พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 170
ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านก็กลับมาที่คฤหาสน์พร้อมกับหมอ
แม้จะใช้เวลาไม่นานแต่เพราะมิเอลใส่ยาพิษลงไปในน้ำชาเป็นปริมาณมาก ทำให้เคนไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากหมอได้
เขาเสียชีวิตไปทั้งอย่างนั้น
มิเอลตกเป็นผู้ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย มิเอลที่สิ้นสติไปจึงต้องถูกกักขังอยู่ในห้องของเธอ และเนื่องจากนี่เป็นการตายของข้ารับใช้ที่ถูกส่งมาจากเขตพระราชวัง แน่นอนว่าทางข้าราชสำนักจะต้องรับหน้าที่สอบสวนคดีที่น่าสะพรึงกลัวนี้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
อาซทิ้งงานทุกอย่างในทันทีเพื่อมาอยู่ข้างกายอาเรีย เขาเข้าร่วมกับคณะสืบสวนของข้าราชสำนักที่รับหน้าที่สืบสวนคดีนี้
เมื่อเห็นท่าทีห่วงใยของเขา อาเรียก็ฝืนยิ้มออกมาและตอบว่า
“ดิฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คนที่ดื่มพิษเข้าไปมีเพียงพี่เคนคนเดียวเท่านั้นนี่คะ”
ไม่มีทางที่เธอจะได้รับความเสียหายอะไรจากเรื่องที่ตัวเองเป็นคนวางแผนทั้งหมด
ดูเหมือนอาซเองก็พอจะเดาความจริงได้จากคำตอบที่ฟังดูไม่สะทกสะท้านนั่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถขจัดความกังวลออกไปได้ เอาแต่มองดูสีหน้าของอาเรียอยู่พักใหญ่
“ดิฉันไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะ”
ดังนั้นอาเรียจึงยิ้มให้เขาอย่างสดใสและพูดย้ำอีกรอบ ตอนนั้นเองที่อาซรู้สึกโล่งใจและวางใจขึ้นมา
“…ถ้าเช่นนั้นก็โล่งอกไปทีครับ ผมกังวลว่าเลดี้จะได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่น่ะครับ”
“ดิฉันมีนาฬิกาทรายอยู่แล้วนี่คะ หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นแล้วละก็ แค่ใช้นาฬิกาทรายก็ไม่เป็นอะไรแล้วละค่ะ”
ประจวบกับมีนาฬิกาทรายวางอยู่บนโต๊ะพอดี อาเรียตั้งใจเอามันออกมาเพื่อใช้ในเวลาน้ำชา แต่ตอนนี้มันก็ยังไม่ได้ถูกเก็บกลับไป
ดังนั้นอาเรียจึงบอกอาซว่าอย่าได้เป็นกังวล แต่สีหน้าของเขากลับดูหมองลงอีกครั้ง
“…ความสามารถของพลังนั้นใช่ว่าจะใช้มันได้รอบด้านนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นค่าตอบแทนที่เลดี้ต้องจ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย อาจจะไม่ถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าใช้มันเลยดีกว่าครับ พลังที่แสดงให้เห็นนั้นถือเป็นพลังที่หาได้ยากและมีอัตลักษณ์ที่พิเศษมาก แต่ในกรณีของเลดี้ถือได้ว่าเป็นกรณีที่พิเศษยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพราะอย่างนั้นไม่มีใครรับประกันถึงผลลัพธ์ได้เลยครับ”
เพราะความเป็นไปได้ที่อาเรียจะมีพลังนั้นเบาบางมาก เธอจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนในทันทีที่ใช้มันต่างจากเชื้อพระวงศ์ที่แท้จริง
ดังนั้นอาซที่รู้สึกไม่สบายจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น และนั่นก็เป็นส่วนที่อาเรียเองก็รับรู้อยู่แล้ว เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วย
แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของอาเรีย ต่อให้เธอต้องพลิกนาฬิกาทรายเป็นร้อยๆ ครั้งก็ตาม เธอก็ไม่กังวลที่จะจ่ายค่าตอบแทนอันมหาศาลเลย แต่หากพูดแบบนั้นออกไปก็มีแต่จะทำให้อาซกังวลเสียเปล่าๆ เธอจึงไม่พูดมันออกมา
“อีกอย่างแทนที่จะใช้นาฬิกาทราย ผมอยากให้เลดี้ใช้ผมมากกว่านะครับ เพราะนอกจากผมจะมีพลังแล้วผมยังตั้งตารอให้เลดี้เรียกใช้ผมมากกว่าที่เลดี้คิดอีกนะครับ”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองอาเรียและพูดออกมาเช่นนั้น สายตาของเขาไม่มีคำโกหกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งที่ในอดีตแม้แต่จะมองก็ยังไม่สามารถมองเขาได้ แต่ในตอนนี้เขากลับพูดออกมาว่าเพียงแค่เธอเรียกเท่านั้น เขาจะรีบตามมาเป็นมือเท้าคอยรับใช้ให้ อาเรียรู้สึกท่วมท้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอหน้าแดงเล็กน้อยและพยักหน้าลง
“…ขอบคุณนะคะ”
“เรื่องในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับข้ารับใช้ที่ผมอนุญาตให้ออกมาข้างนอก ฉะนั้นแล้วผมจึงต้องเป็นคนออกคำสั่งขั้นสุดท้ายครับ เรื่องการสืบสวนและบทลงโทษนั้นผมจะดำเนินการอย่างเข้มงวด ฉะนั้นแล้วขอเลดี้อย่าได้เป็นกังวลไปเลยนะครับ”
อ๋อ ตั้งใจจะโชว์ให้ฉันเห็นละสิท่า
อันที่จริงระยะทางจากพระราชวังมาที่นี่ไม่ได้ไกลนัก เขาสามารถข้ามผ่านระยะทางนั้นมาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาพร้อมกับเหล่าทหารเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเลือกเสียเวลาและทำให้มันยุ่งยากเสียอย่างนั้น…
อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เธอชอบอาซได้อย่างไรกันล่ะ ในเมื่อเขารู้ถึงเรื่องราวในอดีตของอาเรีย แน่นอนว่าคดีในครั้งนี้อาซเองก็คงรู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญแน่ๆ แต่เขากลับบอกว่าจะเข้าข้างเธออย่างเต็มที่อยู่ไม่ใช่หรือไง
“พูดแบบนั้นดิฉันก็โล่งใจค่ะ ดิฉันเองก็จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคุณอาซค่ะ”
แม้จะไม่ใช้อำนาจของอาซเข้ามาช่วย อาเรียก็ได้วางแผนนี้ไว้อย่างสมบูรณ์ แบบที่ไม่มีช่องโหว่ให้รอดตัวไปได้ ฉะนั้นแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้อาซมาเหนื่อยเปล่า
และดูเหมือนอาซเองก็รู้สึกได้ถึงเรื่องนี้ เขาจึงยิ้มร่าออกมาเป็นหนแรกของวัน แม้จะไม่มีเรื่องให้ตัวเองทำและถูกปฏิเสธอย่างเป็นนัยก็ตาม แต่รอยยิ้มของเขากลับดูสนุกสนานไม่น้อย
“เพราะเลดี้เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ผมเลยลำบากแบบนี้ไม่ใช่รึไงครับ”
“…ลำบากหรือคะ”
“ก็มันทำให้ผมอยากจะทิ้งงานทุกอย่างเพื่อที่จะได้คุยกับเลดี้แค่สองคนอย่างไรล่ะครับ”
อาซพูดออกมาเช่นนั้นและค่อยๆ ลูบผมยาวสลวยของอาเรีย เป็นการกระทำที่ดูไม่เหมาะกับการพูดคุยในระยะเวลาสั้นๆ เลย
อาเรียไหวหวั่นเล็กน้อยกับสัมผัสของฝ่ามือที่ลูบผมเธอ แต่เธอก็ตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ควรจะทำเรื่องแบบนี้ จึงได้ทำลายบรรยากาศอันลึกซึ้งที่อาซเป็นคนสร้างลง
“ดิฉันไม่ชอบคนเกียจคร้านเอาแต่เล่นสนุกจนลืมหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำหรอกนะคะ”
“…ถ้าเลดี้พูดถึงขนาดนั้น ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วน่ะสิครับ”
เพราะอาเรียช่วยเตือนให้รู้ถึงความจริงอันยุ่งวุ่นวาย อาซจึงต้องลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้เขาจะทำหน้าเสียดาย แต่เพราะเธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยแต่อย่างใด จึงไม่เหลือหน้าที่อะไรให้เขาทำอีกต่อไป
เนื่องจากเกิดความวุ่นวายขึ้นในคฤหาสน์ อาเรียจึงไปส่งอาซถึงแค่ประตูห้องของเธอไม่ใช่ประตูทางเข้า และในขณะที่อาซกำลังเปิดประตูออกไปข้างนอกนั้น จู่ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วหันหลังกลับมา
“ถ้าอย่างนั้นแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนละครับ หากต้องการผมเมื่อไหร่ ขอให้เรียกผมนะครับ แล้วก็…”
อาซเว้นประโยคหลังเอาไว้อย่างไม่สมกับเป็นเขาเลย อาเรียรอให้เขาพูดประโยคนั้นให้จบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับเป็นริมฝีปากอันอ่อนโยนแตะเข้าที่หน้าผากของเธออย่างไม่ทันได้คาดคิด
เมื่อทหารที่กำลังรออยู่นอกประตูเห็นสิ่งนี้เข้าก็ตกใจตาโตพร้อมหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะทำสีหน้าที่บ่งบอกว่าตนเองได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้าแล้วและรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที
ริมฝีปากที่สัมผัสหน้าผากเธอในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นมันเลื่อนไปสัมผัสที่แก้มของอาเรียอีกครั้ง
ในตอนนี้ทั้งคู่คุ้นเคยกันดี นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องเขินอายหน้าแดงอะไร ทั้งสองต่างจ้องมองตากันนิ่งๆ และนัดหมายถึงวันที่จะได้เจอกันอีกครั้ง
“ผมหวังว่าเลดี้จะไม่หักโหมมากเกินไปนะครับ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
อาซกำชับเตือนอย่างหนักแน่นต่อเหล่าทหารและคณะสืบสวนที่จะต้องอยู่ตรวจสอบคดีในคฤหาสน์ว่าให้ดำเนินการอย่างละเอียดและยุติธรรม แล้วจากนั้นเขาก็ออกจากคฤหาสน์ไป และแม้ว่าอาซจะไม่พูดเช่นนั้น ผู้ที่ทำการสืบสวนคดีต่างก็มีสีหน้าที่ดูเศร้าสลดและตึงเครียดเป็นอย่างมาก
“พอดื่มชาปุ๊บก็ล้มลงไปทันทีเลยหรือครับ”
“ค่ะ! พอดื่มชาแล้วก็อ้วกออกมาเป็นเลือดในทันทีแล้วก็ล้มลงไปเลยค่ะ!”
แอนนี่ตอบคำถามของทหารด้วยความตื่นเต้น ถึงขนาดเลียนแบบท่าล้มในตอนนั้นให้ดูอีกครั้ง
“คุณอาเรียเองก็ดื่มชาด้วยหรือครับ”
“ใช่ค่ะๆ! เลดี้อาเรียก็ดื่มชาเหมือนกัน แต่ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ คนที่ล้มลงไปมีแค่เคนเท่านั้นค่ะ”
ทหารพยักหน้าพร้อมกับสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมากต่อคำให้การของแอนนี่ และจดลงไปว่าหากว่าดื่มชาแบบเดียวกัน แต่มีล้มลงไปมีคนเดียวละก็ แสดงว่ายาพิษอยู่ในแก้วชาไม่ใช่น้ำชา
และคำตอบของเจสซี่ที่อยู่ในสวนกับอาเรียตั้งแต่ต้นจนจบก็เหมือนกัน
ยกเว้น
เรื่องที่มีคนสลับที่นั่งกับเคนเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
“สลับที่นั่งอย่างนั้นหรือครับ”
“…ค่ะ ที่จริงแล้วทีแรกนั่นเป็นที่นั่งของเลดี้อาเรียค่ะ”
“…!”
เจสซี่ตอบคำถามด้วยสีหน้าหม่นหมอง นั่นเป็นเพราะเธอรู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น และถูกหักหลังจากการกระทำของมิเอลที่เธอเชื่อใจ
เมื่อได้ข้อมูลที่ไม่คาดคิด ทหารก็เร่งให้เจสซี่พูดต่อไป
“กรุณาพูดให้ละเอียดด้วยครับ”
“…ทีแรกที่ตรงนั้นเป็นที่ที่เลดี้อาเรียนั่งอยู่ก่อนแล้วค่ะ และน้ำชาก็ถูกรินลงในแก้วตั้งแต่ตอนนั้น แต่เลดี้ทำแก้วชาของแอนนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หกคว่ำเลยเปลี่ยนที่นั่งในระหว่างนั้นค่ะ เรื่องมันเกิดขึ้นระหว่างที่มิเอลกับแอนนี่หายไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ในตอนนั้นเองเคนที่มาถึงคฤหาสน์ก็มานั่งที่ของเลดี้ค่ะ และ และก็…”
หลังจากอธิบายมาอย่างยาวนาน เจสซี่ก็ไม่สามารถพูดคำสุดท้ายต่อได้ ทหารที่เงียบอึ้งไปชั่วครู่กับคำให้การที่น่าตกใจได้พูดแทนเธอออกมา
“กลายเป็นเคนที่เป็นคนดื่มน้ำชาซึ่งเดิมทีเป็นของคุณอาเรียสินะครับ ในระหว่างที่ตัวการซึ่งเป็นคนรินให้ไม่อยู่”
“…ใช่แล้วค่ะ”
เจสซี่ยอมรับพร้อมด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ และสีหน้าของทหารที่เรียบเรียงคำให้การของเจสซี่ก็ดูไม่ปกติเช่นกัน
หากว่าคำให้การของเจสซี่เป็นความจริงแล้วละก็…
นั่นจะเป็นการพยายามฆ่าอาเรียผู้ซึ่งเป็นถึงคนรักขององค์รัชทายาทและเป็นผู้ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
“คุณเองก็คิดเช่นนั้นหรือครับ”
“…คะ เอ่อ…อะไรหรือคะ”
“ผมถามว่าคุณคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมิเอลไม่ใช่เคนแต่เป็นคุณอาเรียหรือเปล่าครับ”
“…”
แม้จะไม่ได้ยอมรับออกไปแต่อย่างใด แต่หว่างคิ้วของเจสซี่ที่ขมวดย่นและการกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นนั้นได้ทำหน้าที่ตอบแทนเธอไปแล้ว
แม้จะไม่ได้ใช้อิทธิพลของอาซเข้ามาช่วย แต่การสอบสวนที่เป็นไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั้นยิ่งเข้มงวดขึ้นมาด้วยคำให้การของเจสซี่ จนรู้สึกได้ถึงความเหยียดหยามในแววตาของเหล่าทหารและคณะสืบสวนซึ่งจะต้องดำเนินการสอบสวนด้วยความยุติธรรมและสุขุม
พวกเขาสืบสวนต่อไปโดยมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อตรวจสอบกับแอนนี่เรื่องสลับที่นั่งแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธเคืองเอาไว้ได้และตามหาอาเรีย
“นั่นเป็นเรื่องที่ได้ยินมาจากพยานให้การครับ นั่นเป็นความจริงหรือเปล่าครับ”
“…ดูเหมือนเรื่องแบบนั้นถูกเล่าออกมาด้วยสินะคะ”
อาเรียเลือกคำที่จะตอบคำถามของทหารแล้วเธอก็ยอมรับออกมาในทันทีก่อนจะถอนหายใจ ท่าทางของเธอเหมือนกับถูกเปิดเผยถึงความลับที่ไม่อยากจะพูดออกมา
เมื่อเห็นดังนั้นทหารก็ไม่สามารถเก็บซ่อนสีหน้าเศร้าใจเอาไว้ได้และพูดว่า
“ผมเข้าใจนะครับว่าในอดีตเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อนเลยอยากจะปกปิดเอาไว้…แต่นี่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้งนะครับ การให้อภัยมันมีขอบเขตอยู่ครับ ในเมื่อทำความผิดที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ขึ้นมา ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนจากการกระทำครับ”
เขาเข้าใจผิดและพูดออกมาราวกับว่าอาเรียตั้งใจจะปกปิดความผิดของมิเอลที่น่ารังเกียจ
ดวงตาของอาเรียที่ลิ้มรสกิริยาตอบรับที่น่าพึงพอใจนั่นแดงขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าของเธอราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมาได้ในทันทีเพียงแค่กะพริบขนตายาวแพหนานั่นไม่กี่ครั้ง
ทหารทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ไม่ควรจะได้เห็นนั่น เขารีบควักเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกอย่างลุกลี้ลุกลน แม้ว่านั่นจะเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ได้มาจากหญิงคนรักและไม่ใช่สิ่งที่จะให้คนอื่นยืมก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องแบบนั้น
“…ขอบคุณค่ะ ใจดีจังเลยนะคะ”
“เอ่อ ไม่หรอกครับ ดูเหมือนผมเองจะพูดอะไรที่ไม่มีมารยาทออกไป ผมต้องขอโทษด้วยครับ…”
“ไม่มีมารยาทอะไรกันคะ ดิฉันต่างหากที่ช่างโง่เขลา…เอาแต่คอยปกปิดความผิดของมิเอลมาตลอด เรื่องถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ดิฉันรู้สึกผิดค่ะ…”
“รู้สึกผิดอะไรกันครับ! คนที่ไม่เคยสำนึกในความผิดของตัวเองทั้งๆ ที่ได้รับความเมตตาต่างหากที่เป็นคนเลวครับ!”
เมื่อได้ยินคำตอบที่แฝงความรู้สึกส่วนตัวขึ้นมา อาเรียที่ยกมือขึ้นมาเช็ดรอบดวงตาอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมาเศร้าๆ และแสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร
“พอได้ยินแบบนั้นแล้วดิฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยค่ะ…”
“ผมขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้กับคุณอาเรียครับ แต่ครั้งนี้เธอจะต้องจ่ายค่าตอบแทนในความผิดที่ก่อไว้โดยไม่มีความเมตตาใดๆ ครับ”
อาเรียไม่ตอบอะไรกลับไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า
“…นั่นสินะคะ เพราะการเข้าไปยุ่มย่ามอันไร้สาระของดิฉัน ทำให้คนคนหนึ่งต้องเสียชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์นี่คะ…จากนี้ไปดิฉันจะไม่ปกปิดอะไรและจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ค่ะ”
ราวกับว่าเธอเลือกที่จะทำแบบนั้นเพราะไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว แม้จะเสียใจและไม่อยากทำก็ตาม
หลังจากที่อาเรียตัดสินใจว่าจะลงโทษมิเอลอย่างจริงจัง การสืบสวนก็ลุล่วงไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น
ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ต่างถูกสอบสวนคำให้การ ศพของเคนและหลักฐานที่เหลืออยู่ในสวนต่างถูกเก็บรวบรวมและส่งไปยังสถานที่วิเคราะห์ผล
เนื่องจากสภาพการณ์และหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนและไม่มีอะไรซับซ้อนให้ต้องครุ่นคิดจนปวดหัว จึงใช้เวลาไม่นานนัก ทุกอย่างดำเนินการในระหว่างที่มิเอลหมดสติและถูกขังอยู่ในห้อง
เพราะมีทั้งคำให้การและหลักฐานอยู่มากมายจึงทำให้มิเอลไม่มีโอกาสได้แก้ต่างใดๆ
นั่นเป็นสิ่งที่อาเรียพบเจอในอดีต แต่ในตอนนี้มันเกิดขึ้นกับมิเอล
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความผิดของมิเอลซึ่งเธอเป็นคนก่อมันขึ้นมาเอง ส่วนอาเรียนั้นเป็นหญิงสาวใจบุญผู้บริสุทธิ์และมีเมตตาที่ถูกนางมารแสนชั่วร้ายรังแก
…………………………………..