทษที่เลวร้ายอะไรสำหรับชนชั้นสูง เพราะการกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านนั้นแค่ออกไปไหนไม่ได้ แต่เวลาที่อยู่ในบ้านก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
จะเชิญแขกเหรื่อมาร่วมดื่มชากันในสวนก็ยังได้ เพียงแค่ออกไปด้านนอกไม่ได้เท่านั้น แต่ร่างกายยังคงเป็นอิสระ
ยิ่งไปกว่านั้นโทษของเธอยังลดลงจาก 20 ปีมาเป็น 5 ปีอีกด้วย หากเคนยังยื่นเรื่องขอประกันตัวอยู่เรื่อยๆ เธอก็อาจพ้นโทษออกมาก่อนกำหนด และท่านเคานต์เองก็อาจยกโทษให้ก่อนหน้านั้น
คำพูดของเคนทำให้มิเอลพยักหน้าด้วยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“…เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่ท่านไอซิสได้ส่งจดหมายตอบกลับมาหรือยังคะ เธอตอบมาว่ายังไงบ้างคะ”
“คือ…”
เมื่อเห็นว่าเคนลังเลที่จะตอบได้แต่อ้ำอึ้ง มิเอลก็รู้ตัวแล้วว่าไอซิสปฏิเสธเธอ
เฟรย์พูดต่อทันทีโดยไม่คิดจะเว้นช่วงให้เธอได้ตกใจ
“อย่างไรก็ตาม เลดี้ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับผู้เสียหาย ดังนั้นการคุมขังกักบริเวณจะถูกกำหนดให้เลดี้มิเอลสามารถอยู่ได้แค่ในห้องที่เลดี้เคยใช้เท่านั้นค่ะ”
“…หมายความว่ายังไงคะ”
“หมายความว่าเลดี้จะออกจากห้องไม่ได้ค่ะ นอกจากนี้ยังมีคำขอมาจากทางราชวงศ์ด้วยค่ะ ตอนนี้เลดี้ยังไม่ได้รับการสอบสวนเรื่องยากดประสาท ทางนั้นจึงบอกว่าเลดี้จำเป็นต้องได้รับการควบคุมเป็นพิเศษค่ะ”
นี่มัน… คำตัดสินบ้าบออะไรกัน
นี่หมายความว่าเธอต้องถูกสอบสวนเรื่องยากดประสาทที่เธอไม่แม้แต่จะแตะท่ามกลางสายตาของเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์และแขกเหรื่อที่มองอยู่อย่างนั้นหรือ เธอต้องถูกขังอยู่ในห้องและต้องมาได้ยินเสียงนางร้ายชั่วช้านั่นหัวเราะเยาะเอาน่ะหรือ แล้วเธอต้องมานั่งมองดูทหารรักษาการณ์กับเจ้าพนักงานสอบสวนเข้านอกออกในห้องเธอและต้องมาเห็นพวกคนใช้แอบมองเข้ามาด้วยอย่างนั้นหรือ
มิเอลได้แต่หมอบตัวก้มหน้าลงแนบกับพื้นเพราะคำตัดสินที่ไม่เคยมีมาก่อน
เธอรู้สึกเวียนหัว น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวจนเจิ่งนองเต็มพื้น
เธอควรจะตายเสียดีกว่าต้องมาเจอความอัปยศอดสูและการเหยียดหยามแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากสิ่งที่เธอทำแต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเธออยู่ดี ในเมื่อตัวต้นเหตุมันคืออาเรีย
‘ฉันจะไม่ปล่อยนางนั่นไปเด็ดขาด…!’
มิเอลสามารถออกมาได้หลังจากได้รับคำตัดสินเรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่ได้พบเห็นรถม้าซอมซ่อที่มีทหารรักษาการณ์หกนายล้อมรอบกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์โรสเซนต์ต่างนึกถึงคนที่อยู่ข้างในแล้วกระซิบกันไปต่างๆ นานา
“ได้ยินว่ายื่นขออุทธรณ์แล้วถูกตัดสินให้กักบริเวณอยู่แต่ในบ้านนะคะ”
“ตายจริง แล้วผู้เสียหายจะอาศัยอยู่ที่เดียวกับผู้ก่อเหตุได้หรือคะ”
“คนสนิทดิฉันทำงานอยู่ในศาล และเขาเล่าให้ฟังว่าไม่ใช่การกักบริเวณให้อยู่ในบ้านแบบปกติแต่เธอจะถูกกักให้อยู่แต่ในห้องแทนค่ะ”
“ห้องหรือคะ! …เป็นโทษที่หนักเอาการอยู่เหมือนกันนะคะ”
“จากที่ได้ยินมาเธอยังเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยากดประสาทอยู่ พวกเขาคงจะทำการสอบสวนเรื่องนี้ในคฤหาสน์ เพราะอย่างนั้นจึงสั่งให้เธออยู่แต่ในห้องค่ะ”
“ให้ตายสิ… แย่แล้วก็ยังแย่ได้อีกสินะคะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเลดี้ที่ดูสง่างามคนนั้นจะทำตัวแบบนี้… รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องโกหกจริงๆ ค่ะ”
“เพราะเรื่องมันโอละพ่อกับในข่าวลือน่ะสิคะ ดิฉันพูดถึงข่าวลือเรื่องแม่พระกับนางร้ายน่ะค่ะ ข่าวลือแปลกๆ ที่ลือกันมาตลอด เรื่องคราวนี้ทำให้เราได้เห็นความจริงกันอย่างหมดเปลือกทีเดียวค่ะ ว่าคนที่เป็นนางร้ายตัวจริงคือเลดี้มิเอลและเธอก็เอาความผิดทุกอย่างที่เธอทำไปโยนให้เลดี้อาเรียผู้แสนใจดีมีเมตตา เหมือนเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในนิยายเลยมิใช่หรือคะ”
รถม้าค่อนข้างเก่าทำให้เสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้นดังมาเข้าหูมิเอลโดยตรง
มิเอลกำหมัดแน่นจนมือสั่นไปหมดเพราะนึกอยากจะเข้าไปฉีกปากของคนพวกนั้นที่เที่ยวกุเรื่องสร้างข่าวโคมลอยให้เหวอะเสียเดี๋ยวนี้ เล็บที่ยาวขึ้นมาเล็กน้อยขณะอยู่ในเรือนจำเจาะเข้าไปในฝ่ามือจนเนื้อฉีกขาด
‘กล้าดียังไง…!’
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมาถึงคฤหาสน์แล้วสถานะของมิเอลก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร
“ได้โปรด ได้โปรดให้ลูกได้เจอท่านพ่อเถอะนะคะ!”
เธอส่งเสียงตะโกนทั้งน้ำตาเพื่อขอให้ท่านเคานต์ยกโทษให้เพราะเธอมีโอกาสแค่ตอนนี้เท่านั้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงคำตอบแสนเย็นชาจากเคาน์ติส
“น่าเสียดายที่ท่านดูไม่ค่อยอยากพบลูกสักเท่าไร”
“…อะไรนะคะ ลูกต้องได้ยินจากปากท่านพ่อเองเท่านั้น ท่านแม่ไม่เกี่ยว!”
มิเอลโต้กลับเคาน์ติสราวกับจะวิ่งพรวดเข้าไปประชิดตัวเธอ นั่นทำให้อาเรียที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาสะดุ้งหดตัวแล้วพูดขึ้น
“ตายแล้ว น่ากลัวเสียจริง ท่านแม่ ออกมาห่างๆ เถอะค่ะ”
“…แก แก! แกกล้าดียังไง!”
มิเอลกรีดร้องดังลั่นเพราะสายตาอาเรียที่มองเธอเหมือนแมลง ทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ที่มาถึงคฤหาสน์พร้อมรถม้าก็รีบเข้ามาปิดปากมิเอลไว้
“ยากดประสาทนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ นะคะ ทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียว… คงต้องเริ่มสอบสวนและรักษาเธอตั้งแต่วันนี้แล้วล่ะค่ะ ว่าไหมคะ ท่านพี่”
อาเรียพูดเช่นนั้นพลางขยับตัวไปอยู่ข้างเคน ทางด้านเคนซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยมิเอลก็ได้แต่ปิดปากเงียบมองสถานการณ์อยู่อย่างนั้น เขาดูสับสนเพราะอาเรียแทบจะไม่เคยเอาตัวเข้ามาใกล้เขาเลย
เป็นไปได้อย่างไร
โลหิตแทบหลั่งรินออกมาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและเคียดแค้นของเธอ มิเอลที่แม้แต่บรรดาคนรับใช้ยังมองด้วยหางตาอย่างเย็นชาถูกลากไปขังไว้ในห้อง
“การสอบสวนจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ ฉะนั้นอย่าคิดทำอะไรไร้สาระนะครับ เลดี้”
เสียงเย็นเยียบของทหารรักษาการณ์ดังขึ้นพร้อมเสียงโซ่ถูกคล้องอยู่นอกประตู เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไปจึงคิดเอาว่าทหารคนที่เอ่ยเตือนเธอเมื่อครู่น่าจะยืนคุมอยู่นอกห้อง
ทำไม ทำไมกัน!
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อไล่นางผู้หญิงชั่วนั่นกลับไปอยู่ในที่เดิมของมันแท้ๆ! และเพื่อให้สิ่งที่ควรจะเป็นของเธอมาแต่เดิมกลายมาเป็นของเธอให้เร็วขึ้น
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไรกัน
เธอต้องสูญเสียทุกอย่าง ต้องอับอายขายหน้า และยังต้องอยู่แต่ในห้องอีก แล้วนี่ไอซิสกับเคนที่เธอเชื่อว่าจะให้ความช่วยเหลือเธอยังมาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีก
เธอทั้งกรีดร้องและร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้องสะอาดสะอ้านเพราะเอาของที่เป็นอันตรายออกไปหมดแล้วอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีตรงไหนที่เธอพอจะระบายอารมณ์คับแค้นใจลงไปได้เลย
จู่ๆ มิเอลที่ร้องไห้เป็นเผ่าเต่าจนคอแทบแตกมาทั้งวันก็เปิดพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองออกราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้ ในห้องของเธอเองก็มีพื้นที่ส่วนตัวที่เธอสามารถเข้าไปได้คนเดียวเหมือนของอาเรียอยู่เช่นกัน
มิเอลหยิบกล่องใบใหญ่ออกมาจากในนั้นแล้วปาดน้ำตาออก
สิ่งที่อยู่ในกล่องนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยเธอได้
……………………….