พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 172
หลังจากนั้นเจสซี่ก็จมอยู่ในความคิดของตนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะครุ่นคิดถึงคำพูดของอาเรีย
บางทีหากเป็นคำแนะนำเรื่องอื่น เจสซี่ก็อาจจะยอมรับได้ในทันที แต่เพราะนี่เป็นความเชื่อต่อผู้อื่นที่เธอยึดถือมาตลอดสิบกว่าปี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนความคิดในเวลาสั้นๆ
อาเรียไม่เร่งรัดและปล่อยให้เจสซี่ได้ครุ่นคิดอย่างเพียงพอเพื่อที่เธอจะสามารถเลือกได้ว่าควรทำเช่นไร
ถึงอย่างนั้นอาเรียก็อยากให้เจสซี่ระแวงคนอื่นมากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อตัวของเจสซี่เอง อย่างน้อยก็ควรระแวงคนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบไม่เปิดเผยอย่างตนหรือมิเอลนั่นเอง เพราะถ้าทำอย่างนั้นเธอก็จะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับอาเรียในอดีตไม่ใช่หรือ
แน่นอนว่าหากเจสซี่เชื่อใครสักคนแบบไม่ลืมหูลืมตา จนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองได้รับความเสียหายขึ้นมาละก็ อาเรียก็ไม่คิดที่จะปล่อยคนคนนั้นเอาไว้เฉยๆ แน่ แต่อาเรียก็หวังว่าเจสซี่จะเรียนรู้วิธีการวางตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาแต่แรก
ระหว่างนั้นมิเอลที่สูญเสียโอกาสแก้ตัว ต้องรอคอยคำตัดสินครั้งสุดท้ายของเธออยู่ในคุกตามที่อาเรียหวัง
ในตอนแรกคณะสืบสวนได้ทำการสอบสวนเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายพวกเขาก็เอือมระอากับคำยืนกรานที่ไม่น่าเชื่อถือของมิเอลซึ่งได้ความทรงจำกลับมาหลังจากอาการช็อกหายไปแล้ว และพวกเขาก็ไม่มาพบเธออีกเลย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ฉันนะ! ทั้งหมดเป็นเพราะพี่อาเรีย…มะ ไม่สิ ก็บอกแล้วไงว่าเป็นฝีมือของนางมารชั่วช้าอาเรียน่ะ! ฉันก็บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วไง! ได้โปรดเถอะ ได้โปรดเชื่อที่ฉันพูดเถอะ! “
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้สืบสวนและทหารได้เข้ามาตรวจดูสภาพของมิเอล และหลังจากพวกเขาพบมิเอล เธอก็เค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีตะโกนออกมาจนพวกเขากระเดาะลิ้นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
เหลือเชื่อเสียจริง ทำไมถึงยังมีเรี่ยวแรงแบบนั้นอยู่อีกนะ
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างที่พวกเขาคิด เพราะตลอดการสืบสวนคดีครั้งนี้ มิเอลไม่ได้กินอาหารอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะมันไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองอาหารอย่างเปล่าประโยชน์ให้กับคนที่เห็นได้ชัดว่าสักวันต้องจบลงด้วยการถูกประหารชีวิตแบบเธอ แต่แน่นอนว่ายังคงให้น้ำดื่มในปริมาณที่เล็กน้อยเพื่อกันไม่ให้เธอตายไปก่อนนั่นเอง
ถึงกระนั้นนั่นก็ถือว่าเธอได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าปกติ จนถึงตอนนี้ในกรณีของนักโทษที่ใกล้จะถูกประหารชีวิตคนอื่นๆ มักจะถูกเฆี่ยนตีหรือทารุณกรรมอย่างรุนแรงด้วย แต่เพราะมิเอลยังไม่บรรลุนิติภาวะและมีร่างกายบอบบางไม่แข็งแรง หากทรมานเธอไปเพียงหนึ่งครั้งก็อาจจะทำให้เธอเสียชีวิตได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดไปได้อย่างโชคดี
“อย่างไรก็ไม่มีความจำเป็นต้องฟังอะไรอีกแล้ว ส่งรายงานให้เจ้าชายเลยดีกว่า”
“นั่นสินะครับ ทั้งสภาพการณ์และหลักฐานก็ชัดเจนอยู่แล้ว แถมยังไม่เห็นถึงวี่แววสำนึกผิดเลยด้วยครับ”
“แค่ต้องมาหายใจร่วมกับคนแบบนั้นก็สะอิดสะเอียนจะแย่อยู่แล้ว”
“ใช่ครับ ทั้งที่อายุน้อยขนาดนั้นแต่กลับทำเรื่องน่ากลัวไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง…เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ผมคิดว่าเราควรกำจัดเธอออกไปให้เร็วขึ้นแม้แต่วันหนึ่งก็ยังดีครับ”
พวกเขามองดูมิเอลดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนฝีเท้ากลับไปอย่างไร้เยื่อใยราวกับเธอไม่มีค่าให้มอง
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ฉัน! และคนที่จะถูกฆ่าก็ไม่ใช่นางมารร้ายนั่นด้วยแต่เป็นแอนนี่ต่างหาก! ฉันบอกว่ามันเป็นแค่สาวใช้! เพราะแบบนั้นนางนั่นถึงได้บอกเรื่องดอกยี่โถให้ฉันรู้! ขอร้องละ…! ”
แม้จะออกมาจากคุกแล้ว แต่คำสารภาพของมิเอลที่ดังไล่หลังมาก็ทำให้ผู้สืบสวนขมวดคิ้วขึ้นและถามทหารว่า
“จะให้เขียนเพิ่มเติมไหมครับ”
“อย่างไรก็เป็นคำโกหกอยู่แล้ว แต่ทำอย่างนั้นไว้ก่อนแล้วกัน”
ทว่าหากเป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ในเมื่อมีคนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าเป้าหมายแต่แรกจะเป็นใครก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นอกจากนั้นข่าวลือที่ว่ามิเอลตั้งใจจะฆ่าอาเรียก็ยังแพร่กระจายไปทั่วเรียบร้อยแล้ว หากมาประกาศเอาตอนนี้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือแอนนี่ก็จะไม่มีใครเชื่อ
เนื่องจากก่อนหน้านี้มิเอลเคยใส่ร้ายโยนความผิดให้กับอาเรียมาแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเชื่อมิเอลเลยสักคน
แต่เพราะต้องส่งรายงานให้กับเจ้าชายโดยตรง ผู้สืบสวนจึงเขียนรายงานอย่างละเอียดและเข้าใจได้ง่ายๆ ก่อนจะเข้าพบอาซและส่งรายงานให้
อาซอ่านรายงานที่มีเนื้อหาวิเคราะห์และคำให้การที่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดเป็นจำนวนมากโดยไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว
เพื่อไม่ให้อาเรียถูกผูกมัดอยู่กับอดีตอีกต่อไป และเพื่อกำจัดต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์มาเป็นเวลานานออกไปอย่างสิ้นซาก
“คนที่ตั้งใจจะฆ่าไม่ใช่เลดี้อาเรียแต่เป็นสาวใช้ที่ชื่อแอนนี่อย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ ครับ! เธอพูดเอาไว้ตอนสุดท้ายครับ แต่ดูเหมือนสติของเธอจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ผมเลยไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความจริงหรือเปล่า”
“อย่างนั้นเองหรือ”
อาซพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาคล้ายกับจะเย้ยหยันมิเอล
อาซปราดตามองเอกสารตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะไปพบเธอด้วยตัวเองเสียหน่อย”
“…ด้วยตัวเองเลยหรือครับ”
“เพราะคนรับผิดชอบขั้นสุดท้ายคือฉันอยู่แล้ว ฉันก็ควรทำอย่างนั้น”
“เอ่อ…! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ข้ารับใช้ที่รออยู่มุมห้องก็รีบนำเอาเสื้อคลุมมาให้อาซ
ด้วยความช่วยเหลือของข้ารับใช้ทำให้อาซเตรียมตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาหยิบเอกสารและออกไปจากห้องทำงาน
ฝีเท้าก้าวออกไปอย่างมั่นใจดูไม่เหมือนคนที่ได้รับความยุ่งยากจากการทำงานหนักเป็นเวลานานเลยสักนิด
ผู้สืบสวนเดินตามหลังไปอย่างเร่งรีบ ใบหน้าของผู้สืบสวนที่มองดูรายงานในมือของอาซมีความพึงพอใจแฝงอยู่
ในขณะที่อาซก้าวเท้ายาวไปตามทางเดินของพระราชวังอย่างว่องไว คนที่เดินสวนทางมาเห็นอาซเข้าก็ตกใจและรีบเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท จะไปไหนหรือครับ”
วิการ์นั่นเอง
อาซไม่สามารถซ่อนความอึดอัดต่อคำถามที่ไม่ได้ถามถึงจุดหมายปลายทางแต่เป็นการถามว่าเหตุใดถึงจะออกไปจากพระราชวังในขณะที่ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ อาซตอบกลับไปว่า
“ฉันจะไปที่คุก ฉันเพิ่งจะได้รับรายงานเกี่ยวกับคดีของเด็กคนนั้นมาน่ะ”
“…คุกหรือครับ จะไปตอนนี้เลยหรือครับ ทั้งที่อีกสักครู่คุณปิโนต์นัวร์ก็จะมาถึงที่นี่แล้วนะครับ”
เมื่อได้ยินวิการ์บอกว่าปิโนต์นัวร์ เรนจะกลับมา อาซก็กลอกตาและไม่ตอบอะไร นั่นเป็นเพราะเรนกลับไปยังชนบทเป็นเวลานานจนเขาลืมเรื่องนั้นไปชั่วขณะ
เรนถือเป็นลูกน้องของอาซไม่กี่คนที่สามารถเคลื่อนไหวโดยหลีกเลี่ยงสายตาของฝ่ายขุนนางได้
เขาใช้นามแฝงอยู่หลายชื่อเพื่อเข้าผู้คน และตระกูลปิโนต์นัวร์ก็ไม่ใช่ตระกูลที่มีอิทธิมากเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยสนิทกับขุนนางชนชั้นสูง แม้เขาจะเหมือนกับวิการ์ที่ทำหน้าเป็นไส้ศึกแต่การมีอยู่ของเขาก็ต่างออกไป เพราะเช่นนั้นเรนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบจึงเที่ยวสำรวจทุกซอกทุกมุมของราชอาณาจักรและคอยส่งรายงานให้กับอาซเสมอมา และวันนี้ก็คือวันที่เขากลับมานั่นเอง
เพราะเช่นนั้นอาซที่กำลังครุ่นคิดจึงรีบตัดสินใจในทันที และพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“จะมาถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการและให้ฉันนั่งอุดอู้รออยู่ในห้องทำงานเลยนี่ มาถึงแล้วก็บอกให้รอแล้วกัน”
“…อะไรนะครับ! ”
“หากมีรายงานสำคัญอย่างไรฉันก็ต้องได้รับเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันหรอก”
ตามที่อาซพูดไว้ ข้อมูลที่ได้มาจากการตระเวนรอบราชอาณาจักรนั้นมักจะถูกรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางเอกสารอยู่แล้ว หากจะมีอะไรให้พูดคุยกับเรนที่กลับมายังเมืองหลวงละก็ มีเพียงการทักทายต้อนรับการกลับมาหรือไม่ก็คำพูดปลอบใจสำหรับการที่เขาทุ่มเททำงานหนักเท่านั้น
“ไม่ก็บอกให้กลับบ้านไปพักซะ แล้วค่อยเรียกมาทีหลัง”
“…เจ้าชายอัสเทอโรพีครับ”
นอกจากนั้นเรนคงรู้สึกเมื่อยล้าจากการตระเวนรอบราชอาณาจักรเป็นเวลานานอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลังจากที่อาซแสร้งเห็นใจ วิการ์ก็ทำหน้าเสียใจอย่างเป็นที่สุดและเรียกชื่ออาซขึ้นมา
“ถึงอย่างนั้นเขาก็ออกไปทำภารกิจเป็นเวลานานนะครับ ทำแบบนี้ไม่ใจดำเกินไปหน่อยหรือครับ ผมคิดว่าอย่างน้อยรอเจอเขาและชมว่าเขาทำได้ดีมากก็น่าจะดีนะครับ…”
“ไม่มีฉันอยู่เขาน่าจะสบายกว่าไม่ใช่หรือ แปลกจริง จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่าเป็นแบบนั้นซะอีก”
แม้จะแตกต่างออกไปตามสถานการณ์ แต่ความจริงโดยรวมแล้วก็เป็นอย่างที่อาซพูด วิการ์จึงตอบไม่ได้และเงียบไป และเป็นเพราะผู้สืบสวนที่ยืนอยู่ข้างหลังให้สัญญาณผ่านท่าทางและรูปปากบอกให้เขาหุบปากเพราะนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาเรียนั่นเอง
วิการ์ไม่ถามอะไรกลับไปอีก เขาทำหน้ายอมรับอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนอาซก็พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเริ่มเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
“ถ้ามีอะไรจะรายงานเพิ่มเติมละก็ บอกให้ทิ้งเอกสารไว้แล้วกัน”
“…เข้าใจแล้วครับ”
ต่างจากตอนไปพบอาเรีย ในครั้งนี้อาซนั่งรถม้าที่เร็วและดูเรียบง่ายจนไม่รู้ว่าเป็นรถม้าจากราชวัง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังคุกที่มิเอลถูกคุมขังไว้ทันที
เพราะหลังจากที่ผู้สืบสวนมาหาเธอครั้งสุดท้ายก็ไม่มีใครมาอีกเลย มิเอลจึงนอนหมอบไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นราวกับยอมแพ้ต่อทุกอย่าง
หากเธอตายลงในตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ในเมื่อหลายวันมานี้เธอมีแต่น้ำเท่านั้นที่ใช้ประทังชีวิต
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอาซและผู้สืบสวน มิเอลก็สะดุ้งตกใจและเงยหน้าขึ้นมาอย่างแข็งกร้าว
“เจ้า เจ้าชาย…”
ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าบุคคลที่มาหาเธอคืออาซ สีหน้าของเธอก็เหมือนกับท้องฟ้าได้ล่มสลายลงมา เพราะไม่มีทางที่คนรักของอาเรียอย่างเขาจะยอมฟังคำพูดของเธอแน่นอน
“สารรูปดูน่าสมเพชเสียจริง ดูยังไงก็ไม่คิดว่านี่คือผู้หญิงที่เกาะติดโรฮันเพื่อขายราชอาณาจักรเลยสักนิด”
อาซแสดงความรู้สึกที่มีต่อมิเอลอย่างตรงไปตรงมาได้อย่างเจ็บแสบ สารรูปเช่นนี้จะมีใครนึกออกว่าเธอคือเลดี้โรสเซนต์ผู้สง่าที่สุดในราชอาณาจักรได้เล่า
อาซก้มมองดูสภาพอันอัปลักษณ์ของมิเอลนิ่งๆ
“ดิฉัน…ดิฉันไม่ได้ทำจริงๆ ค่ะ…ฮึก ผู้หญิงคนนั้น…ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสั่ง…คนที่ชั่วน่ะไม่ใช่ดิฉันนะคะ…! ”
มิเอลไม่สามารถทนต่อความเงียบงันนั้นได้ เธอพูดกับอาซด้วยความหวังสุดท้าย ซึ่งมีความเสียใจที่ได้ตระหนักถึงตัวตนของนางมารร้ายที่แท้จริงร่วมอยู่ด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาซก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาราวกับนั่นเป็นเรื่องน่าขัน
“แล้วไงล่ะ”
“…คะ…”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะให้ฉันทำอะไรน่ะ”
คำตอบที่บอกว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายนั้น ทำให้มิเอลคิดว่าอาซไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดออกไป เธอจึงเปิดโปงธาตุแท้ของอาเรียอีกครั้งหนึ่ง
“จนถึงตอนนี้นางผู้หญิงร้ายกาจนั่นทำเรื่องเลวๆ มานับไม่ถ้วนแล้วค่ะ…! ถึง ถึงขนาดที่ฝ่าบาทไม่สามารถจินตนาการออกมาได้เลยค่ะ…! ภายนอกเธออาจจะดูใจดี แต่ภายในใจเธอคิดตลอดว่าจะทำเรื่องชั่วอย่างไรดี…!”
“นั่นคงเป็นเธอมากกว่า”
ทว่าอาซกลับตอบออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นทันทีทั้งที่ยังฟังมิเอลพูดไม่จบ นั่นทำให้มิเอลตกใจจนหยุดหายใจราวกับโดนฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น
“ก็เธอเป็นคนผลักเคานต์โรสเซนต์ตกบันไดแต่แสร้งว่าไม่ได้ทำต่อหน้าคนอื่นนี่นา แถมยังโยนความผิดนั่นให้เลดี้อาเรียอีกต่างหาก”
“นั่น นั่นน่ะ…! ”
“คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ฉันเห็นเหตุการณ์นั้นเต็มสองตาตัวเอง เพราะฉันเคลื่อนย้ายพื้นที่และไปโผล่อยู่ที่นั่นอย่างที่เธอพูดไงละ ฉะนั้นแล้วนางมารร้ายที่เธอพูดถึงน่ะไม่ใช่เลดี้อาเรียแต่ดูเหมือนจะเป็นเธอเองมากกว่านะ”
“…! ”
อาจเพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อาซถึงได้กล่าวถึงความสามารถของเขาออกมา
“ถ้า ถ้าอย่างนั้นที่ฉันเห็นก็…!”
“ใช่ ถูกแล้ว แต่ถึงยังไงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก”
คนที่ตกใจไม่ได้มีเพียงแค่มิเอลเท่านั้น แต่ผู้สืบสวนเองก็อ้าปากค้างและเบิกตาโพลงขึ้นมา
อาซรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้และบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ และผู้สืบสวนเองก็รีบออกไปจากคุกอย่างรวดเร็ว
“นอกจากนั้นฉันก็ไม่สนใจว่าเลดี้อาเรียเป็นคนอย่างไรด้วย ถึงจะเป็นนางมารร้ายน่ากลัวอย่างที่เธอพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน…ไม่สิ หากจะต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเธอเพื่อให้รอดชีวิตแล้วละก็ บางทีเป็นแบบนั้นน่าจะดีกว่าเสียอีก”
อาซพูดขึ้นมาอีกว่ามันสมควรแล้วที่จะต้องเอาคืนให้สาสมกับสิ่งที่โดนกระทำมา หน้าตาของเขาบอกว่าไม่ว่าอาเรียจะมีนิสัยอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ
แล้วเธอจะตอบอะไรให้อาซฟังได้อีกเล่า
มิเอลทรุดลงบนพื้นเมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครรับฟังคำพูดของเธออีกแล้ว ท่อนแขนที่ใช้แรงทั้งหมดที่มีค้ำเอาไว้ ได้สูญเสียกำลังลง
เธอไม่มีแม้แต่แรงจะเค้นน้ำตาออกมา และหอบหายใจราวกับตายทั้งเป็นซึ่งจะแตกสลายลงในไม่ช้า และเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เธอหันสายตาไปทางประตูทางเข้าเพื่อดูว่าใครกันที่จะมาหัวเราะเยาะเธออีก และคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันก็คือปิโนต์นัวร์ เรนนั่นเอง เรนคนนั้นที่มิเอลรู้ว่าเขาเป็นข้ารับใช้ของเศรษฐี
ข้ารับใช้ของเจ้านายที่แสดงไมตรีจิตด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองกองเท่าภูเขามาให้มิเอล
อย่าบอกนะว่า
“คุณ คุณเรน…!”
มิเอลเรียกชื่อเรนขึ้นมา
พร้อมทั้งความหวังเล็กน้อยว่าบางทีเขาอาจถูกมหาเศรษฐีคนนั้นส่งมาให้ช่วยเธอก็เป็นได้
“โอ้ อะไรกันนี่ สภาพดูไม่ได้เลยนะครับ”
ก่อนจะแสร้งว่าตัวเองรู้จักอาซ มิเอลก็เรียกชื่อเขาออกมาอย่างร้อนรน เรนจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเวทนาเป็นอย่างมาก
“มา มาเพื่อช่วยดิฉัน ใช่ไหมคะ! ใช่หรือเปล่าคะ!”
“…ว่าไงนะครับ”
ทว่าเขากลับเบิกตากว้างต่อคำพูดที่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและย้อนถามว่านั่นหมายความว่าอย่างไร
และมิเอลที่ร้อนใจก็รีบพูดออกมาด้วยความร้อนรุ่มใจ
“ก็ ก็เจ้านายของคุณเรนแสดงไมตรีจิตให้กับดิฉันนี่คะ…! ไม่ว่าจะขอร้องอะไรเขาก็คงรับฟังอยู่แล้ว ได้โปรดช่วยดิฉันออกไปจากที่นี่ด้วยเถอะค่ะ…! ถ้าเป็นเขาละก็ต้องทำแบบนั้นได้แน่ๆ…! ได้ ได้โปรด ได้โปรดเถอะค่ะ…!”
แววตาของเธอบ่งบอกว่าผู้ที่ร่ำรวยมหาศาลแบบนั้นจะต้องช่วยเธอออกไปได้อย่างแน่นอน และสามารถช่วยให้เธอมีโอกาสได้แก้ต่างขึ้นมา
เธอคิดว่าคนนั้นคือใครกัน
อาซหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องน่าขบขันและจ้องเขม็งไปที่เรน
………………………………………………….