พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 167
***
แม้ผลลัพธ์จะแน่นอนอยู่แล้ว แต่เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์มิเอลก็ไม่สามารถพบหมอได้
แม้เธอจะแจ้งว่าเป็นคำสั่งของอาเรียก็ตาม แต่พ่อบ้านก็ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และไม่แม้แต่จะให้คำตอบกับเธอ
“อาการก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ผมว่าพักผ่อนก็คงจะหาย หากเลดี้กลับมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันตอนนั้นอีกที”
พ่อบ้านพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาก่อนจะหันหลังกลับไปราวกับไม่มีธุระอะไรอีก
“ฮึก…”
และคนที่เข้ามาปลอบมิเอลที่ถูกความเจ็บใจและความแค้นถาโถมเข้าใส่จนน้ำตาไหลพรากก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจสซี่นั่นเอง ดูเหมือนเจสซี่จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ตอนออกไปข้างนอกแล้ว เธอถึงได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มาตลอด
“มิเอล! ฉันเรียกคุณหมอจากหมู่บ้านมาให้แล้ว”
เจสซี่ช่วยเรียกหมอจากหมู่บ้านให้มาตรวจดูอาการของมิเอลด้วยตัวเอง เพราะเธอรู้ว่าคนที่ก่อนหน้านี้ไม่นานยังเป็นชนชั้นสูงแบบมิเอลไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น
“สุขภาพไม่มีปัญหาอะไร แต่ดูเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่างอย่างรุนแรงเข้าน่ะครับ ถ้าได้พักผ่อนสักวันสองวันก็จะดีขึ้นครับ”
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ”
เจสซี่โล่งใจเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยที่บอกว่าโชคยังดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเป็นเพียงแค่อาการตกใจเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นความกังวลของเจสซี่ก็ยังไม่หมดไปเพราะมิเอลยังคงเค้นน้ำตาและพร่ำบ่นถึงความทุกข์ระทม
“คุณหมอบอกให้พักผ่อน…ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“…เจสซี่…! แอนนี่…แอนนี่น่ะ…! “
แม้มิเอลจะทำท่าร้องไห้และตะโกนชื่อของแอนนี่ออกมาเท่านั้น แต่เมื่อคาดเดาจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เจสซี่รู้ว่ามิเอลคงถูกแอนนี่ดูถูกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งมา
“ตายแล้ว…อย่าร้องเลยมิเอล เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มีอะไรก็เล่าให้เลดี้ฟังเถอะ”
แม้มิเอลจะทำเรื่องไม่ดีขึ้นในอดีตก็ตาม แต่ทำไมแอนนี่ถึงได้ทำกับเธอขนาดนี้กันนะ แม้แต่อาเรียเองก็ยังตั้งใจช่วยเหลือมิเอลแท้ๆ ท่าทางเจสซี่จะรู้สึกอึดอัดใจจึงได้ถอนหายใจออกมา
เนื่องจากอาเรียไม่อยู่ เจสซี่จึงโชคดีสามารถใช้เวลาว่างได้อย่างอิสระเธอคอยอยู่ข้างกายมิเอลจนดึกดื่น ในระหว่างนั้นเธอตัดสินว่าแอนนี่ทำเกินเหตุมากไป และเมื่ออาเรียกลับมาที่คฤหาสน์เธอก็เข้าไปพบอาเรียที่ห้องทันที
“…เลดี้คะ เลดี้เพิ่งจะมาถึงแท้ๆ ดิฉันต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ แต่พอจะมีเวลาให้ดิฉันสักหน่อยไหมคะ”
น้ำเสียงของเจสซี่ที่ถามออกมาฟังดูระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากงานแต่งงานยืดเวลาออกไป เวลาในตอนนี้จึงค่อนข้างดึกเล็กน้อย แม้จะเป็นห่วงมิเอลและรู้สึกโมโหแอนนี่ก็ตาม แต่เจสซี่ก็ยังกังวลว่านี่จะเป็นการรบกวนอาเรียหรือไม่
อาเรียรู้อยู่แล้วว่าเจสซี่จะต้องพูดเรื่องนี้ ไม่สิ เธอรอให้เจสซี่เอ่ยปากเรื่องนี้ออกมาต่างหาก อาเรียกลั้นขำไว้ในใจและตอบกลับไปด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“เอายังไงดีล่ะ ฉันเป็นห่วงมิเอลน่ะ ตอนช่วงบ่ายฉันให้มิเอลกลับมาที่คฤหาสน์คนเดียว เลยคิดว่าต้องไปดูมิเอลก่อนน่ะ มีเรื่องสำคัญมากไหม”
“คะ เอ่อ เปล่าค่ะ! เรื่องของมิเอลน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นช่วยไปเรียกมิเอลมาที่ห้องฉันหน่อยได้ไหม ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะเดินมาไหวรึเปล่า หรือฉันควรเป็นฝ่ายไปหามิเอลดีนะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ คุณหมอบอกว่ามีอาการตกใจเล็กหน่อยเท่านั้น พักผ่อนก็หายค่ะ”
“จริงหรือ ฉันก็เป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรร้ายแรงรึเปล่า ดีแล้วละ”
สีหน้าของเจสซี่อ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเธอจะโล่งใจเมื่อได้เห็นว่าอาเรียถามหามิเอลทันทีหลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง
“ดิฉันจะไปเรียกมาให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ! “
เจสซี่หายออกไปด้วยใบหน้าแช่มชื่น แล้วในไม่ช้าเธอก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับประคองมิเอลมาด้วย เจสซี่ดีใจมากเมื่ออาเรียขอให้เธอช่วยเตรียมชาเพื่อดื่มกับมิเอล ก่อนจะชงชาอย่างพิถีพิถัน
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ เชิญพูดคุยกันได้เลยค่ะ”
เจสซี่หวังว่าอาเรียจะให้ความช่วยเหลือแก่มิเอลที่น่าสงสาร เธอค้อมศีรษะอย่างสุภาพและตั้งใจจะออกไปจากห้อง แต่แล้วเสียงที่ไม่คาดคิดก็รั้งเธอเอาไว้
“จะออกไปเหรอ อยู่คุยด้วยกันก่อนไหม ไหนๆ เธอก็ดูจะสนิทกับมิเอลมากที่สุดแล้ว ฉันเลยคิดว่าเธออาจจะช่วยอะไรได้บ้าง…”
เพราะเจสซี่จะต้องกลายเป็นพยานใน‘คดี’ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
พยานที่จะช่วยยืนยันว่าอาเรียไม่มีความผิดใดๆ
“…ดิฉันหรือคะ”
เจสซี่ถามกลับมาด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่านั่นไม่ใช่ที่ที่คนอย่างตนจะกล้าเข้าไปยุ่งด้วย จากนั้นมิเอลก็พยักหน้าเห็นด้วย ดูเหมือนการมีเจสซี่อยู่ด้วยจะทำให้มิเอลรู้สึกวางใจได้
“ช่วยหน่อยนะเจสซี่”
“ไม่รู้ว่าดิฉันจะช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่านะคะ…ตกลงค่ะ”
หลังจากที่เจสซี่นั่งลงและดื่มชาท่ามกลางความเงียบสักพัก อาเรียก็ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
“พี่ยืนอยู่ไกลเลยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แอนนี่ได้ทำอะไรให้น้องลำบากรึเปล่า”
อาเรียถามออกมาด้วยสีหน้าระมัดระวังเป็นอย่างมาก
มิเอลคงจะนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอถึงได้ตอบออกมาพร้อมกับมือที่จับแก้วชาไว้อย่างสั่นเทา
“…ใช่ค่ะ แอนนี่ทำให้น้องต้องเจอกับเรื่องลำบาก และก็ดูเหมือนเธอตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นด้วยค่ะ ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเรียกชื่อน้องดังๆ อยู่หลายครั้งเพื่อให้ทุกคนได้ยินค่ะ…”
เพียงแค่นั้น เจสซี่ก็เดาได้แล้วว่ามิเอลถูกประณามแบบไหนมา เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพราะไม่สามารถซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ อาเรียเองก็หน้าตาหม่นหมองขึ้นมา
แม้จะไม่ทำแบบนั้น มิเอลก็มีแต่ข่าวลือแย่ๆ อยู่แล้ว แต่นี่เธอกลับถูกเรียกชื่อหลายๆ ครั้งต่อหน้าผู้คนในสภาพที่ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย และบรรดาสายตาอันดุดันดั่งคมมีดที่เคยเชือดเฉือนอาเรียที่ผ่านมานั้น ต้องย้ายมามองที่มิเอลอย่างแน่นอน
“วันก่อนฉันก็เตือนแอนนี่ไปอย่างเคร่งครัดแล้วแท้ๆ คิดว่าต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ ต่อกันแล้วเชียว…”
น้ำเสียงที่ฟังดูเสียใจของอาเรียดังก้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน และยังพูดอีกด้วยว่าตนเองคิดว่าแอนนี่จะเปลี่ยนพฤติกรรมหลังจากโดนตำหนิไป แต่ดูเหมือนในตอนนี้วิธีนั้นจะเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว
“…เธอทำแบบนั้นตอนที่พี่ไม่เห็นน่ะสิคะ”
เมื่อมิเอลพูดคำตอบที่รอฟังออกมา อาเรียก็ถอนหายใจหนักๆ และโยนเหยื่อชิ้นน้อยให้กับมิเอล
“เขาถึงพูดกันว่าคนเราน่ะไม่ว่าใครก็ไม่มีทางรู้ได้จนกว่าจะได้เจอกับตัว…”
แน่นอนว่ายังมีคนที่แม้จะได้เจอกับตัวแล้วแต่ก็ยังไม่รู้อะไรแบบมิเอลอยู่ คนที่จะรู้ถึงความเจ็บปวดได้ก็ต่อเมื่อตนเองถูกกระทำเท่านั้น เพราะอย่างนั้นจนถึงตอนนี้อาเรียก็ยังไม่สามารถกำจัดพิษร้ายในตัวมิเอลออกไปได้หมดมิใช่หรือ
“ปัญหาบางอย่างก็แก้ไขด้วยการอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ด้วยสิ…”
เจสซี่ครุ่นคิดประโยคนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่าเธอเองก็คิดเช่นเดียวกัน
“ดิฉันเองก็คิดเช่นนั้นค่ะเลดี้ มิเอลถูกแกล้งถึงขนาดนี้ คงจะปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้แล้วละค่ะ แม้ว่าในฐานะสาวใช้ด้วยกันมิเอลจะอยู่ต่ำกว่าก็ตาม แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องอดทนกับทุกอย่างค่ะ ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรอยู่เฉยๆ แต่ควรพูดในสิ่งที่จำเป็นออกไปค่ะ”
“เธอกำลังจะบอกว่าให้โกรธหรือโต้แย้งกลับไปบ้างใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ที่จริงแล้วพวกสาวใช้หรือข้ารับใช้ต่างก็กระทบกระทั่งกันเพราะเรื่องงานอยู่บ่อยๆ เลยมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นประจำค่ะ แม้ว่าคนรอบข้างจะช่วยพูดให้ยังไง แต่วิธีแก้ปัญหาที่เร็วที่สุดก็คือการให้เจ้าตัวเปิดอกคุยกันเองค่ะ”
“คิดยังไงบ้าง มิเอล”
ไม่ว่าอาเรียกับเจสซี่จะคิดเห็นอย่างไร คนที่จะต้องตัดสินใจก็คือมิเอล และคนที่เหลี่ยมจัดอย่างมิเอลก็ไม่อยากถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเฉยๆ
ทว่า
“…แต่ว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้วแอนนี่บอกว่าจะส่งตัวน้องกลับเข้าคุกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ! “
ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถือเชือกจูงมิเอลไว้ก็คือแอนนี่ หากมิเอลโต้แย้งหรือแก้แค้นกลับไปแล้วแอนนี่บอกว่าจะส่งเธอกลับเข้าไปในคุกละก็…คงไม่มีอะไรจะน่ากลัวเท่าเรื่องนั้นอีกแล้ว
และแอนนี่ที่รู้ดีว่ามิเอลหวาดกลัวสถานการณ์นั้นมากที่สุด ก็มักจะใช้เรื่องนั่นมาขู่เธอตลอด เพราะอย่างนั้นแม้จะถูกเย้ยหยันก็จำต้องยอมทน
อาเรียขมวดคิ้วและพูดออกมา
“พูดเรื่องอะไรน่ะมิเอล ถึงแม้ว่าแอนนี่จะเป็นผู้ปกครองตามระบุในเอกสารก็เถอะ แต่น้องก็รู้ดีนี่นา ว่าหากพี่ไม่อนุญาตแล้วก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้”
ในตอนนั้นเองที่มิเอลมีสีหน้าแจ่มใสมากขึ้น เมื่อได้ยินอาเรียบอกว่าถึงแม้เธอจะแก้แค้น ก็ไม่มีทางที่เธอจะต้องกลับไปเข้าคุกอีกครั้ง
เจสซี่เองก็ทำสีหน้าโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกได้ เมื่อได้เห็นว่าอาเรียมีท่าทีเต็มใจเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่
“ฉะนั้นแล้วอย่ากังวลไปเลย เมื่อใดที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม น้องจะตะโกนมันออกมาดังๆ ก็ได้ อะ ชาเริ่มเย็นแล้วสิ เจสซี่ ช่วยไปเตรียมน้ำชามาให้ใหม่ได้ไหม”
“ค่ะ! เลดี้! จะรับผลไม้ด้วยไหมคะ”
“เอาสิ เอามาหลายๆ อย่างเลยแล้วกัน”
เพราะอาเรียวางเหยื่อล่อเอาไว้หมดแล้ว ทำให้เธอสามารถไล่เจสซี่ออกไปข้างนอกได้ ก่อนที่จะเริ่มเนื้อหาสำคัญที่เจสซี่จะมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้เด็ดขาด
กึก ทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น อาเรียก็สลัดสีหน้าของพี่สาวที่เป็นห่วงน้องสาวทิ้งไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าชั่วร้ายและเสนอกลอุบายบางอย่างให้มิเอลที่กำลังกลุ้มใจว่าจะแก้แค้นแอนนี่อย่างไรดี
“มิเอล ถึงจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ชื่อเสียงของน้องก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ และดูเหมือนการตอบโต้โง่ๆ ด้วยคำพูดจะไม่ใช่วิธีที่ดีด้วย”
เมื่อเห็นอาเรียเปลี่ยนสีหน้าเป็นนางมารร้ายอย่างฉับพลันเข้า มิเอลก็สะดุ้งตกใจและย้อนถามออกมาอย่างระมัดระวัง
“…อย่างนั้นหรือคะ”
เดิมทีมิเอลก็ไม่ได้มีนิสัยทะเลาะกับใครแบบซึ่งๆ หน้าอยู่แล้ว และก็ไม่ใช่คนที่จะโต้เถียงได้อย่างลื่นไหลด้วย
“แค่ทำอย่างที่เคยทำมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ใช่ อย่างที่เธอทำมาจนถึงตอนนี้ไงล่ะ
ความสามารถพิเศษของมิเอลก็คือการที่เธอสามารถใช้คนอื่นกลั่นแกล้งใครสักคน โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต มิเอลให้สาวใช้ของเธอติดตามอาเรียและเป่าหูให้พวกนั้นทำเรื่องเลวๆ ขึ้นมา แถมยังแสร้งทำตัวเป็นผู้เสียหายและพรากลมหายใจของอาเรียไปด้วย
และนั่นก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น หลังจากที่ย้อนเวลากลับมามิเอลก็ยังใช้ลูกไม้นั่นผ่านทางเอ็มม่า เบอร์รี่ และแอนนี่ด้วย
เมื่อกล่าวถึงวิธีที่ทำให้เอ็มม่าซึ่งคอยช่วยเหลือเธอต้องสละชีวิตลง สีหน้าของมิเอลก็ซีดเผือดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่พยายามทำใจกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้เธอนึกถึงห้วงสุดท้ายของเอ็มม่าขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากนั้นดูเหมือนในตอนนี้มิเอลไม่หลงเหลือความกล้าที่จะทำเรื่องอุกอาจแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
และอาเรียที่สังเกตได้ถึงสิ่งนี้ ก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและถามออกมาว่าจะกังวลอะไรหนักหนา
“น้องกังวลอะไรกันหนักหนา พี่ไม่ได้บอกว่าจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเสียหน่อย แค่ทำให้ตกใจเล่นนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง อย่างเช่นแกล้งกันขำๆ ด้วยการใส่ยาที่ทำให้ปวดท้องอะไรทำนองนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องผลักความรับผิดชอบไปให้ใครยังไงล่ะ”
เมื่ออาเรียเพิ่มความตึงเครียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการพูดว่ามันเป็นเพียงการแกล้งกันขำๆ อย่างการทำให้ปวดท้องขึ้นมาเท่านั้น มิเอลที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ขบคิดขึ้นมาอย่างรอบคอบ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาราวกับไม่อยากจะเชื่อ
เพราะนั่นถือเป็นเรื่องง่ายดายเอามากๆ สำหรับคนที่ตั้งใจจะฆ่าคนครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างมิเอล
เพราะเสียงหัวเราะนั่นเป็นการย้อนถามว่าการกลั่นแกล้งเล็กน้อยแบบนั้นจะกลายเป็นการแก้แค้นได้หรือ อาเรียจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและปล่อยผ่านเรื่องนั้นไปด้วยการพูดเพิ่มขึ้นมาว่า
“แน่นอนว่าถ้าการกลั่นแกล้งกันเบาๆ แบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้งเข้า มันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวไปในที่สุด จนอาจจะไม่สามารถกินอะไรได้เพราะกลัวว่าจะปวดท้องขึ้นมาหากกินอาหารก็เป็นได้ และอาจถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองป่วยเป็นโรคประหลาดเลยก็ได้”
“…! “
อย่างที่อาเรียพูด มันเป็นเพียงการแกล้งเบาๆ แค่ทำให้เกิดอาการปวดท้องเท่านั้น แน่นอนว่าหากมีอาการครั้งแรกหรือสองสามครั้งก็จะคิดว่านั่นไม่เรื่องใหญ่อะไรและปล่อยผ่านไป แต่หากว่ามันเกิดขึ้นซ้ำๆ แล้วละก็ จะต้องสงสัยว่าตนเองป่วยแน่นอน
แต่เพราะนั่นเป็นอาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากการถูกแกล้ง แม้จะไปหาหมอก็คงจะหาสาเหตุหรือวิธีรับมือโดยเฉพาะไม่ได้ และหากว่ายังมีอาการปวดท้องอยู่เรื่อยๆ หลังจากนั้นละก็ คงจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขต่อไปไม่ได้แน่ๆ
ดูเหมือนเธอจะคิดได้ถึงขั้นนั้นแล้ว นัยน์ตาของมิเอลจึงลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้เข้าใจในแผนการอันแยบยลนั่น แม้จะเป็นการแก้แค้นที่ดูเล็กน้อยและเรียบง่าย แต่ดูเหมือนจะได้ผลมากมายเลยทีเดียว
“อันที่จริงพี่เองก็ไม่ชอบที่แอนนี่ทำอะไรเกินหน้าเกินตาทั้งที่เป็นแค่สาวใช้หรอกนะ พอคิดว่าจะได้เห็นหล่อนร้องโอดโอยบ่นปวดท้องแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุกไม่ใช่น้อย”
ยิ่งได้เห็นอาเรียมีท่าทีเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดนั่นเข้า มิเอลก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมา ท่าทางเธอจะคิดว่านั่นช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับเรื่องที่เธอเคยทำมาจนถึงตอนนี้ สีหน้าของมิเอลถึงได้ดูเหมือนคนที่อยากจะลงมือทำมันเสียในตอนนี้ให้ได้เสียอย่างนั้น
และเมื่ออาเรียเห็นท่าทางเช่นนั้นของมิเองเข้า เธอก็ยิ้มออกมาเป็นการบอกว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว ก่อนจะบอกกับมิเอลอย่างลับๆ ด้วยท่าทีระมัดระวังว่า
“ใช้ดอกยี่โถดีไหม”
“ดอกยี่โถ…เหรอคะ”
“ใช่แล้ว ดอกยี่โถ มันเป็นดอกไม้ที่หาได้ง่ายๆ เป็นดอกไม้ที่มีสรรพคุณเป็นพิษและเป็นยาได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับวิธีใช้น่ะ”
“แต่ว่านั่นน่ะ…จะไม่อันตรายไปหน่อยเหรอคะ”
เพราะเป็นดอกไม้ที่มีพิษร้ายแรง หากใช้มันผิดวิธีไปแม้แต่นิดเดียวก็สามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ หลังจากที่หวนคืนกลับมาจากความตายอันน่าสยดสยอง นั่นถือเป็นดอกไม้ที่อาเรียตัดสินใจจะเป็น เพื่อประชันหน้ากับดอกลิลลี่แบบมิเอลนั่นเอง
“ก็จริงอยู่ที่มันอันตราย แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุด ก็จะมีแค่อาการปวดท้องหรือคลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น เพราะดอกยี่โถก็ถือว่าเป็นพืชสมุนไพรด้วย หากถูกจับได้ขึ้นมาก็มีข้ออ้างไว้ให้แก้ตัวได้”
“…”
แน่นอนว่าแม้จะใช้ในปริมาณเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าโชคไม่ดีขึ้นมานั่นก็เป็นดอกไม้ที่ทำให้ตายได้ทันที แต่อาเรียก็ไม่ได้บอกเรื่องนั้นออกไป เพราะถึงอย่างไรคนที่จะดื่มชานั่นก็ไม่ใช่ตัวเธอหรือแอนนี่อยู่แล้ว แต่เป็นคนอื่นต่างหาก
“…ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีเลยนะคะ”
“น้องคิดถูกแล้วละ พี่จะลองหาที่ที่สามารถหาดอกยี่โถได้ให้นะ”
ในขณะเดียวกันกับที่มิเอลพยักหน้าก็ได้ยินเสียงเจสซี่ที่อยู่นอกประตูพูดว่าเธอนำชาที่ชงใหม่มาให้ นั่นถือเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี
“เข้ามาได้”
ทันทีที่อาเรียอนุญาต เจสซี่ที่เดินเข้ามาในห้องก็พลอยมีสีหน้าดีใจขึ้นมาเมื่อได้เห็นว่ามิเอลหน้าตาสดใสไม่เป็นกังวลอีกต่อไป
โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังติดกับเข้ากับแผนการที่เคยใช้ไล่ต้อนนางมารร้ายผู้โง่เขลาในอดีต
…………………………………………..