พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 185 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 3)
แม้จะใกล้วันอภิเษกสมรสเข้าไปแล้ว แต่เครื่องประดับต่างๆ ที่เอาไว้ตกแต่งกับชุดก็ยังมาไม่ถึง นั่นเป็นเพราะความต้องการที่มากเกินไปของอาซ จึงทำให้องค์ประกอบของชุดนั้นเสร็จล่าช้าไป หากเขากำหนดช่วงเวลาก่อนวันอภิเษกสมรสให้มันเหมาะสมตั้งแต่แรก มันก็คงจะไม่เร่งรีบเช่นนี้ แต่ด้วยการยืนกรานของอาซที่ต้องการแต่งตั้งพระชายาโดยเร็วและทำให้ราชวงศ์ยอมรับ จึงต้องเลือกวันอภิเษกสมรสที่ใกล้ที่สุด
ในระหว่างนั้น อาเรียได้ยกเลิกตารางงานทั้งหมดของเธอและใช้เวลาที่ดีร่วมกันกับครอบครัวของเธอ ซึ่งไม่ได้มาเยี่ยมเยียนมานานพอสมควรแล้ว
ซึ่งเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษมากนัก หากแต่เธอเดินเล่น จิบชา และทานอาหารเย็นเหมือนกับครั้นที่เธอเคยอยู่ในคฤหาสน์แห่งเปียสต์
อย่างไรก็ตาม เธอเริ่มรู้สึกเสียใจที่ความสุขเรียบง่ายเหล่านี้ กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
“เลดี้! “เลดี้คะ! มีแขกมาค่ะ! พวกเขามาจากร้านเพชรพลอยค่ะเลดี้! “
แอนนี่วิ่งพรวดเข้ามา พร้อมกล่าวถึงแขกด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น
“จากร้านเพชรพลอยงั้นเหรอ”
“ค่ะ! ใช่ค่ะ! พวกเขานำกล่องขนาดใหญ่มาด้วยหลายกล่องเลยนะคะ!”
“งั้นเหรอ”
งั้นเครื่องประดับก็เรียบร้อยแล้วสินะ อาเรียเคยกังวลว่าในเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาจต้องจัดพิธีโดยไม่สวมเครื่องประดับแล้วเสียอีก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่เครื่องประดับมาถึงทัน ดังนั้นเธอจึงรีบเดินไป
“ในตอนแรกฉันกังวลเรื่องเวลาอันกระชั้นชิดเช่นนี้ แต่ก็โล่งใจขึ้นมาแล้วล่ะ ที่พวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ฉันพาพวกเขาไปรอที่ห้องรับรองแล้วล่ะนะ”
ดูเหมือนว่าคารินจะลงมารอก่อนอยู่แล้ว เธอจึงบอกกับอาเรียว่าตนได้พาผู้คนจากร้านเพชรพลอยไปรอที่ห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น อาเรียก็ได้พบกับไวโอเล็ตด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอเคยสัญญากันว่าจะไปดื่มชาพร้อมชมดอกไม้ในสวนท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
ไวโอเล็ตคงไปได้ยินเรื่องที่คนจากร้านเพชรพลอยมาถึงที่นี่แล้ว จึงเอ่ยปากเร่งให้อาเรียไปตรวจสอบพร้อมกัน ด้วยสายตาที่ตื่นเต้น
“ได้ยินมาว่ามีกล่องใหญ่หลายกล่องเลยใช่ไหมคะ คงได้เลือกกันสนุกแน่ๆ เลยค่ะ”
“หนูควรลองเครื่องประดับพร้อมกับชุดด้วยเลยดีไหมคะ”
“ทำแบบนั้นก็ได้นะ แต่กลัวว่าชุดอาจจะเสียหายได้ ด้วยความที่ชุดออกแบบมาอย่างประณีตพอสมควรเลยนี่”
เมื่ออาเรียได้ถามว่าหากตนลองกับชุดมันจะเป็นอย่างไร ไวโอเล็ตก็ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่กังวลอย่างมาก แม้จะพูดไปเช่นนั้น แต่ใบหน้าของไวโอเล็ตกลับยังคงยิ้มสดใสจนเธอดูแปลกๆ เกินไป
และคารินก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ชุดสีขาวผ่องเช่นนั้น คิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ เพราะสีขาวน่ะเข้ากันกับทุกสีนะ”
“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่พูดนะคะ”
แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องรับรอง อาเรีย ไวโอเล็ตและคาริน ทั้งสามก็ได้คุยกันว่าเครื่องประดับอันไหนที่จะเหมาะสมกับอาเรียที่สุด
จากนั้นไม่นาน จึงได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่า อาเรียจะสวมใส่เครื่องประดับชิ้นไหน เธอก็สามารถปรับให้มันดูสวยสง่า และเข้ากับตัวเธอได้เป็นอย่างดี ช่างเป็นข้อสรุปที่รวดเร็วเสียเหลือเกิน
“เชิญเลยค่ะ เขากำลังรออยู่ข้างในค่ะ”
เมื่อถึงห้องรับรอง ชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนมหาดเล็กจากร้านเพชรพลอยได้โค้งคำนับและทักทายทั้งสาม
แม้จะดูแปลกตาไปบ้างที่ได้เห็นคนจากร้านเพชรพลอย ที่มีน้ำเสียงและการแต่งกายเช่นนี้ แต่ทั้งสามก็เดินเข้ามาในห้องรับรองด้วยความตื่นเต้น หันไปให้ความสนใจกับเครื่องประดับที่พวกเขาจะได้เห็นในไม่ช้านี้ จนไม่ทันได้สังเกตถึงความแปลกตาเช่นว่านั้น
“เลดี้”
“…!””
และบุคคลที่คาดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ในห้องรับรองนี้ ทำให้อาเรียตัวแข็งทื่อราวกับหิน
“ทะ ทำไมเจ้าชายถึงมาอยู่ตรงนี้……”
คารินเอ่ยปากถามถึงการมาเยือนของเจ้าชายแทนอาเรีย
“ผมมาเพราะอยากเจอเลดี้ครับ”
“……โอ้ ตายจริง งานแต่งใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าท่านจะรีบไปหน่อยนะคะ ท่านควรได้เห็นเจ้าสาวที่แต่งตัวพร้อมในวันพิธีถึงจะเหมาะสมนะคะ”
คำตอบอันมั่นใจของเจ้าชายเช่นนั้น ทำให้ไวโอเล็ตยิ้มอย่างนุ่มนวลพร้อมติเตียนที่ดูไม่เหมือนการติ และแน่นอนว่าอาซเองก็สาธยายข้อแก้ตัวของตน ที่ดูไม่เหมือนข้อแก้ตัวด้วยเช่นกัน
“ในบรรดาเครื่องประดับ มีบางชิ้นที่ผมลงคำแนะนำไปบ้าง จึงต้องแวะมาตรวจสอบ ดังนั้น อย่าได้โกรธเคืองกันเลยครับ เวลามันเร่งรีบ และผมเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกันครับ
“นอกจากชุดแต่งงานแล้ว ยังมีเครื่องประดับอีกเหรอคะ ถ้าหากว่ามีข่าวลือขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะคะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ครับ หากข่าวลือแพร่กระจายออกไป ผมหวังว่าจะไม่มีใครกล้ามาสบสายตาเลดี้ครับ”
ในที่สุด ไวโอเล็ตก็หลุดขำออกมาเล็กน้อยที่เห็นอาซเลือกตอบออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับตั้งใจจะปล่อยข่าวลือนี้ ด้วยตัวเขาเอง
ภายใต้เสียงหัวเราะนั้น แสดงให้เห็นถึงความโล่งอกโล่งใจ ซึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าอาซเป็นคนดีที่พร้อมจะดูแลอาเรียอย่างเต็มอกเต็มใจ
และแน่นอนว่าคารินก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เธอยิ้มเล็กน้อยและเรียกเขามาตรวจดูเครื่องประดับ
“คงต้องใช้เวลาสักพักในการตรวจดูเครื่องประดับเหล่านี้อย่างละเอียดเลยค่ะ อาจจะกินเวลานาน ไปจนถึงวันพิธีเลยก็เป็นได้ค่ะ”
“นั่นน่ะสิคะ มันเยอะมากจริงๆ”
ในขณะที่คารินและไวโอเล็ตกำลังรีบตรวจดูเครื่องประดับอยู่นั้น อาเรียที่เฝ้ามองดูอยู่อย่างเงียบๆ จึงเดินเข้าไปหาอาซอย่างช้าๆ และติเตียนเขาว่า มาที่นี่โดยทิ้งงานของตนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
“ท่านยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมจัดการงานเร่งด่วนเรียบร้อยหมดแล้วครับ”
หากเป็นเช่นนั้น งานไม่เร่งด่วนที่เหลือ ก็ให้คนอื่นจัดการแทนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออาเรียตีความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอาซได้อย่างถูกต้อง เธอจึงได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในใจว่ามีผู้คนต้องมาลำบากเพราะเธอ
“โอ้ ดูนี่สิคะ มาร์เชอเนส มรกตนี้ช่างดูเข้ากับอาเรียมากๆ เลยค่ะ คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ”
“เข้ากันมากเลย! ดูเหมือนว่าต่างหูไพลินก็ดูเข้ากันได้ดีกับแหวนด้วยนะจ๊ะ”
“สวมเพชรสีแดงเพื่อดึงดูดสายตาผู้คนคงไม่ได้ดูแย่ใช่ไหมคะ”
“นั่นอาจจะเป็นจุดเด่นที่ดีเลยจ้ะ!”
“สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ทั้งชุดก็ไม่ได้แย่นะคะ อาเรียแต่งอะไรก็ดูดีไปหมด จนไม่สามารถบอกได้เลยค่ะว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ”
“ฉันเห็นด้วยจ้ะ”
คารินและไวโอเล็ตกำลังตรวจสอบเครื่องประดับทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนสวมใส่มันเอง อาเรียที่เฝ้ามองทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงเช่นนั้นก็ได้
“ทำไมล่ะ”
“ลูกก็มาดูด้วยกันสิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเลือกเครื่องประดับที่อยากใส่ไว้ในใจแล้วค่ะ”
แม้ยังไม่ทันได้ดูเนี่ยนะ จากคำตอบของอาเรียที่ออกมากะทันหันเช่นนั้น ทำให้คารินและไวโอเล็ตจ้องมองไปยังอาเรียเพื่อหวังคำตอบอย่างละเอียด
อาเรียตอบพลางเหลือบมองอาซ
“หนูตัดสินใจเลือกเครื่องประดับที่คุณอาซเป็นคนสั่งทำค่ะ”
“……ได้เห็นมาก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หนูคิดว่าเครื่องประดับที่สั่งทำขึ้นมา อาจจะออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับชุดที่เขาเป็นคนสั่งทำขึ้นมาเองค่ะ”
ไม่สำคัญหรอกว่าเครื่องประดับมันจะเข้ากับชุดหรือไม่ แต่มันมีคุณค่าและความหมายที่อาซเสียสละเวลายุ่งๆ ของเขาเพื่อเตรียมการด้วยตัวเองต่างหาก
อีกทั้งนี่อาจเป็นงานแต่งงานที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ อาเรียจึงคิดได้ว่าการที่เธอได้แต่งตัวด้วยชุดและเครื่องประดับที่คนรักมอบให้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก
และแน่นอนว่าการตัดสินใจทั้งหมดในครั้งนี้ เป็นเพราะอาเรียก็มีความมั่นใจว่าเธอสามารถสวมสิ่งใดแล้ว ก็จะทำให้มันเข้ากับตัวเธอเองได้เช่นกัน
“……แม่นึกว่าจะเป็นแค่เจ้าชาย อาเรียเธอเองก็เป็นด้วยงั้นเหรอ……”
เจ้าเด็กโง่สินะ แม้เธอจะไม่ได้พูดถึงมัน แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองก็สามารถเดาในสิ่งที่คารินต้องการพูดได้อย่างแน่นอน
ทั้งสองคงรักกันมากจริงๆ อาซไม่ลังเลใจเลยที่จะอวดอาเรีย ราวกับว่าเขาไม่เขินอายกับสิ่งที่ทำอยู่ และแน่นอนว่าแม้อาเรียไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นมากเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอเองก็กำลังสนุกไปด้วยเช่นกัน
มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ครั้งที่อาซนั่งรถม้าอันสง่างามที่สุดในอาณาจักรเพื่อป่าวประกาศว่าตนได้คบหากับอาเรียแล้ว แม้ไม่พูดออกมา แต่ก็เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งว่าเขาอยากให้ทั่วทุกหนแห่งพูดคุยแต่เรื่องของเขา
แม้ในตอนที่พวกเขายังแยกกันอยู่ ก็ยังพยายามที่จะมาเจอกันขนาดนี้ แล้วถ้าหลังแต่งงานกันแล้วจริงๆ คงจินตนาการไม่ได้เลยพวกเขาจะเป็นไปได้ขนาดไหน
แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือผู้คนรอบๆ ตัวคงจะเหนื่อยกันน่าดู
“มั่นใจได้เลยครับว่ามันจะเข้ากับเลดี้อาเรียอย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นเหรอคะ คาดหวังเลยนะคะ อยากเห็นจังเลยค่ะ คุณอาซ”
คำพูดคำเดียวที่ว่ามันจะเข้ากับเธออย่างแน่นอนนั้น ทำให้อาเรียตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันงดงาม ราวกับว่าเธอลืมคารินและไวโอเล็ตที่กำลังตั้งใจเลือกเครื่องประดับอย่างรอบคอบไปหมดแล้ว
จากนั้น เหล่ามหาดเล็กก็ได้หยิบเครื่องประดับที่อาซเตรียมไว้ขึ้นมาราวกับรอเวลานี้มานาน ดูเหมือนตั้งใจทำให้มันดูโดดเด่นออกมา สีและรูปร่างของกล่องนั่น จึงแตกต่างจากกล่องอื่นเล็กน้อย
“ช่างงดงามมากเลยค่ะ”
“นั่นน่ะสิคะ…… ทำไมคุณไม่นำมาให้ดูก่อนล่ะคะ รู้สึกเหมือนเสียแรงไปเปล่าประโยชน์เลยค่ะ”
เครื่องประดับที่อาซเตรียมมานั้นช่างงดงามและหรูหราจนคาริน และไวโอเล็ตไม่สามารถจับผิดอะไรได้เลย
ดูเหมือนอาซจะตั้งใจทำให้อาเรียเป็นเจ้าสาวที่ดูขาวบริสุทธิ์ เครื่องประดับส่วนใหญ่จึงประกอบไปด้วยสีขาวและใช้เพชรที่ดูโปร่งใส แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั้น มันช่างละเอียดและงดงามมากจนน่าประทับใจ
“…… ฉันไม่แน่ใจว่าสามารถพูดมันออกมาได้ไหม แต่เจ้าชายสามารถทำอาชีพนักออกแบบ เป็นงานเสริมได้เลยนะคะ”
“นั่นน่ะสิคะ จะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอนค่ะ แถวจองอาจจะยาวจนทำให้คุณยุ่งยิ่งกว่างานหลักก็เป็นได้ค่ะ ดิฉันสามารถจองด้วยได้ไหมคะ กำลังตั้งใจจะหาซื้อเครื่องประดับศีรษะอยู่พอดีเลยค่ะ”
คำถามของคารินที่พูดหยอกเล่นผสมจริงจัง ทำให้อาซตอบกลับด้วยสายตาที่รู้สึกผิดและเสียใจออกมา
“ขอบคุณที่กล่าวเช่นนั้นครับ แต่ผมยังไม่มีความตั้งใจที่จะทำเครื่องประดับให้แก่หญิงท่านใดนอกจากเลดี้อาเรีย ดังนั้นโปรดเข้าให้ผมด้วยนะครับ”
“……เช่นนั้นเหรอคะ……”
“……อ๋อ ค่ะ……”
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองต่างก็เป็นคุณแม่และคุณย่าของอาเรีย หากตอบตกลงตามน้ำไปก็คงไม่มีอะไรเสียหายหรอก เขาจำเป็นต้องปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นนั้นเชียวหรือ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกเธอไม่โกรธหรือเกลียดในตัวอาซนั่นเป็นเพราะ พวกเธอรู้สึกได้ว่าอาซนั้นได้ตกอยู่ในกำมือของอาเรียอย่างแน่นอนแล้วนั่นเอง
“คุณอาซคะ……”
เด็กที่ทั้งสองคนต่างก็รักและห่วงใยเสมอมาได้เจอผู้ชายที่ดีเช่นนี้ จะให้พวกเขาเกลียดอาซได้ลงหรือ
ในที่สุด จึงได้ข้อสรุปที่ดีออกมา ในตอนแรกคารินและไวโอเล็ตรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นอาเรียกำลังตีแขนอาซอยู่ จึงหลุดหัวเราะออกมา
“แม้จะตัดสินใจไปแล้ว แต่ไม่สนใจลองสวมใส่มันดูบ้างเหรอ”
“ใช่แล้ว อาเรีย ฉันอยากเห็นเธอสวมเครื่องประดับงดงามเหล่านี้แล้ว หากสามีฉันกับโคลอีได้มาเห็น คงจะดีมากๆ เลยล่ะ ฉันช่างไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้พวกเขายุ่งมากจนต้องออกไปข้างนอกทุกวันเช่นนี้”
ไวโอเล็ตรู้สึกเห็นใจทั้งสองที่จะกลับมาในช่วงเย็นของวันนี้ พวกเขาคงเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าอาเรียได้ลองสวมเครื่องประดับแล้ว
“นั่นสินะคะ ฉันก็อยากเห็นเช่นกันค่ะ”
ขณะที่อาซกำลังเฝ้าดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้อาเรียจะตัดสินใจไปแล้วก็ตาม แต่เธอก็ตั้งใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าจะลองสวมเครื่องประดับดู อาเรียจึงพยักหน้าตอบและเดินไปยังเหล่าเครื่องประดับ แต่จู่ๆ ไวโอเล็ตก็ได้เดินเข้ามาหาอาซ ด้วยยิ้มอย่างสดใสและคล้ายเริ่มไล่เขาอย่างอ้อมๆ
“ขออภัยด้วยนะคะ แต่เจ้าชายจำเป็นต้องกลับแล้วค่ะ”
“……หมายความว่าอย่างไรเหรอครับ”
อาซรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้ถามเหตุผลไป และแน่นอนว่าไวโอเว็ตตอบกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“นี่เป็นธรรมเนียมของอาณาจักรมิใช่เหรอคะ ที่จะห้ามไม่ให้เห็นเจ้าสาวจนกว่าจะถึงวันพิธี ฉันไม่รู้ว่าสามัญชนทั่วไปเขาทราบเรื่องนี้หรือไม่ แต่ฉันรู้ว่าเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในหมู่ขุนนางชั้นสูง มันจะน่าเศร้าเพียงใดหากเจ้าชาย ผู้ซึ่งเป็นมกุฎราชกุมารแห่งอาณาจักร กลับฝ่าฝืนประเพณีที่ผู้คนปฏิบัติกันมานาน เพื่อเติมเต็มผลประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้ ฉันมั่นใจได้เลยว่าคงจะรู้สึกเสียใจกันเป็นแน่ และแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงเจ้าชายผู้เดียวเท่านั้น ที่อยากจะเห็นเจ้าสาวที่งดงามเช่นนี้ค่ะ”
“…”
“ฉันจำได้ว่าคุณกล่าวว่า มาที่นี่เพื่อตรวจสอบเครื่องประดับ หากคุณตรวจดูเรียบร้อยแล้ว ก็ควรกลับไปได้แล้วนะคะ”
ไวโอเล็ตพูดเร็วมากราวกับว่านั่นไม่ใช่ตัวเธอเอง แน่นอนว่าประเพณีเป็นดังเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วเธอเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าทุกคนยังคงถือปฏิบัติกันอยู่หรือไม่
และอาซเองที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้มาก็ยังมิอาจรู้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่สิ บางทีอาจไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ หรือบางที อาจไม่ใช่แค่อาซ แต่ทุกคนต่างก็ไม่ได้สนใจมันด้วยเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้น อะไรที่ทำให้เธอบอกให้เขากลับไปอย่างเย็นชาเช่นนี้……
หรือเพราะอาซปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ว่าไม่อาจทำเครื่องประดับให้แก่หญิงใดอื่น นอกจากอาเรียอย่างนั้นหรือ หรือนี่จะเป็นการแก้แค้นเบาๆ หรือเปล่านะ แต่ถึงอย่างนั้น นั่นก็ทำให้ตกใจมากเช่นกัน
“ฉันคิดว่าได้เวลาที่เจ้าชายควรออกไปได้แล้วน่ะค่ะ”
“…”
นี่เป็นสถานการณ์ที่อาซไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามันจะเกิดขึ้น ระหว่างที่อาซกำลังกังวลอยู่ว่าควรจะตอบอะไรออกไป คารินก็ออกมาเสริมทัพช่วยไวโอเล็ต จนทำให้เขาต้องจนมุม
“เลดี้……”
ท้ายที่สุด อาซจึงได้ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอาเรีย แต่ยังไม่ทันที่อาเรียจะเอ่ยปาก คารินก็ตอบกลับมา
“ตอนนี้ทุกๆ อย่างคงเรียบร้อย ไม่มีอะไรให้แก้แล้ว อีกทั้งนี่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว มันจะดีกว่าไหมคะ ถ้าได้เห็นเลดี้แต่งชุดที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องประดับ แต่งหน้าและทำผม”
มันแน่นอนอยู่แล้วว่าหากเธอปฏิบัติตัวเช่นนั้น เจ้าชายก็อาจจะประทับใจ แต่ถ้าหากแสดงให้พระองค์เห็นมากเกินไป เจ้าชายอาจจะเบื่อหน่ายได้ คารินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบา เบาจนมีเพียงอาเรียเท่านั้นที่ได้ยิน พร้อมกับสะบัดพัดไปมาอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
ทั้งสองกล่าวขึ้นมาด้วยความจริงจังเช่นนี้ แล้วอาเรียจะไม่บอกให้อาซกลับไปได้อย่างไรกัน มันไม่ใช่อะไร มากที่สุดก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้เห็นตัวเธอเองสวมเครื่องประดับก็เท่านั้นเอง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญขนาดนั้น อีกทั้ง ไวโอเล็ตและคารินพูดราวกับอยากให้อาเรียเข้าข้างพวกเธอ ดังนั้น เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งนั่นเป็นคำขอเล็กๆ ก่อนที่เธอจะเข้าพิธีแต่งงานและออกจากคฤหาสน์มาร์ควิส นั่นจึงเป็นคำขอที่อาเรียสามารถทำให้พวกท่านได้
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ คุณอาซ ดูเหมือนว่าคุณคงต้องรอชมในวันพิธีแล้วล่ะค่ะ เขาบอกว่ามันมีธรรมเนียมเช่นนี้อยู่นะคะ”
อาซดูเสียใจในคำตอบของอาเรีย แต่เขาก็พยักหน้าตอบตกลงไปอย่างเลือกอะไรไม่ได้ และดูเหมือนว่าเขาจะยอมกลับไป แต่ทว่า
“พระเจ้า”
“…ให้ตายสิ”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมออกจากที่นี่ด้วยมือเปล่า อาซได้ตรงเข้าไปหอมแก้มอาเรียอย่างเบาๆ
“……แล้วพบกันวันพิธีครับ”
จากนั้น เขาก็บอกลาคารินและไวโอเล็ตที่กำลังตกใจด้วยความสุภาพและเดินออกจากห้องรับรองไป ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ในขณะที่อาเรียกำลังวางฝ่ามือลงบนแก้มแดงๆ ของเธอ ไวโอเล็ตและคารินก็ยิ้มเขินอายราวกับเป็นเด็กผู้หญิง อีกทั้งพวกเธอยังตื่นเต้นกับเรื่องราวของอาซที่กลับไปแล้ว
“ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าชายผู้เป็นถึงมกุฎราชกุมารจะเป็นชายเช่นนี้”
“……นั่นสิคะ ขนาดดิฉันที่ได้พบบ้างเป็นครั้งคราวก็ยังรู้สึกตกใจเลยค่ะ”
ยิ่งเมื่อใกล้วันพิธีความรู้สึกเสียดายเวลาของอาซกลับผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านไป
………………..