พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 176
“ให้ดิฉันพาชมคฤหาสน์ดีไหมคะ”
ไวโอเล็ตจับมืออาเรียและซาบซึ้งอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เธอหยุดร้องไห้ลง ก่อนจะถามอาเรียขึ้นมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สีหน้าของเธอกำลังบอกว่าหากทำได้เธออยากแนะนำให้อาเรียรู้จักทั่วทั้งอาณาจักรโครอาเสียเลยด้วยซ้ำไม่ใช่แค่คฤหาสน์หลังนี้ แต่เพราะอาเรียกำลังปะทะเข้ากับความรู้สึกที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำให้เธอไม่อยากอยู่ด้วยกันกับไวโอเล็ตมากไปกว่านี้
“…ไม่ดีกว่าค่ะ ดิฉันอยากพักผ่อนน่ะค่ะ”
อาเรียจึงส่ายหน้าปฏิเสธออกไป จากนั้นไวโอเล็ตก็พูดว่าตนเองไม่ได้นึกถึงความรู้สึกคนอื่นเลยและเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“ตายจริง อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ดิฉันคิดน้อยไปหน่อยค่ะ ก่อนจะชมคฤหาสน์ก็ควรจะพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงถึงจะถูก…”
“ที่รักอย่ากังวลเกินไปเลย ตอนนี้พวกเขาก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ ผมว่าคุณพาเลดี้อาเรียไปชมห้องที่คุณเตรียมไว้ให้ดีไหมครับ”
“ดีเลยค่ะ เอาแบบนั้นดีไหมคะ”
แต่เพราะมาร์ควิสเปียสต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยทำให้ไวโอเล็ตผ่อนคลายขึ้น เธอจึงถามอาเรียออกมาพร้อมกับแก้มที่เรื่อชมพูเล็กน้อย
“…รบกวนด้วยค่ะ”
เพราะไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอะไร พอครั้งนี้อาเรียตอบตกลง หน้าตาของไวโอเล็ตก็ดูสดใสขึ้นมา ก็แค่พาไปชมห้องเท่านั้นอะไรทำให้ไวโอเล็ตดีใจได้ถึงขนาดนั้นกันนะ
ไม่ใช่เพียงแค่ไวโอเล็ตเท่านั้น ท่าทางมาร์ควิสเปียสต์เองก็ดูจะพอใจอยู่ไม่น้อย ส่วนโคลอีและคารินที่ดีใจกับการได้พบกันอีกครั้งนั้น กำลังมองดูไวโอเล็ตกับอาเรียพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“เป็นห้องที่วิวดีห้องหนึ่งเลยค่ะ แถมแสงแดดอุ่นๆ ก็ส่องเข้ามาเต็มที่ด้วย หวังว่าเลดี้จะชอบนะคะ”
ไวโอเล็ตพูดออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทางเบิกบานใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับคนที่รอคอยวันนี้มาอย่างยาวนาน
โดยไม่ทันได้รู้ตัวอาเรียก็ถูกจับมือขึ้นมาอีกครั้งและถูกลากไปโดยที่ไม่รู้จะทำอย่างไร อาเรียอยู่ในสภาพงงงันทำอะไรไม่ได้
หลังจากผ่านประตูบานใหญ่ที่ดูเหมือนต้องใช้แรงของข้ารับใช้ถึงจะเปิดมันได้เข้ามา อาเรียก็เห็นเข้ากับสภาพภายในที่ถูกตกแต่งในรูปแบบสมัยเก่า
แม้จะไม่มีของตกแต่งที่ทำจากทองคำหรืออัญมณี แต่ภายในห้องกลับเต็มไปด้วยของชั้นสูงที่ไม่สามารถรู้ถึงลึกล้ำของมันได้ เมื่อเดินผ่านสิ่งเหล่านั้นและขึ้นบันไดไปก็มาถึงห้องที่ไวโอเล็ตเตรียมไว้ให้
ห้องที่เธอเตรียมให้อาเรียนั้นอยู่บนชั้นสามซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคฤหาสน์ ทิวทัศน์รอบข้างเมื่อได้มองลงไปนั้นสวยเหมือนอย่างที่ไวโอเล็ตบอกไว้
ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องนอนที่คฤหาสน์ของเธอเป็นสองเท่า พร้อมทั้งเครื่องเรือนโค้งมนสีอ่อนซึ่งน่าจะถูกใจเด็กสาวถูกจัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย
แน่นอนว่านี้ไม่ใช่รสนิยมของอาเรียที่อายุภายในต่างจากภายนอก แต่เพราะเป็นห้องที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความเอาใจใส่ของคนตกแต่ง อาเรียจึงมองดูของเหล่านั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก
ดูเหมือนไวโอเล็ตจะสังเกตได้ว่าอาเรียถูกใจห้องที่เธอแต่งให้ จึงยิ้มออกมาอย่างแจ่มใสและพูดว่า
“ถ้าเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้วดิฉันจะส่งสาวใช้ขึ้นมานะคะ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็พักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่เลยนะคะ”
“ค่ะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนไวโอเล็ตจะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย เพราะหลังจากที่บอกให้อาเรียพักผ่อน เธอก็ลังเลอยู่สักพักและเอาแต่จ้องอาเรีย ก่อนจะปิดประตูห้องและหายไปกับมาร์ควิสเปียสต์ที่จับมือของเธอไว้อย่างอ่อนโยน
“แม่เจ้า! เลดี้…! ดิฉันเพิ่งจะเคยได้เห็นห้องที่สวยงามแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ! ”
ทันทีที่ประตูปิดลงและถูกปิดกั้นจากภายนอก แอนนี่ก็กรี๊ดกร๊าดออกเบาๆ พร้อมกับท่าทีกระดี๊กระด๊า
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะห้องที่ไวโอเล็ตเตรียมไว้ให้อาเรียนั้น เป็นห้องที่กว้างและหรูหรายิ่งกว่าห้องของเจ้านายคนไหนที่เธอเคยรับใช้มาจนถึงตอนนี้นั่นเอง
เพราะเป็นห้องที่ยิ่งใหญ่และดูดีกว่าห้องปัจจุบันของอาเรียที่เคยถูกชมว่าเป็นห้องที่สวยงามนับพันครั้ง เจสซี่เองก็มองไปรอบๆ ห้องด้วยเพราะไม่สามารถซ่อนความประทับใจเอาไว้ได้นั่นเอง
“เลดี้คะ เลดี้! หรือว่าขุนนางของโครอาทุกคนมีคฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้กันหมดเลยเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ…”
ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ หากเป็นตอนที่เธอไม่มีอะไรเลยในอดีตเธอก็อาจจะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเธอในตอนนี้ที่ให้การสนับสนุนนักธุรกิจแถมยังเชี่ยวชาญในเรื่องกระแสเงินตราในปัจจุบันแล้วนั้น เธอสามารถรู้ได้เลยว่าคฤหาสน์หลังนี้เหนือกว่าคฤหาสน์ของขุนนางทั่วๆ ไป
อาเรียทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกมีสวนที่ถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอเห็นคนสวนทั้งหลายกำลังยุ่งอยู่กับการตกแต่งสวนและขยับตัวด้วยความเร่งรีบ
การกระทำเช่นนั้นเหมือนเป็นความตั้งใจที่อยากจะต้อนรับครอบครัวซึ่งเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลโดยไม่ให้มีข้อบกพร่องแม้แต่ข้อเดียว นั่นทำให้อาเรียละสายตาไปไม่ได้อยู่พักใหญ่
***
การเตรียมการด้วยความเอาใจใส่ของคนในคฤหาสน์มาร์ควิสเปียสต์นั้นทำให้อาเรียรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอไม่ได้อึดอัดกับตัวคฤหาสน์แต่อย่างใด แต่เป็นคนในคฤหาสน์เปียสต์ต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้น
“ของหวานรสชาติถูกปากไหมคะ”
โดยเฉพาะไวโอเล็ต
“…ค่ะ”
อาเรียกลั้นหายใจเล็กน้อยและตอบคำถามที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำถามครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ทุกครั้งที่อาเรียทำสิ่งใดเธอมักจะถามว่าเป็นอะไรไหม ไม่ก็ถามว่าถูกใจหรือไม่ตลอด
แม้ตอนนี้อาเรียจะชินกับความสนใจและความเป็นมิตรจากคนรอบข้างแล้วก็ตาม แต่นี่ก็ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจจนไม่อยากออกจากห้องเลยทีเดียว
“ชอบอาหารทะเลไหมคะ”
“…ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นมื้อเย็นเอาเป็นเมนูอาหารทะเลดีกว่าค่ะ ว่าแต่เลดี้ชอบทานเค้กไหมคะ”
“…ชอบค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะเตรียมเค้กที่หวานและนุ่มลิ้นที่สุดในโครอาให้นะคะ ถ้าเป็นเค้กละก็คงจะขาดชานมไปไม่ได้สินะคะ ทานชานมไหมคะ”
“…ค่ะ”
เธอช่างพูดช่างถามจนดูไม่เหมือนคนที่มีตำแหน่งเป็นมาร์เชอเนสเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเธอทำแบบนั้นกับอาเรียเท่านั้น
เพราะไวโอเล็ตยังคงท่าทีสง่างามและปฏิบัติต่อคารินที่มาเยือนคฤหาสน์ด้วยกันอย่างอ่อนช้อยไม่ต่างกับขุนนางทั่วไปเลย เธอสงวนท่าทีและไม่ทำตัวล้ำเส้น
ดังนั้นแล้วอาเรียจึงตระหนักได้ว่าเดิมทีไวโอเล็ตไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น และนั่นทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเอามากๆ ถึงขนาดหมกตัวอยู่ในห้องเพื่อเลี่ยงที่จะพบไวโอเล็ต
“มาร์เชอเนสดูจะชอบเลดี้เอามากๆ เลยนะคะ”
เจสซี่พูดออกมาพร้อมกับมองไปที่โต๊ะอาหารว่างซึ่งถูกจัดเตรียมโดยสาวใช้กลุ่มหนึ่ง และยังชื่นชมว่าทำไมถึงได้ดูน่าทานได้ขนาดนี้
ตรงข้ามกับอาเรียที่รู้สึกอึดอัดใจ เจสซี่กับแอนนี่ดูจะมีความสุขที่ได้เห็นว่าคนในคฤหาสน์ตระกูลเปียสต์ทุ่มเทเอาใจใส่ต่ออาเรียเป็นอย่างดี
นอกจากนั้นคนที่สนุกกับการต้อนรับอันโอ่อ่ามากเกินเหตุนั้นไม่ใช่อาเรียแต่เป็นแอนนี่และเจสซี่นั่นเอง
“เลดี้ ดิฉันขอกินเค้กสตรอว์เบอร์รีนี้ได้ไหมคะ”
อาเรียพยักหน้าอย่างไม่ได้สนใจให้กับคำถามของแอนนี่ อย่างไรมันก็เป็นเค้กที่อาเรียไม่กินอยู่แล้ว คุกกี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากอาเรียไม่แตะต้องมันเลย มันจึงกลายเป็นของแอนนี่และเจสซี่ทั้งหมด
“ทำไมอร่อยขนาดนี้ล่ะ เหมือนกับดิฉันได้กลายเป็นขุนนางชั้นสูงเลยค่ะ มีความสุขจังเลยค่ะ! ”
แอนนี่กินเค้กสองชิ้นหมดภายในพริบตา เธอดื่มชานมอุ่นๆ และพูดออกมา เจสซี่เองก็เห็นด้วยพร้อมทั้งหยิบคุกกี้เข้าปาก
“เดิมทีแล้วดิฉันก็ไม่ค่อยจะได้ทำอะไรนอกจากงานรับใช้ง่ายๆ เท่านั้นเองค่ะ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยแบบนี้น่ะค่ะ”
ซึ่งมันก็เป็นดั่งที่กล่าวมา หากมีเวลาว่างขึ้นมา พวกสาวใช้ในคฤหาสน์ก็มักจะชงชาหรือไม่ก็จัดห้องให้อาเรีย ก่อนที่แอนนี่กับเจสซี่จะทันได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ
“นั่นสิ ฉันก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่ามันจะเป็นที่แบบนี้”
มีบ้างที่อาเรียคิดว่าถ้าการที่พวกเขาดูแลเธอดีขนาดนี้ไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปก็คงจะดี และก็มีบางครั้งที่เธอคิดว่าบางทีจุดประสงค์ที่พวกเขาทำดีกับเธออาจเป็นเพราะหวังจะใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของเธอ
แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงมาร์ควิสก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงมาร์ควิสในอาณาจักรปกครองเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่เท่าราชอาณาจักร อาเรียจึงคิดว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ทว่าในตอนนี้เธอก็ได้เข้าใจแล้วว่านั่นเป็นความคิดที่เย่อหยิ่งของตัวเอง
เพราะตระกูลเปียสต์นั้นต่างจากพวกขุนนางโง่เง่าที่อาเรียเคยพบเจอมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาเป็นขุนนางที่แท้จริง เพียงแต่พวกเขาแสดงถึงความมิตรต่อเธอมากเกินไปเท่านั้นเอง
“เลดี้ไม่ชอบที่นี่หรือคะ”
เพราะสีหน้าของอาเรียดูเหมือนมีอะไรเคลือบแคลงใจอยู่ เจสซี่จึงถามออกไปอย่างระมัดระวัง ไม่ชอบหรือ ไม่รู้สิ จะให้พูดว่าไม่ชอบก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียว เธอแค่รู้สึกอึดอัดกับความมีน้ำใจที่มากเกินไปเท่านั้น
“ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำดีกับฉันมากขนาดนี้น่ะ”
“ทำไมงั้นหรือคะ นั่นน่ะก็เพราะว่าเลดี้เป็นทั้งหลานสาวและลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแสนนานยังไงล่ะคะ”
“นั่นแหละ ที่ฉันอยากจะพูด ฉันเกิดมาจนผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว และระหว่างนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่นะ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงต้องมาทำดีแบบนี้ต่อฉันด้วยล่ะ”
คำพูดของอาเรียทำเอาเจสซี่เบิกตากว้าง หน้าตาของเธอกำลังบอกว่าไม่เข้าใจในคำถามของอาเรีย เพราะอย่างนั้นแอนนี่ที่นั่งกินเค้กอยู่ข้างๆ จึงให้คำตอบนั้นแก่อาเรียแทนเจสซี่
“นั่นน่ะก็เพราะว่าเป็นครอบครัวยังไงล่ะคะ”
“เพราะเป็นครอบครัวหรือ”
“ค่ะ ก็ครอบครัวน่ะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วยังไงล่ะคะ ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันหรือไม่ก็ตาม ครอบครัวก็ถือเป็นที่ไว้วางใจและอุ่นใจโดยที่ไม่มีความกังขาใดๆ ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“…”
เจสซี่พยักหน้าเห็นด้วย
อาเรียขมวดคิ้วขึ้นมา เรื่องแบบนั้นน่ะมีอยู่ในโลกนี้เสียที่ไหนกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันก็ตาม แต่ยังไงคนเราก็ต้องอยากเข้าหาคนที่เป็นประโยชน์ต่อตนมากกว่าอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนั่นยังเป็นกลุ่มคนที่มักจะใช้ประโยชน์จากผู้อื่นเพื่อเติมเต็มผลประโยชน์ของตนเมื่อมีโอกาสขึ้นมา แม้แต่เจสซี่เองก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะช่วยเหลือมิเอลไม่ใช่หรือไง
นอกจากนั้นแม้แต่พ่อที่ตัวเองสืบสายเลือดมามิเอลยังผลักเขาตกบันไดได้ลงคอ และในสมัยที่คารินยังเป็นโสเภณีอยู่ เธอก็แทบจะไม่เหลียวแลอาเรียเลยด้วยซ้ำ และในตอนนี้เองก็ใช่ว่าเธอจะดูแลอาเรียอย่างรักใคร่นัก
กลับกันมีเพียงอาซเท่านั้นที่ดูแลและเอาใจใส่อาเรียทั้งที่ไม่ได้มีความผูกพันกันทางสายเลือดเลยสักนิด หากคิดให้ละเอียดแล้ว อาซยังไม่ถือว่าเป็นคนในครอบครัวด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นอาเรียจึงไม่เข้าใจคำที่บอกว่าเพราะเป็นครอบครัวถึงได้เชื่อและไว้วางใจได้โดยไม่มีข้อแม้อะไร
“แต่ก็มีนี่นา ครอบครัวหักหลังกันน่ะ อย่างมิเอลไง”
“เอ่อ…นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นค่ะ นอกจากนั้นแม้จะหักหลังกันไปแล้วแต่ที่สุดท้ายที่มองหาก็มักจะเป็นครอบครัวอยู่ดีค่ะ ครอบครัวที่ถูกหักหลังก็เช่นเดียวกันนะคะ”
เมื่อลองคิดดูแล้ว เคานต์โรสเซนต์เองแม้จะถูกมิเอลหักหลังเสียมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตายตามเธอไป เขาไม่ได้หมดอาลัยตายอยากเพียงเพราะร่างกายพิการขึ้นมาเท่านั้น อาเรียคิดว่าเขาคงไม่สามารถเอาชนะความโศกเศร้าที่ต้องเห็นลูกของตัวเองเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายและยังก่อเรื่องผิดๆ ขึ้นมาได้อีก
“…ทำไมล่ะ”
แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ ถ้าถูกหักหลังขึ้นมาก็ควรจะแก้แค้นกลับไปให้สาสมสิ ถึงจะเป็นลูกสาวของตนก็ตาม แต่ก็เป็นเด็กที่ทำให้ตนเองพิการขึ้นมา เขาควรจะโห่ร้องด้วยความยินดีต่อความตายอันน่าสมเพชของเธอมิใช่หรอกหรือ
ท่าทีของอาเรียที่บอกว่าเธอไม่สามารถเข้าใจถึงความเชื่อมั่นและความรักระหว่างครอบครัวได้เลยนั้น ทำให้เจสซี่และแอนนี่มีสีหน้าหม่นหมองลง ท่าทางพวกเธอจะนึกถึงสภาพแวดล้อมที่อาเรียเกิดและเติบโตขึ้นมาได้ จึงได้ทำหน้าเศร้าใจขึ้นมา
หากเป็นคนที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมปกติทั่วไป ก็คงจะรู้ถึงข้อแตกต่างระหว่างคนอื่นกับครอบครัวหรือญาติ แต่สำหรับอาเรียนั้นเธอมองว่าครอบครัวกับคนอื่นเป็นสิ่งเดียวกัน และถือว่าสิ่งพวกนั้นมีอยู่และถูกเรียกร้องหาในยามจำเป็นเท่านั้น
“ครอบครัวนั้น…โดยเฉพาะการมีลูกก็ถือว่าเป็นผลที่เกิดกับคนที่เรารักไงคะ”
“…การมีลูกงั้นหรือ”
“ค่ะ ลูกที่สืบทอดสายเลือดของเรากับคนที่เรารักค่ะ ดิฉันไม่เคยมีลูกเลยไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันรู้สึกยังไง แต่ตอนที่ดิฉันยังเด็กมักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ค่ะ ว่าดิฉันมีดวงตาที่สวยเหมือนกับตาของพ่อค่ะ บางครั้งแม่มักจะมองหาส่วนที่มีร่องรอยของพ่อบนใบหน้าดิฉันแล้วก็มีความสุขขึ้นมาค่ะ”
ร่องรอยของคนรักสินะ คำคำนั้นทำให้อาเรียนึกถึงใบหน้าของอาซขึ้นมา
เด็กที่เกิดมาจากอาซและตนเองงั้นหรือ แล้วยังเป็นเด็กที่หน้าเหมือนอาซด้วย นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย ไม่สิ เธอไม่มีเวลาให้นึกเรื่องแบบนั้นต่างหาก
ทว่าในตอนนี้ เมื่อลองคิดถึงคำพูดของเจสซี่อย่างถี่ถ้วนดูแล้ว ก็ดูเหมือนนั่นไม่ใช่เรื่องแย่มากเสียหน่อย อาเรียถึงกับสงสัยขึ้นมา ว่าสุดท้ายแล้วเด็กคนนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เพราะเป็นเรื่องที่ยังยาวไกลเธอจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันสมจริงเท่าไหร่
“เพราะอย่างนั้นแน่นอนว่าเราจึงหวังให้เด็กที่เกิดมาจากคนรักของเรามีความสุขค่ะ ไม่มีใครหวังให้เด็กที่เราเกิดมาต้องพบกับความโชคร้ายหรอกนะคะ ดิฉันไม่รู้ว่าสมควรจะพูดแบบนี้หรือเปล่า…แต่ว่าโดยเฉพาะเลดี้ที่ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร และต้องลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเศร้าใจมากกว่าเดิมอีกค่ะ พวกเขาจึงอยากทำทุกอย่างเพื่อทดแทนเวลาที่ผ่านมาที่ไม่สามารถทำอะไรให้ได้ยังไงล่ะคะ”
“อย่างนั้นหรือ…”
แม้อาเรียจะตอบแบบนั้น แต่เพราะเธอยังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี เจสซี่จึงจับมือเธอและพูดว่า
“ใช่แล้วค่ะ เลดี้เองก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นไร้ความประทับใจเลยนี่คะ”
เจสซี่พูดถูก หากเป็นเพราะเธอแค่รู้สึกอึดอัดเท่านั้นละก็ คงจะใช้ประโยชน์จากการดูแลของพวกเขาอย่างเต็มที่ไปแล้ว แต่เหตุผลที่อาเรียหลบหน้านั้น เป็นเพราะความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไรกำลังกวนใจเธออยู่ต่างหาก
“จะให้อธิบายก็คงจะยากที่จะเข้าใจค่ะ ดิฉันว่าในระหว่างที่อยู่ที่คฤหาสน์นี้ เลดี้ลองสัมผัสมันด้วยตัวเองดีไหมคะ อย่าหลบหน้าแบบนี้อีกต่อไปเลยค่ะ”
“…”
“อย่างไรเลดี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานานอยู่แล้วนี่คะ คิดเสียว่านี่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ลองทานของว่างหรือไม่ก็ไปเดินเล่นกับท่านไวโอเล็ตดูสิคะ ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังมานาน แน่นอนว่าจะต้องได้เรียนรู้อะไรสักอย่างมาแน่ๆ ค่ะ”
แม้จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจสซี่พูดทั้งหมด แต่อาเรียก็เห็นด้วยกับเรื่องที่ไวโอเล็ตซึ่งอยู่ในพระราชวังมานานและเธอคงจะได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง
อย่างไรเสียการทำแบบนั้นก็ดีกว่าต้องใช้เวลาในแต่ละวันไปอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่แล้ว และอาเรียก็สงสัยว่าความรู้สึกอึดอัดนี้มันคืออะไรกันแน่ เธอพยักหน้าขึ้นมา
“…ตกลง ช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้หน่อยนะเจสซี่”
ดูเหมือนว่าอาเรียคิดจะไปเดินเล่นจึงได้บอกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นมา และนั่นทำให้เจสซี่ยิ้มแย้มออกมาอย่างสดใส
…………………………………….