พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 159
สาวใช้พยักหน้ารับคำสั่งของอาเรียก่อนจะหายไปเรียกแอนนี่
เวลาผ่านไปไม่นานแอนนี่ก็มาถึงที่ห้องของอาเรีย หน้าตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สายตาของเธอฉายแววสงสัยถึงบทสนทนาในห้องรับรับแขกก่อนหน้านี้ รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของแขกที่ไม่เปิดเผยตัวตนออกมาด้วย
“เลดี้เรียกดิฉันหรือคะ”
แอนนี่เก็บความสงสัยใคร่รู้นั้นไว้ในใจและแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยก่อนจะถามอาเรียออกไป ดูเหมือนเธอจะคิดว่าหากถึงเวลาที่เหมาะสม อาเรียก็คงจะเล่าให้เธอฟังนั่นเอง
ทั้งที่เธอเก็บอาการอยากรู้เอาไว้ไม่มิดเลยแท้ๆ อาเรียชี้มือไปยังฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับท่าทางว่านอนสอนง่ายของแอนนี่
“นั่งสิ”
“ค่ะ เลดี้”
แอนนี่วิ่งเหยาะๆ มานั่งฝังตรงข้ามตามที่มืออาเรียชี้ไป หน้าของเธอแดงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะการที่สั่งให้เธอมานั่งหันหน้าเข้ากันแบบนี้เหมือนกับจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟังมากกว่าจะสั่งให้ทำอะไรนั่นเอง
และการคาดเดาของแอนนี่ก็ตรงเผง
“ฉันมีเรื่องจะบอกกับเธอน่ะ เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ “
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แอนนี่ก็ตาลุกวาวและหูผึ่งขึ้นมาทันที ท่าทางของเธอบอกว่าเธอพร้อมที่จะฟังโดยไม่คัดค้านเลยแม้แต่นิดเดียว
อาเรียพูดต่อไป
“เธอช่วยไปที่คุกหน่อยจะได้ไหม”
“…คะ คุ คุก คุกหรือคะ! “
แต่ทว่านั่นกลับไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกหรือน่าสนใจแม้แต่น้อย แอนนี่ตกอกตกใจและถามอาเรียกลับไป เพราะเข้าใจว่าอาเรียจะส่งเธอไปเข้าคุกเหมือนกับมิเอลและเคน
“ไม่มีอะไรให้น่าตกใจขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอไปอยู่ในคุกเสียหน่อย แต่ฉันขอให้เธอไปพามิเอลออกมาต่างหากล่ะ”
ตอนนั้นเองแอนนี่ก็โล่งใจราวกับคลายความวิตกออกมาทั้งหมด เธอถามว่าเพราะเหตุใดเธอคงต้องไปที่นั่น
“ทำไมดิฉันต้องไปล่ะคะ ผู้ปกครองคือเลดี้ไม่ใช่หรือคะ”
“เปล่า ผู้ปกครองของมิเอลคือเธอต่างหาก เธอเป็นคนเขียนหนังสือร้องเรียนส่งไปนี่นา ถึงแม้ว่าเนื้อความจะเขียนลงไปตามที่ฉันบอกก็เถอะ”
“นั่นก็ถูกค่ะ แต่ว่า…นั่นน่ะเป็นเรื่องที่เลดี้สั่งนี่คะ ดิฉันแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง…”
อย่างที่แอนนี่พูดเธอเพียงแค่เขียนมันตามที่อาเรียสั่งเท่านั้น แต่แน่นอนว่าคนที่ส่งมันไปก็คือแอนนี่เอง และคนที่ส่งหนังสือร้องเรียนไปนั้น จะกลายเป็นผู้ปกครองของมิเอลไปโดยปริยาย แม้จะเขียนมันขึ้นมาตามคำสั่งของอาเรียก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้วแอนนี่ก็คือผู้ปกครองของมิเอลนั่นเอง
“แล้วยังไง เธอไม่อยากไปหรือ”
“…คะ”
“ฉันหมายถึงเธอไม่อยากพามิเอลออกมาอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำถามของอาเรีย แอนนี่หน้ามีสีหน้าหม่นหมองนิดหน่อย แม้จะไม่กล้าตอบว่าไม่อยากทำ แต่ดูจากท่าทางเธอแล้วคงจะไม่ชอบใจเอามากๆ
โง่เง่าเสียจริง นี่ถือเป็นโอกาสอันดีสมกับที่ตั้งตารอคอยแท้ๆ เพราะในตอนนี้มิเอลเป็นแค่สามัญชนธรรมดาที่ไม่มีอะไรติดตัวทั้งสิ้น นั่นจึงหมายความว่ามิเอลตกอยู่ในกำมือของเธออย่างไรล่ะ
“จะว่าไปแล้ว ฉันได้ยินมาว่ามิเอลไม่สามารถออกห่างไปจากผู้ปกครองของเธอได้นะ เพราะทันทีที่แยกตัวออกไปก็จะถูกตัดสินโทษประหารทันทีเลยละ”
“…คะ”
“เพราะอย่างนั้นหากมิเอลห่างจากข้างกายเธอเมื่อไหร่ ก็อาจจะถึงตายได้เลยน่ะสิ มิเอลจะออกห่างจากเธอไม่ได้ เด็ดขาดไม่ว่าจะโดยเจตนาของตนหรือของคนอื่น และไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม”
สีหน้าของแอนนี่ดูต่างไปจากปกติเมื่อได้ยินอาเรียพูดแบบนั้น หน้าตาของเธอเหมือนจะเข้าใจถึงคำอธิบายอันไร้สาระของอาเรียได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจสักเท่าไร
เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงพูดต่อไป
“ยิ่งกว่านั้น ผลตอบแทนจากการก่อกบฏยังทำให้มิเอลถูกลดยศเป็นเพียงสามัญชนทั่วไปเหมือนกับเธออีกต่างหาก ทั้งที่ในอดีตเป็นผู้หญิงที่ดูสง่างามแม้จะอยู่เฉยๆ แท้ๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พวกสามัญชนเองก็เป็นแบบนั้นนี่นา ทำงานแลกเงินใช้ชีวิตไปวันๆ”
“…! “
มิเอลที่กลายเป็นสามัญชนไปแล้วในตอนนี้ ไม่สามารถออกห่างไปจากแอนนี่ได้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม
และการที่มิเอลไม่ใช่คนชนชั้นสูงอีกต่อไป ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตโดยการอยู่เฉยๆ ได้ เธอต้องขยันทำงานทุกวันเหมือนกับสามัญชนทั่วไป ต่างจากขุนนางที่ใช้ชีวิตหรูหราและมีกรรมสิทธิ์ปกครองที่ดินซึ่งได้รับจากประเทศชาติ
เมื่อเข้าใจถึงความจริงข้อนี้แล้วแอนนี่ก็ตาวาวเป็นประกาย แม้จะเข้าใจคำพูดของอาเรียแล้ว แต่สายตาของเธอก็ยังอยากได้คำตอบที่แน่ชัดกว่านี้อีกหน่อย
“อีกอย่างนี่ก็น่าจะถึงเวลาที่เธอต้องคิดเรื่องแต่งงานกับบารอนเวอร์บูมแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็จะได้กลายเป็นบารอนเนส ฉะนั้นแล้วก็ควรจะทำตัวให้ชินกับการมีสาวใช้เข้าไว้นะ เธอก็รู้ว่ากว่าฉันจะผ่านช่วงแรกๆ ไปได้น่ะ มันยากเย็นขนาดไหน”
“…! “
เมื่อแอนนี่แน่ใจแล้วว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือการให้มิเอลกลายมาเป็นสาวใช้ เธอก็หัวเราะออกมาเสียงดังและลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างพรวดพราด สีหน้าของแอนนี่บ่งบอกว่าเธออยากจะพามิเอลออกมาจากคุกให้ได้ในตอนนี้แล้วสั่งให้ทำงานหนักๆ เสียเลย
แต่หากจะทำอย่างนั้นก็ต้องได้รับอนุญาตจากอาเรียที่เรียกเธอมาเสียก่อน แอนนี่รอคำตอบของอาเรียอย่างประหม่า ราวกับจะเร่งให้อาเรียอนุญาต
“แล้วค่อยกลับมาล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ! เลดี้! จะไปพามาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ! “
แอนนี่หอบหายใจออกไปทั้งแบบนั้นก่อนจะกลับมาเคาะประตูห้องอาเรียอีกครั้งในเวลาไม่นาน แน่นอนว่าไม่มีทางที่เธอจะกลับมาถึงในระยะเวลาสั้นๆ นี้ได้ เมื่ออาเรียขานรับออกไปด้วยน้ำเสียงสงสัย แอนนี่ก็ถามอาเรียอย่างระมัดระวังพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมา
“เอ่อ…เลดี้คะ…ขออภัยจริงๆ ค่ะ คือว่าถ้าดิฉันจะขอแต่งตัวนิดหน่อยแล้วค่อยไปจะได้ไหมคะ ชุดที่ใส่ตอนนี้มันดูธรรมดาไปหน่อยน่ะค่ะ…”
ดูเหมือนแอนนี่คิดจะเตรียมการอย่างเต็มที่เพื่อเล่นบทบาทเจ้านายของมิเอล
และนั่นก็จะทำให้มิเอลเจ็บปวดได้อย่างแน่นอน หากแอนนี่ที่เป็นเพียงแค่สาวใช้แต่งตัวอย่างสวยงามมาปรากฏตัวต่อหน้ามิเอลที่ดูไม่ได้แล้วก็ สุดท้ายมิเอลจะมีท่าทีอย่างไรกันนะ
อาเรียพยักหน้าด้วยเพราะพึงพอใจ และให้ของขวัญกับแอนนี่ไปอีกหนึ่งอย่าง
“นั่งรถม้าที่ดูหรูหราไปด้วยแล้วกัน จะนั่งคันที่ฉันกับท่านแม่ใช้ก็ได้นะ”
“…จริงหรือคะ”
“จริงสิ เคยเห็นฉันพูดอะไรเรื่อยเปื่อยด้วยหรือไง”
“ตายจริง เลดี้…! ดิฉันจะได้นั่งรถม้าที่ดูเลอค่าแบบนั้นแล้ว! ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ! “
อาจจะเพราะรู้สึกซาบซึ้งใจ ขอบตาของแอนนี่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง อาเรียจึงตำหนิเธอว่าให้รีบไปรีบกลับ
“ค่ะ ค่ะ! ดิฉันจะรีบเตรียมตัวแล้วรีบกลับมานะคะ! “
แอนนี่รีบไปเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานเธอก็ตบแต่งรูปโฉมได้อย่างสง่างามไร้ที่ติราวกับเป็นชนชั้นสูงและออกไปรับมิเอลในทันที
***
มิเอลถูกส่งตัวกลับมาในคุกอีกครั้ง หน้าตาของเธอซีดเผือดขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ นั่นเป็นเพราะเมื่อกลับมาถึงคุก เคนก็ถูกลากตัวไปยังพระราชวังในทันที และผู้คนที่เคยถูกคุมขังอยู่ด้วยกันต่างถูกประหารไปหมดแล้ว จึงเหลือเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นมิเอลหรือใครก็ตาม การต้องอยู่เพียงลำพังในคุกที่มีแต่ความมืดมิดและหนาวเย็น เฝ้ารอให้ใครสักคนพาตัวเองออกไปนั้น เป็นเรื่องที่ยากจะผ่านพ้นไปได้
‘ไหนบอกว่าจะส่งคนมาหาอย่างไรล่ะ นี่ผ่านไปตั้งสามชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่มีข่าวอะไรเลย…! ’
เธอกังวลว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจจะไม่มีใครมาหาเธอเลยก็ได้ มิเอลหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อคิดว่าเธออาจจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุกที่ทั้งเก่า เหน็บหนาว และสกปรกแบบนี้ไปถึงห้าสิบปีเลยก็ได้ หากเป็นอาเรียก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน
มิแอลคู้ตัวเป็นวงกลม
เพราะมันช่างยากเหลือเกินที่จะเอาชนะความหนาว ความกังวล และความกลัวนี้ไปได้ เธอซุกหน้าไว้ในวงแขนซึ่งวางไว้บนเข่าที่คู้ขึ้นมา ได้แต่เฝ้ารอให้พี่สาวเพียงคนเดียวของตนไม่คิดหักหลังและรีบส่งคนมาพาเธอออกไปตามที่ได้สัญญาไว้
มิเอลกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้อยู่พักใหญ่ เธอเชื่อคนที่อาเรียส่งมาจะมาถึงในไม่ช้าและเฝ้ารอให้คนที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครคนนั้นมาพาเธอออกไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินย่ำมาจากที่ไกลๆ
เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาหามิเอลเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานมันก็มาหยุดอยู่ใกล้ๆ มิเอล
“ออกมาได้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น มิเอลก็เงยหน้าขึ้นมาทันควัน และพบเข้ากับหนึ่งในผู้คุมนักโทษคนหนึ่ง
ผู้คุมนักโทษขมวดคิ้วพลางปรายตามองสารรูปที่ดูไม่ได้ของมิเอลครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูด้วยกุญแจและพูดขึ้นอีกครั้งว่า
“บอกให้ออกมาไง”
“…ฉัน ฉันหรือคะ…”
“ถ้างั้นนอกจากทางนั้นแล้วมีใครอีกหรือเปล่า”
อย่าบอกนะว่าอาเรียส่งคนมาแล้วน่ะ! ถ้าไม่ใช่แบบนั้นละก็ ไม่มีทางบอกให้ออกไปอย่างนี้แน่ๆ
จะมีอะไรน่าดีใจไปกว่าเรื่องนี้อีกเล่า ยิ่งรอคอยนานเท่าไรก็ยิ่งดีใจมากเท่านั้น
เนื่องจากมิเอลคู้ตัวอยู่เป็นเวลานานจึงทำให้เธอลุกขึ้นได้อย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าหากเธอมัวแต่ชักช้าแม้แต่นิดเดียวละก็ ผู้คุมอาจจะทิ้งเธอไว้ที่นี่แล้วเดินหนีไปก็ได้ เธอจึงออกแรงไปที่เท้าทั้งคู่และออกมาจากคุกที่น่ากลัวนี้
“เอ่อ คนที่มารับฉันคือใครหรือคะ”
ระหว่างที่เดินมาตามทางเดิน มิเอลก็ไม่สามารถทนต่อความอยากรู้ได้อีกต่อไป จึงถามผู้คุมนักโทษขึ้นมา แม้แต่ละก้าวที่เดินไปจะรู้สึกเจ็บและแสบก็ตาม แต่เธอรู้สึกดีใจเกินกว่าจะใส่ใจในความเจ็บนั้น
ผู้คุมตอบคำถามของมิเอลราวกับอึ้งจนพูดไม่ออก
“เลดี้มิเอล ไม่สิ ตอนนี้แกไม่ใช่เลดี้อีกแล้ว ต้องเรียกนักโทษมิเอลสินะ นี่แกคงไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่สามารถถามคำถามนั้นได้หรอกใช่ไหม”
วิธีการพูดและน้ำเสียงฟังดูหยาบคายเป็นอย่างมาก ผู้คุมแสดงออกถึงความเกลียดชังอันใหญ่หลวงที่มีต่อมิเอลผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่อกบฏ
สายตาที่เธอรู้สึกได้มาตลอดตั้งแต่ได้กลายมาเป็นนักโทษ พอได้เผชิญกับความเกลียดชังที่มีต่อตนเองในระยะประชิดตัวเช่นนี้ ก็ทำเอาเธอตัวสั่นไปทั้งร่าง และการที่ผู้คุมมีรูปร่างใหญ่โตก็มีส่วนทำให้เธอกลัวด้วย
“เดินไปเงียบๆ ซะ แกไม่มีสิทธิพูดอะไรทั้งนั้น”
“…”
มิเอลหุบปากเมื่อได้ยินคำเตือนที่แฝงความโหดเหี้ยมของผู้คุม นั่นเพราะรูปลักษณ์อันน่ากลัวของเขาราวกับจะบอกว่าหากเธอพูดอะไรไร้สาระมากไปกว่านี้ เขาจะใช้กำลังลงไม้ลงมือกับเธอ
อย่างไรเสียหากเดินต่อไปอีกหน่อย เธอก็จะได้ออกไปจากคุกที่น่าขยาดแห่งนี้และไม่ต้องเจอกับผู้คุมที่น่ากลัวอีกต่อไป หากเธอคอยอยู่ข้างกายอาเรีย ก็จะไม่ต้องกลับมายังที่แห่งนี้อีก
มิเอลวาดความหวังไว้เช่นนั้นและเดินตามหลังผู้คุมไปยังห้องรับรอง เมื่อเห็นบุคคลที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เจอที่นั่น มิเอลก็ตัวแข็งทื่อไม่สามารถแสดงท่าทางใดๆ ออกมาได้ทั้งนั้น
ที่ห้องรับรองมีคนที่ไม่คาดคิดกำลังรอมิเอลอยู่
“รอเสียนานเลยนะครับ จะพาตัวออกไปทันทีเลยไหมครับ”
“ค่ะ ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้นละค่ะ”
แอนนี่ตอบพร้อมกับยิ้มหวานออกมา ทำเอาผู้คุมหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย รอยยิ้มที่เรียนรู้มาจากการแอบมองตอนอยู่กับอาเรีย ช่วยทำให้แอนนี่เผยเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของตนเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
‘อะ อะไรกัน ทำไมแอนนี่ถึงอยู่ที่นี่…!’
เดี๋ยวสิ นั่นใช่แอนนี่จริงๆ รึเปล่า สาวใช้ท่าทางซอมซ่อแบบนั้น สวยขึ้นได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ…มิเอลที่จ้องมองแอนนี่ ทอดสายตาลงมองสภาพตัวเอง
ทั้งผิวพรรณและเส้นผมดูรกรุงรังและเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ฝุ่นสีดำ เท้าและขาก็บวมเป่งดูน่าเกลียดกว่าหญิงชาวบ้านด้วยซ้ำ
ไม่ต้องตรวจดูใบหน้าก็รู้ได้ว่าคงจะเปรอะเปื้อนสกปรกอยู่แน่ๆ อาจจะมีแผลเป็นอยู่บนหน้าด้วยซ้ำ พอคิดถึงแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนจะตายลงไปทันทีเพราะความอับอายและความรู้สึกถูกดูหมิ่น
หากเป็นอาเรียแล้วละก็ เธอคงไม่สามารถเอาชนะด้วยความงามได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่สภาพหน้าตาของเธอในตอนนี้ดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าแอนนี่ที่มีกระเต็มหน้าและชอบพูดจาปากไม่มีหูรูดคนนั้นอีก…!
เพราะอย่างนั้นมิเอลจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เธอเอาแต่ซ่อนหน้าตาที่ดูไม่ได้ของตัวเองเอาไว้ จากนั้นแอนนี่ก็เรียกชื่อมิเอล
“เลดี้มิเอล…อ่า ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วสิ ก็เธอกลายเป็นคนธรรมดาไปแล้วนี่ ใช่ไหม มิเอล”
แอนนี่ตัดคำเรียกยกย่องออกไปแล้วเรียกเธอด้วยชื่อเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แม้กระทั่งวิธีการพูดก็เลียนแบบอาเรียมาไม่ผิด มิเอลตกใจจนตัวสั่นแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา แอนนี่จึงเรียกชื่อมิเอลอีกครั้ง
“มิเอล คอหักไปแล้วหรือไงกัน ทำไมถึงไม่เงยหน้าขึ้นมาล่ะ”
เมื่อได้ยินวิธีการถามที่ฟังดูเยาะเย้ยทั้งๆ ที่รู้ถึงเหตุผลที่เธอไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ มิเอลก็กำมือแน่นจนตัวสั่นสะท้าน
เธออยากจะโมโหและต่อว่าอะไรกลับไปบ้าง แต่ก็ทำได้แค่โกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
แอนนี่พูดราวกับจะเยาะเย้ยขึ้นมาอีกครั้ง
“มิเอล เธอต้องเงยหน้าขึ้นมายืนยันว่าเป็นตัวจริงเพื่อที่เราจะได้ออกไปด้วยกันมิใช่หรือ เพราะฉันคงพาเด็กผู้หญิงสกปรกมอมแมมที่มองไม่เห็นหน้าออกไปด้วยไม่ได้น่ะสิ”
ประโยคหลังของแอนนี่เพียงพอที่จะทำให้มิเอลดูน่าเวทนามากยิ่งขึ้น คำพูดนั้นฟังดูน่าสมเพชอยู่แล้ว แม้จะได้ยินมาจากแอนนี่ที่ไม่ได้แต่งตัวสวยงามอะไร แต่พอได้ยินคำๆ นั่นจากปากของแอนนี่ที่แต่งตัวเสียเต็มยศแบบนี้ ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของมิเอลจึงถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี
“จะทำอย่างไรดีคะ”
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรมิเอลก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา แอนนี่จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้คุมแทน ผู้คุมถอดหายใจออกมาก่อนจะกระชากผมของมิเอล บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น
“โอ๊ย! “
เพราะถูกกระชากผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว มิเอลจึงกรีดร้องออกมา แอนนี่ยกพัดขึ้นมาปิดปากและเบิกตาโพลง เธอไม่ได้ตกใจกับการกระทำอันโหดร้ายที่มิเอลถูกกระทำ แต่เป็นเพราะตกใจกับหน้าตาอันน่าเกลียดของมิเอลนั่นเอง
“…ไม่อยากจะเชื่อ นี่ใช่มิเอลคนนั้นจริงๆ หรือนี่”
“ใช่แล้วครับ พอถูกขังอยู่ในคุกก็เลยไม่ได้อาบน้ำจึงอยากที่จะยืนยันหน้าตาได้ แต่นี่คือ มิเอล โรสเซนต์ แน่นอนครับ”
“นี่มันยากที่จะเชื่อเลยนะคะเนี่ย เลดี้มิเอลที่งดงามแลดูสง่าอยู่เสมอ…พอถูกลดสถานะลงกลับดูซอมซ่อได้ถึงขนาดนี้เชียว ต่อจากนี้คงไม่มีใครเผลอเรียกเธอว่า ‘เลดี้’โดยไม่ได้ตั้งใจแล้วละค่ะ”
คำดูหมิ่นที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน ทำให้ขอบตาของมิเอลเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา แม้จะทนต่อคำสบประมาทต่างๆ ได้เพราะเธอมีความผิดจริงๆ แต่เธอทนฟังคำพูดแทงใจดำของแอนนี่ที่เคยเป็นสาวใช้ของเธอไม่ได้
“หยุดนะ…ฉันบอกให้หยุด…!”
ดังนั้นมิเอลจึงเค้นเสียงที่ยากจะเปล่งให้เป็นปกติออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า แอนนี่ตกใจทำตัวไม่ถูกและถามผู้คุมขึ้นมา
“เอ่อ ดิฉันทำอะไรผิดไปหรือคะ ทำไมมิเอลถึงร้องไห้กันล่ะคะ…! “
เมื่อได้ยินคำถาม ผู้คุมก็ส่ายหน้าและพูดปลอบแอนนี่ขึ้นมา
“ไม่เลยครับ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในคุก เธอก็ดูเพี้ยนๆ ขึ้นมานิดหน่อยอยู่แล้วครับ บางทีก็หัวเราะคนเดียวอย่างไม่มีสาเหตุด้วยครับ ระหว่างที่อยู่ในนั้นดูเหมือนอาการเธอจะรุนแรงขึ้นกว่าเก่าครับ เพราะฉะนั้นแล้วอย่าได้กังวลไปเลยครับไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก”
“อย่างนั้นเองหรือคะ… ทั้งที่ครั้งหนึ่งเธอเป็นถึงเลดี้ที่สง่างามที่สุดในราชอาณาจักรแท้ๆ…ฉันเองยังเคยนับถือเธอเลยค่ะ แต่ในตอนนี้นอกจากจะไม่เหลือเค้ารอยนั้นแล้ว ยังเสียสติอีกต่างหาก น่าเศร้าจังเลยนะคะ”
บทสรุปที่ดูไม่น่าเชื่อนั้น ทำให้ทั้งสองคนจ้องมองไปที่มิเอลอย่างน่าอนาถ
แววตาที่แฝงความเวทนา ทำให้ศักดิ์ศรีของมิเอลฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี
…………………………………..