พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 184 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 2)
ในที่สุด อาเรียก็มอบชุดเดรสเป็นของขวัญให้แก่เจสซี่และแอนนี่คนละสองชุด และเธอก็เลือกชุดให้ตัวเองเพิ่มอีกสองสามชุดด้วยเช่นกัน
“ส่วนค่าใช้จ่ายเรียกเก็บจากทางวังนะคะ”
แม้จะเป็นชนชั้นสูงก็ตามแต่นี่ก็เป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควรเกินกว่าจะจ่ายคนเดียวไหว และเมื่อหล่อนพูดเช่นนั้น อาเรียก็ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างทันควัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง มีพวกชุดของเจสซี่กับแอนนี่ด้วยนี่นา คงให้เรียกเก็บจากวังไม่ได้หรอก”
อาเรียส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ของเธอหยิบเหรียญทองขึ้นมาจ่ายค่าชุดเดรส เธอไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเธอคือผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยจากตระกูลโรสเซนต์ ที่เลื่องลือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรนั่นเอง
ดีไซเนอร์มองที่พวกเขาที่จ่ายด้วยเงินสดแทนที่จะเป็นตั๋วแลกเงินด้วยสายตาราวกับไม่เชื่อ แต่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปเมื่อได้รู้ว่าคนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้นั้นคือใคร เขาจึงคำนับอย่างสุภาพก่อนจะออกไปจากคฤหาสน์
แม้ดีไซเนอร์จะเสียความรู้สึกที่คาดไม่ถึงว่าชุดที่เขาตั้งใจทุ่มเทแรงกายแรงใจทำขึ้นมานั้น จะถูกหญิงสาวดั่งเช่นสาวใช้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น อาเรียก็ยังคงเป็นอาเรียอยู่วันยังค่ำ
นับตั้งแต่ครั้นที่เธอถูกเรียกว่านางร้าย อาเรียก็สร้างอำนาจ สร้างฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งและยังครอบครองความมั่งคั่งไว้อีกมากมาย อีกทั้งเธอผู้ซึ่งจะใกล้จะได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทในเร็วๆ นี้ มันจะไม่เหมือนในอดีตที่อาเรียมักจะถูกเมินเฉย
เพราะเธอไม่มีดีเลยอะไรนอกเสียจากใบหน้าของเธอ แต่ในตอนนี้ เธอจะไม่มีศัตรูเช่นนั้นอีกแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่เธอจะต้องถูกมองอย่างเกลียดชังอีกต่อไปแล้ว
หลังจากทุกคนเดินออกไป แอนนี่ผู้ที่ได้รับของขวัญอย่างไม่คาดคิด ก็วิ่งวนรอบห้องรับรองด้วยความรู้สึกสับสนกึ่งสงสัยว่านี่เธอกำลังอยู่ในความฝันหรือเปล่า
“นี่ฉันจะได้สวมชุดเดรสอันเลอเลิศเช่นนี้อย่างนั้นเหรอ……! แม้ท่านบารอนเวอร์บูมจะประสบความสำเร็จด้านการค้ามากเพียงใด แต่ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้ชุดเดรสที่งดงามเช่นนี้เป็นของขวัญแน่ๆ!”
“……นั่นน่ะสิ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะเอาชุดนี้ไปใส่ที่ไหนดี”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเจสซี่ยังไม่สบายใจนักและยังคงสับสนอยู่ เธอจึงพูดออกมาอย่างคลุมเครือต่างจากแอนนี่ที่ดูสนุกสนานดีใจเป็นอย่างมาก
และนั่นทำให้แอนนี่ที่ดูเหมือนโดนขัดความสุขได้ตำหนิเจสซี่ออกมา
“นี่ไม่ใช่ของขวัญที่ใครให้มาง่ายๆ นะ ทำไมเธอถึงทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นกัน ก็เอาไปใส่ในพิธีแต่งงานของเลดี้สิ เธอจะคิดให้เยอะทำไม หรือเธอจะเอาไปใส่ในพิธีแต่งงานของเธอเองก็ยังได้เลย”
“แต่ฉันเป็นแค่สาวใช้นะ… อีกอย่าง นี่ก็เป็นเดรสที่มีเพียงเหล่าขุนนางชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้สวมมัน คงต้องมีคนมาหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ เลย”
“……อะไรนะ ตอนนี้เธอกำลังกังวลเรื่องพวกนั้นอยู่เหรอ”
แอนนี่หัวเราะออกมาอย่างดังที่เจสซี่มานั่งกังวลเรื่องไร้สาระ แต่จู่ๆ สายตาของเธอก็เปลี่ยนไปและหันไปถามเจสซี่
“อีกอย่าง……เป็นแค่สาวใช้งั้นเหรอ เธอคิดว่าสาวใช้ทุกบ้านมันเหมือนกันหมดเหรอ นี่เธอยังไม่รู้เหรอว่าเราน่ะเป็นสาวใช้ของใครกันอยู่”
แอนนี่ส่งสายตาที่ตีความได้ว่าเจสซี่กำลังกังวลในเรื่องที่โง่เขลาเป็นอย่างมาก
“เธอคือสาวใช้ของเลดี้อาเรีย ผู้ซึ่งจะเป็นพระชายาของเจ้าชายและดวงดาวอันส่องประกายแห่งอาณาจักรนี้เชียวนะ! เป็นถึงสาวใช้ของพระชายาเลยนะ! นี่เป็นตำแหน่งที่พวกเหล่าขุนนางชั้นสูงต่างใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นเลยนะรู้ไหม”
“มันก็ใช่…… แต่ถึงอย่างนั้น……”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ทำงานใกล้กับขุนนางชั้นสูงเช่นนี้ อีกอย่าง เธอยังได้เป็นถึงสาวใช้ของพระชายาอีกด้วย เป็นตำแหน่งที่เหล่าสามัญชนทั้งหลายไม่กล้าที่จะใฝ่ฝันถึง แต่ก็ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลามากที่เจสซี่กลับดูถูกตัวเองและแสดงท่าทีเช่นนั้น
“ตอนนี้ใครจะต้องห่วงใครกันแน่เนี่ย ต่อให้เรื่องที่เธอกังวลมันเกิดขึ้นจริงๆ คิดว่าเลดี้จะไม่ทำอะไรงั้นเหรอ เลดี้ดูเป็นคนเช่นนั้นหรือ แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าอยากกังวลแล้วเสียผลประโยชน์เองเปล่าๆ ก็ทำไปเถอะ ส่วนฉันจะขอรับความโปรดปรานที่เลดี้นั้นได้มอบให้ฉันเอง”
“แอนนี่……”
แอนนี่ทิ้งคำพูดเช่นนั้นไว้แล้วเดินจากไป ราวกับว่าเธอไม่ต้องการจะพูดกับเจสซี่อีกแล้ว ในห้องรับรองที่เหลือเจสซี่เพียงลำพัง เธอได้แต่ถอนหายใจออกมาเพื่อจัดการกับความรู้สึกยุ่งเหยิงภายในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าผู้คนจากตระกูลเปียสต์ที่เดินทางมาจากอาณาจักรโครอาก็ได้มาถึงคฤหาสน์เพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงานในครั้งนี้ ช่างเป็นการมาเยือนอย่างรีบเร่งเพราะเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น
ทันทีที่มาถึง ไวโอเล็ตเดินไปคว้ามืออาเรียไว้พร้อมกล่าวขอโทษที่ตนมาช้า
“ขอโทษที่มาช้านะ ฉันพยายามจะมาให้เร็วกว่านี้แล้ว แต่ก็……”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่มางานของหนูก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วล่ะค่ะ”
อาเรียตอบกลับด้วยความจริงใจ ในช่วงแรก เธอไม่เคยคิดเลยว่าการที่ครอบครัวของเธอมาร่วมพิธีนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่เมื่อใกล้ถึงวันจริง ทุกอย่างดูรีบเร่ง กลับกลายเป็นว่าเธอก็มากังวลเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน
“แม่ตั้งใจจะมาให้เร็วกว่านี้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าการเลื่อนตำแหน่งนั้น มันจะใช้เวลานานเช่นนี้”
คารินพูดพลางพะยักพเยิดไปถึงโคลอี อาเรียเคยอ่านจดหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว ดูเหมือนว่าโคลอีคือผู้ที่ได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งมาร์ควิส
ตอนนี้คารินซึ่งเป็นมาร์เชอเนสอย่างเต็มตัวนั้น ช่างดูสง่างามเหมาะสมกับสถานภาพที่เธอเป็น ภาพลักษณ์ที่ต้องคอยเอาใจท่านเคานต์นั้นได้หายไปอย่างกับไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาก่อน
แม้ว่าอาเรียจะไม่ได้กังวลเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคารินกำลังไปได้ดี และนั่นทำให้เธอโล่งใจเป็นอย่างมาก อาเรียได้ดึงมือไวโอเล็ตและคารินไว้พร้อมบอกว่าเธอมีอะไรบางอย่างอยากให้ทั้งสองคนได้เห็น
“มีอะไร ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ท่านทั้งสองต้องประหลาดใจที่ได้เห็นแน่นอนค่ะ”
มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เห็นอาเรียปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้ จึงทำให้คารินเผยสีหน้ามีความสุข ส่วนไวโอเล็ตนั้นไม่มีอะไรจะต้องพูด เพราะไม่ว่าอาเรียจะพูดอะไรออกมาก็ตาม มันก็ทำให้เธอมีความสุข
จากนั้นไม่นาน เมื่อคารินและไวโอเล็ตเห็นอาเรียนำกล่องขนาดใหญ่พอสมควรออกมา ทั้งสองเบิกตากว้างพร้อมหันไปถามอาเรียราวกับต้องการคำตอบว่าสิ่งนี้คืออะไร
“หนักกว่าที่คิดไว้เลยค่ะ นี่คือชุดเดรสที่หนูจะใส่ในวันพิธีแต่งงานค่ะ”
“ตายจริง…!”
“พระเจ้า”
ไวโอเล็ตพูดอะไรไม่ออกเพราะเธอรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าตนจะได้เห็นชุดแต่งงานก่อนวันพิธี คารินที่ดูเหมือนจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อน หันมาถามอาเรียว่าตนขอเปิดกล่องได้หรือไม่
“แม่ขอเปิดกล่องได้ไหม”
“ได้ค่ะ เปิดดูสิคะ”
ทันทีที่อาเรียอนุญาต คารินก็เปิดกล่องอย่างรวดเร็ว
ภายในกล่องนั้น เต็มไปด้วยชุดเดรสที่ถูกพับไว้อย่างประณีต มองเพียงครั้งเดียวก็สามารถรับรู้ได้ว่าเดรสนี้ช่างงดงามราวกับชิ้นงานศิลปะชั้นเลิศ
“มีเดรสที่งดงามเช่นนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ”
“ให้หนูลองสวมให้ดูไหมคะ”
เมื่ออาเรียถามไปเช่นนั้น ไวโอเล็ตและคารินต่างก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ราวกับเป็นคำถามนัยๆ ว่าอาเรียสามารถสวมให้พวกเขาดูได้จริงๆ หรือ เพราะเดรสนี้คือชุดอันทรงเกียรติที่อาเรียจะได้สวมใส่มันในวันพิธีอภิเษกสมรส
หากชุดเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ แม้มันจะไม่ได้ดูขาดหรือพังง่ายเช่นนั้น แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้เช่นกัน
นั่นทำให้ทั้งสองเริ่มกังวล แค่แอบมาเปิดดูก็กังวลมากอยู่แล้ว ถึงกับลองใส่ให้ดูเลยเหรอ คารินและไวโอเล็ตจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นอาเรียจึงหยิบเดรสออกจากกล่องพร้อมร้องขอให้พวกเขาช่วยสวมให้เธอ
“ทำไมถึงเงียบกันล่ะคะ ไม่อยากเห็นหนูสวมชุดนี้เหรอคะ ในตอนที่หนูเลือกชุด พวกท่านก็ไม่ได้อยู่ร่วมด้วย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจะได้เห็นหนูสวมในตอนนี้นะคะ หนูอยากให้ท่านทั้งสองได้เห็นหนูสวมชุดนี้ก่อนผู้อื่นจะได้เห็นค่ะ”
แรกเริ่มเดิมที ครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวจะต้องมาร่วมเลือกชุดแต่งงานด้วย แต่ทว่า ณ เวลานั้น อาเรียได้ห่างเหินจากครอบครัว และอยู่ในอาณาจักรเพียงคนเดียว จึงทำให้ทุกๆอย่าง แก้ปัญหาด้วยตัวเธอเอง
ในตอนนั้น อาเรียมองว่าเรื่องแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย แต่เมื่อเธอได้พบกับไวโอเล็ตและคาริน นั่นทำให้เธอรู้สึกอยากให้ทั้งสองได้เห็นชุดเดรสก่อนผู้ใด
“จะไม่ช่วยหนูจริงๆ เหรอคะ”
เมื่ออาเรียถามซ้ำอีกครั้ง จึงทำให้ไวโอเล็ตรีบเดินเข้าไปหาและช่วยอาเรียสวมชุด คำพูดที่อาเรียบอกว่าอยากให้พวกเธอได้เห็นก่อนผู้ใดนั้น นั่นทำให้ไวโอเล็ตรู้สึกได้ว่าตนจะปฏิเสธหลานสาวที่น่าเอ็นดูเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน
คารินก็เช่นเดียวกัน เธอเข้าไปช่วยอาเรียสวมชุดเดรส คารินรู้สึกได้ว่าลูกสาวของเธอนั้นเปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากต้องสวมชุดเดรสอย่างระมัดระวัง จึงใช้เวลาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นไม่นาน อาเรียก็ได้เปลี่ยนโฉมมาอยู่ในชุดเดรสอันสง่างาม
“……เธอเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมาเลย ขนาดชุดเดรสที่หรูหราอลังการยังดูเหมาะเลย หญิงงามเช่นนี้เป็นหลานสาวของฉันจริงหรือนี่…”
ไวโอเล็ตพูดออกมาทั้งที่น้ำตาซึมพลางเช็ดน้ำตาของเธอเอง คารินก็พยักหน้าตอบกลับราวกับเห็นด้วยในสิ่งที่ไวโอเล็ตพูด
“แม้จะเป็นลูกของแม่ แต่ลูกหญิงงามเช่นนี้หาพบได้ยากจริงๆ เดรสก็ช่างเหมาะกับลูกมากๆ เลย แม่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบชุดนี้ขึ้นมา แต่แม่รู้สึกได้ว่าให้แค่ให้รางวัลเขา ก็คงยังไม่เพียงพอ”
ทันใดนั้น อาเรียเริ่มเอ่ยชื่อบุคคลที่ออกแบบชุดนี้ขึ้นมาราวกับรอคำถามนี้มานานแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นหากได้เจอเขาแล้วลองทักทาย พูดคุยกับเขาสักหน่อยดีไหมคะ เพราะคุณอาซเป็นคนลงมือออกแบบชุดนี้ขึ้นมาเองเลยค่ะ”
“……ใครนะ”
“คุณอาซค่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะชอบอะไรที่ดูหรูหราเช่นนี้นะคะ ก่อนหน้านี้ เขาเคยส่งเดรสเช่นนี้มาให้แล้วเหมือนกัน แต่หนูยังไม่กล้าลองสวมมันเลยค่ะ”
“…!”
นี่คือชุดที่มกุฎราชกุมารเป็นผู้ออกแบบขึ้นมาเองเลยอย่างนั้นหรือ
แม้จะไม่ได้ถามกลับไป แต่สีหน้าไวโอเล็ตและคารินนั้นแสดงออกมาราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเธอได้ยิน
เจ้าชายเป็นคนออกคำสั่งในการออกแบบนี้ด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ…! ยิ่งทำให้ทั้งสองได้เห็นว่าอาซทุ่มเทและเอาใจใส่มากเพียงใดเมื่อได้เห็นเดรสที่สง่างามและประณีตเช่นนี้ อีกทั้งยังเข้ากับอาเรียได้ดีอีกด้วย
หรือเขา…กำลังหลงอาเรียจนหัวปักหัวปำเช่นนั้นหรือ
การที่อาซลงมือออกแบบชุดเดรสขึ้นมาด้วยตัวเขาเองนั้น อาจจะไม่ใช่ที่การกระทำปกติที่ผู้ชายทั่วไปนิยมกัน
แน่นอนว่าการตัดสินใจในมุมมองของผู้หญิงนั้นแตกต่างจากผู้ชายเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน ในมุมมองผู้หญิงนั้นจะรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากหากคนที่เธอรักดูแลและทำให้เธอถึงเช่นนี้
สายเลือดที่พลัดถิ่นเพียงลำพัง กำลังได้รับความรักจากคู่ครองของเธอมากถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาดีใจได้เช่นไรกัน
อาเรียได้มองตัวเธอที่แสนจะงดงามอีกครั้งผ่านบานกระจก เธอหันยิ้มให้ไวโอเล็ตและคารินพร้อมพูดบางสิ่งออกมา
“ตอนนี้มีเพียงชุดแต่งงานเท่านั้นที่เพิ่งมาถึง หนูเลยให้ชมได้เพียงเท่านี้ค่ะ ตอนนี้พวกเขากำลังทำเครื่องประดับอยู่ เห็นว่าจะมาถึงภายในไม่กี่วันนี้ หนูอยากให้ท่านทั้งสองได้เห็นในตอนนั้นด้วยนะคะ”
“ได้สิ ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเลือกเครื่องประดับร่วมกับเลดี้นะจ๊ะ”
ไวโอเล็ตตอบกลับว่าตนสามารถทำเช่นนั้นให้ได้แน่นอน แม้คารินจะไม่ตอบอะไรกลับมา แต่เธอก็เผยสีหน้าออกมาให้รับรู้ว่าเธอก็จะร่วมด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนว่าบทสนทนาจะจบลงอย่างอบอุ่น แต่อาเรียดูไม่พอใจกับคำตอบของไวโอเล็ต เธอจ้องไปที่ไวโอเล็ตราวกับว่าเธอต้องการรับรู้เหตุผล
“คุณไวโอเล็ตคะ ตอนนี้คุณควรจะเลิกเรียกหนูว่าเลดี้ได้แล้วนะคะ”
“…อะไรนะคะ”
ไวโอเล็ตทำตัวไม่ถูกกับคำถามที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว และดูเหมือนว่าไวโอเล็ตยังไม่เข้าใจคำถามที่อาเรียถามออกไป อาเรียจึงเอ่ยอธิบายอีกครั้ง
“ปกติเวลาคนอื่นเรียกหนูว่าเลดี้ก็ถูกต้องอยู่แล้ว… แต่ท่านคือย่าของหนูไม่ใช่เหรอคะ หนูรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะแปลกไปนิดหนึ่งค่ะ”
ไวโอเล็ตกะพริบตาอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเริ่มเข้าใจเจตนาที่อาเรียต้องการสื่อ
คารินที่ยืนอยู่ห่างๆ เฝ้ามองอาเรียที่ดูใส่ใจและสงสัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่างจากในอดีตที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดราวกับเดินอยู่บนแผ่นกระจกที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
“อย่างที่ท่านแม่ก็ไม่ได้เรียกหนูว่าเลดี้ หนูรู้สึกว่ามันแปลกๆ เวลาท่านย่าเรียกหนูว่าเลดี้น่ะค่ะ แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกของท่านย่าหรือเปล่าหนูก็ไม่ทราบ แต่หนูอยากให้เรียกหนูว่า ‘อาเรีย’ อย่างที่ท่านพ่อและท่านแม่เรียกนะคะ……แต่ถ้าทำให้ท่านลำบากใจ หนูก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
“…!”
อาเรียกล่าวเป็นนัยว่าให้เรียกเธอตามสะดวกได้เลย แต่ดูเหมือนจะเป็นคำร้องขอที่มากเกินไปสำหรับไวโอเล็ต เธอทำตัวไม่ถูกและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ในตอนนั้นเอง คารินที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ ได้พูดอะไรบางอย่างเพื่อเข้าไปเสริมความสัมพันธ์ของไวโอเล็ตและลูกสาวของเธอเอง
“ใช่ อาเรียพูดถูกนะคะ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ในงานพิเศษอะไร เราจะเรียกเพียงชื่อของสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น เว้นเสียแต่เจ้าตัวต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามีกำแพงกั้นอยู่ซึ่งมันแย่มากๆ”
“หากความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้มีกำแพงเช่นนั้นกั้นขวางไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำเรียกขานเหล่านั้นแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว”
หลังจากจบบทสนทนา คารินและอาเรียก็มองไปยังไวโอเล็ต ทั้งสองต้องการสื่อว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นจงเรียกอาเรียว่าอาเรียได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ไวโอเล็ตที่โดนจ้องอยู่ในขณะนั้นตัวนิ่งแข็งและอยู่ในอาการประหม่าเพราะเธอไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ใบหน้าไวโอเล็ตเต็มไปด้วยคำถามที่เธอไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถเรียกอาเรียเช่นนั้นได้หรือไม่
“…หากอยากเรียกหนูว่าเลดี้ต่อไป ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ “
จากนั้น อาเรียก็พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจราวกับนี่เป็นโอกาสสุดท้าย แล้วจึงพยายามจะเปลี่ยนชุด ไวโอเล็ตที่ตกอกตกใจ เธอได้เรียกชื่ออาเรียออกไปอย่างตะกุกตะกัก
“อะ อาเรีย!”
“คะ…ท่านย่า”
และอาเรียก็ตอบกลับโดยการเรียกไวโอเล็ตว่า ‘ท่านย่า’
แม้คำว่า ‘ท่านย่า’ จะดูไม่ค่อยเหมาะกับไวโอเล็ตที่ยังคงดูอ่อนเยาว์กว่าวัย แต่ดูเหมือนว่าไวโอเล็ตจะชอบมากที่อาเรียเรียกเธอเช่นนั้น นั่นทำให้เธอเริ่มน้ำตาซึม
คารินรับรู้ได้ว่าถ้าตนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไวโอเล็ตคงอาจจะร้องไห้ออกมาแน่ คารินจึงแทรกตัวเข้าไปในบทสนทนาพลางเปลี่ยนเรื่องคุย
“ตอนนี้ก็เสร็จเรื่องชื่อแล้ว งั้นเราไปชมคฤหาสน์กันดีไหมคะ แม้จะเห็นอย่างนี้ แต่คฤหาสน์แห่งนี้นั้น งดงามกว่าที่ไหนๆ ในอาณาจักรเลยค่ะ คงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากหากออกจากคฤหาสน์ไปเช่นนี้ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำมันเลยนะคะ”
“นั่นน่ะสิคะ ท่านย่า ท่านแม่ตั้งใจตกแต่งสวนอย่างพิถีพิถันเลยนะคะ น่าชมมากเลยล่ะค่ะ”
แม้จะเปลี่ยนเรื่องแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาของไวโอเล็ตที่ปลาบปลื้มเมื่อได้ยินอาเรียเรียกเธอว่าท่านย่าอีกครั้งได้
แต่ถึงกระนั้น ไวโอเล็ตก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส คารินและอาเรียก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนด้วยเช่นกัน
………………