พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 194 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 12)
‘มีข่าวลือว่าพวกสาวใช้ที่พระชายาพามาทำตัวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงครับ ใส่ชุดเดรสหรูหรา หรือแม้แต่นั่งดื่มน้ำชา ทำตัวเหมือนเป็นขุนนางน่ะครับ แล้วก็มีข่าวลือว่าเงินทั้งหมดนั่นมาจากเงินของพระชายาด้วยครับ… ไม่ได้มีแค่คนสองคนนะครับที่มองพวกเธอตาขวาง’
อาเรียที่คิดถึงเรื่องที่ขุนนางพูดเมื่อครู่ก่อนจิบน้ำชาที่สาวใช้รินให้ ท่าทางของเธอดูสง่างามและเป็นผู้ดีอย่างแท้จริง
ในขณะที่อาเรียดื่มชา เหล่าคุณหญิงคุณนายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอเองก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นด้วยท่าทางที่สง่างามมากเช่นกัน พวกเธอดูมีความสุขที่คำสั่งห้ามเข้าเยี่ยมอันเป็นผลมาจากแผนการของเรนและความเข้าใจผิดของอาซได้สิ้นสุดลง
“ฉันรอเวลานี้มานานแสนนานเท่าไรแล้ว… ฉันตกใจเหลือเกินที่คิดว่าจะไม่ได้เจอพระชายาน่ะค่ะ”
“ฉันด้วยค่ะ พระชายาก็ไม่ใช่คนที่พบเจอได้ง่ายๆ เสียด้วย แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคำสั่งห้ามเข้าเยี่ยมออกมาแบบนี้ ฉันก็ตกใจสุดๆ เลยค่ะ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ อาจจะสายไปหน่อย แต่ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะที่ได้มาพบพระชายา”
ใกล้ๆ บรรดาหญิงชนชั้นสูงที่พูดจาเอะอะเสียงดังนั้นมีสาวใช้คนโปรดของพวกเธอยืนรอรับคำสั่งอยู่ พวกเธอแต่งตัวดูสดใสต่างจากสาวใช้คนอื่นๆ ที่ทำความสะอาด
พวกเธอเป็นบุตรีของตระกูลขุนนาง พวกเธออาสาเข้ามาเป็นสาวใช้ในตระกูลที่มีอำนาจ เพื่อตระกูลที่ไม่มีอำนาจของตัวเอง
หนึ่งในสาวใช้เหล่านั้นสบตากับอาเรียที่กำลังดื่มชาอยู่ อาเรียจ้องมองเธออย่างสังเกตเห็นได้ชัด เธอจึงรู้สึกตัวและรีบหลบสายตาไป
เธอไม่สามารถซ่อนสีหน้าตกใจได้อยู่ครู่หนึ่ง ราวกับเธอไม่คิดว่าจะบังอาจไปสบตากับพระชายาเข้า ก่อนจะยิ้มและโน้มศีรษะลงอย่างสุภาพ
การประจบประแจงคนอื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติและปกติ มันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยที่จะช่วยให้เธอปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เก่งขึ้นเพื่ออนาคตของเธอ
“ช่างเป็นเด็กๆ ที่น่ารักจริงๆ นะคะ”
อาเรียจึงเอ่ยปากพูดพลางมองสาวใช้ หญิงชนชั้นสูงคนหนึ่งก็เห็นด้วยและยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“พระชายาก็คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ มีความสุขจังเลยค่ะ เธอเป็นคนโปรดของฉันเลยค่ะ”
ในอดีต อาเรียไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับพวกหญิงสาวเท่าไรและมักจะโดนดูถูก เพราะเธอเป็นบุตรีของตระกูลที่มีอำนาจ จึงไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องนั้น ทว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเพิ่มความสัมพันธ์อันดีกับคู่ของสตรีผู้มีอำนาจสูงศักดิ์และสาวใช้ที่น่ารัก
แม้เธอจะเป็นหญิงที่มาจากตระกูลขุนนางที่ไร้อำนาจ แต่เธอก็สามารถมีอำนาจขึ้นมาได้ด้วยการสนับสนุนจากหญิงชนชั้นสูงของเธอได้ ส่วนขุนนางหญิงนั้นสามารถเพิ่มกำลังอำนาจได้เพราะมีคนของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
“ค่ะ เธอดูเป็นเด็กฉลาดและน่าจะช่วยเหลือเลดี้ได้เยอะในอนาคตเลยค่ะ”
“ได้ยินพระชายาพูดแบบนั้นแล้ว ฉันก็ทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ”
หญิงชนชั้นสูงที่ได้รับคำชมหน้าแดงเล็กน้อยดูไม่เข้ากับเธอ
“เลดี้หวังให้สาวใช้คนนั้นมีความสุขในอนาคตใช่ไหมคะ”
“แน่นอนค่ะ จะมีอะไรดีไปกว่าการที่เด็กคนโปรดของฉันมีความสุขอีกล่ะคะ”
อาเรียก็รู้สึกเช่นเดียวกัน และเด็กเหล่านั้นสำหรับเธอก็คือเจสซี่และแอนนี่ เธอหวังให้พวกเธอที่ช่วยเหลือเธอจนมาถึงจุดนี้ได้มีความสุข
แน่นอนว่าเธอรักและสนใจเจสซี่ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมากขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะทิ้งแอนนี่ที่มีนิสัยเหมือนกับตัวเอง
แอนนี่จะต้องเป็นคนที่ช่วยเธอได้ในอนาคต เพราะเธอเป็นคนที่ไม่เคยลังเลที่จะตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวให้ตัวเอง
“ไม่ว่าใครก็คงคิดแบบนั้นใช่ไหมคะ”
“…น่าจะนะคะ”
“เลดี้เองก็คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ”
อาเรียถามเช่นนั้นแก่ขุนนางหญิงคนอื่นๆ แล้วพวกเธอก็พยักหน้าตอบราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
“ใช่ค่ะ”
“เลดี้ด้วยใช่ไหมคะ”
“คะ อ๊ะ ค่ะ แน่นอนค่ะ”
“เลดี้ล่ะคะ”
“…แน่นอนสิคะ ฉันเองก็คิดเช่นนั้นค่ะ”
เมื่ออาเรียถามคำถามเดิมซ้ำๆ พวกคุณหญิงทั้งหลายก็มีสีหน้าแสดงความรู้สึกออกมาว่ามันแปลก มันเป็นบทสนทนาที่เรียบง่ายและแปลก ไม่เหมาะกับเหล่าสตรีชนชั้นสูงที่จะนำมาพูดคุยกัน
พวกเธอจึงรู้สึกสงสัย แต่อาเรียกลับมีสีหน้าต่างออกไป เธอเอ่ยปากพูดด้วยสายตาและปราศจากรอยยิ้ม
“แล้วทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้ซุบซิบนินทาเด็กคนโปรดของฉันกันล่ะคะ”
“…!”
“…คะ”
ความเงียบเกิดขึ้นในห้องรับแขกภายในชั่วพริบตา หากจะถามกลับว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไรนั้น ก็เป็นเพราะว่าข่าวลือเรื่องสาวใช้ของพระชายาได้แพร่ออกไปนอกวังมาสักพักแล้ว
ไม่มีใครที่ไม่สบถด่าเจสซี่และแอนนี่ผู้บังอาจทำให้อาเรียผู้ได้รับความรักจากคนทั้งหลายและขึ้นครองราชสมบัติต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เช่นเดียวกับสตรีชนชั้นสูงทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้
พวกเธอปิดปากแน่นและตาเบิกโพลง เพราะตกใจที่จู่ๆ อาเรียก็พูดเช่นนั้นออกมาด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนว่าเป็นเพราะสีหน้าอันเย็นชานั้น ทำให้พวกเธอไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้
บางคนถึงกับกะพริบตาถามว่านั่นคือพระชายาจริงๆ หรือ แม้พวกเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมพระชายาถึงมองพวกเธอด้วยสายตาน่ากลัวขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
สีหน้าน่ากลัวที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอาเรียนั้นมากเกินพอที่จะทำให้เหล่าสตรีชั้นขวัญกระเจิง
“…”
อาเรียที่กำลังถ่วงเวลาพักหนึ่งพลางจิบชาก็กลับมาเผยสีหน้าอ่อนโยนอีกครั้งหน้า ราวกับไม่เคยทำหน้าเย็นชามาก่อน
จะรีบโมโหไปไม่ได้ ตอนนี้ก็แค่เตือนพวกเธอเท่านั้น ต้องค่อยๆ เก็บเกี่ยวเอาประมาณนี้
“อ๊ะ ฉันพูดผิดไปหน่อยน่ะค่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงว่าพวกเลดี้ทำเช่นนั้นนะคะ ฉันแค่ได้ยินคำนินทามาเท่านั้นเองค่ะ ฉันสงสัยว่าทำไมถึงมีแค่สาวใช้ของฉันเท่านั้นที่โดนนินทา ทั้งที่เลดี้ทุกคนต่างก็ใจดีลงทุนกับสาวใช้ของตัวเองอย่างไม่บันยะบันยังถึงขนาดนั้นเหมือนกันน่ะค่ะ แปลกจริงๆ เลยนะคะ”
“… …”
“…”
แน่นอนว่าคำตอบถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว
เนื่องจากเหตุผลที่เจสซี่และแอนนี่ต้องมาฟังคำนินทานั้นก็เพราะพวกเธอมาจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย เช่นเดียวกับที่อาเรียถูกเหยียดหยามอย่างไร้เหตุผลในอดีต ถึงแม้พวกเธอจะได้รับอนุญาตจากอาเรียแล้วก็ตาม
‘เพราะนี่มันเกินเลยกว่าการดูถูกเจสซี่กับแอนนี่เฉยๆ แต่มันกลายเป็นดูถูกแม้กระทั่งฉันไปแล้ว’
ฉันคงปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่สิฉันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้แน่ๆ
ถ้าแสร้งทำดีแบบมิเอลต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่เกิดผลดีอะไรแน่ๆ อาเรียคิดเช่นนั้น แล้ววางแก้วที่ถืออยู่ในมือลง
จากนั้นเธอก็ซับปากของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ยื่นให้เพื่อแจ้งยุติการพบปะเล็กๆ นี้
“จู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ฉันคงต้องขอตัวไปก่อนนะคะ”
ทั้งที่อุตส่าห์ได้เจอพระชายาหลังจากไม่ได้เจอมาหลายวันแท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะยุติการพบปะนี้ทั้งที่มันยังไม่แม้แต่จะเริ่ม
เมื่ออาเรียกล่าวว่าเธอจะยุติการพบปะนี้ภายใน 10 นาทีอย่างช้าที่สุด สีหน้าของเหล่าสตรีชั้นสูงก็หายไปจากใบหน้าของพวกเธอ แต่พวกเธอจะบังอาจไปพูดอะไรได้ ในเมื่อพระชายาบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอยังเป็นคนที่เห็นใบหน้าอันเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งของอาเรีย แม้จะแค่ครู่เดียวก็ตาม แม้จะแค่พริบตาเดียวจนเหมือนเป็นภาพลวงตา แต่ก็เป็นใบหน้าเย็นชาและไม่เป็นมิตรที่ยังฝังอยู่ในหัวของพวกเธออย่างชัดเจนและไม่อยากจะเห็นมันอีก
เธออาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ ก็ได้ เธอก็เลยควบคุมจัดการสีหน้าของตัวเองไม่ได้ เหล่าสตรีชนชั้นสูงพยายามคิดว่าเธอไม่ได้ตำหนิติเตียนพวกเธอ แล้วขอให้อาเรียเรียกพวกเธอมาอีกในครั้งหน้า
“หายไวๆ นะคะ”
“หวังว่าพระชายาจะสุขภาพแข็งแรงในตอนที่เจอกันครั้งหน้านะคะ”
อาเรียตรงกลับไปที่ห้องหลังจากการพบปะกับสตรีชั้นสูงสิ้นสุดลง
ทันทีที่อาเรียนั่งลงที่โต๊ะ รูบี้ก็นำชามาเสิร์ฟให้ด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเดิม แม้เธอน่าจะได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
อาเรียไม่ได้อยู่กับเธอมานานขนาดนั้น แต่เธอก็พอเข้าใจนิสัยและบุคลิกของเธอได้จากหลายๆ เรื่อง จึงเห็นได้ชัดว่าเธอก็คงจะคันปากอยากจะพูดออกมา
“เธอรู้อยู่แล้วหรือ”
“ค่ะ”
เพราะอย่างนั้นพออาเรียถามหาความจริง รูบี้ถึงได้ตอบใช่ออกมาอย่างรวดเร็ว เธอดูราวกับว่าเธอกำลังเฝ้ารอให้อาเรียถามเช่นนั้นอยู่เลย
“มีแค่ฉันที่ไม่รู้เรื่องสินะ ทั้งที่เป็นเรื่องของฉันเองแท้ๆ จะมีพระชายาคนไหนโง่กว่าฉันอีกไหมนี่”
“ดิฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกพระชายาตอนไหนดี ก็เลยรอเวลาเหมาะๆ อยู่น่ะค่ะ”
รูบี้ตอบอาเรียที่กำลังโทษตัวเองอยู่อย่างไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองแอนนี่ที่ฉลาดขึ้นมานิดหนึ่งอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะอยากคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้กลายเป็นแหล่งข่าวของตัวเอง
มันไม่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยที่จะมีสาวใช้สักคนคอยบอกข่าวที่ฝังรากอยู่ภายในวัง ไม่สิ เธอจำเป็นจะต้องมีสาวใช้ที่คอยส่งข่าวให้ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเหมือนกับตอนนี้
“เล่ามาสิ”
เมื่อเธออนุญาตให้พูด รูบี้ที่ดวงตาส่องประกายก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เธอรู้ออกมา เธอเหมือนกับแอนนี่ที่ขายใครสักคนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
* * *
“อาเรีย”
บุคคลที่ไม่คาดคิดเข้ามาต้อนรับอาซที่เพิ่งทำงานเสร็จและออกมาจากห้องทำงานของเขาในตอนเย็น
อาเรียเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ อาซและเผยยิ้มด้วยดวงตาของเธอ
“ออกมาแล้วหรือคะ”
“…”
แทนที่จะถามว่าทำไมถึงมารับ รอมานานแค่ไหนแล้ว หรือทำไมมาไม่บอกไม่กล่าว สิ่งที่อาซเลือกที่จะทำคือเข้าสวมกอดเธอด้วยแขนที่โอบเอวของอาเรียสองข้าง
“ถ้าคุณส่งใครมาบอกผมเอาไว้ก่อน ก็คงจะดี”
“ฉันเพิ่งมาถึงไม่นานเองค่ะ แล้วอีกอย่างฉันก็คิดว่าบางทีให้ฉันเป็นคนรอคุณอาซก่อนบ้างก็เป็นความคิดที่ไม่แย่นักน่ะค่ะ”
“…”
อาซพูดอะไรไม่ออก เขามองอาเรียที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองอย่างเงียบๆ มีอะไรที่ฉันสามารถพูดกับภรรยาผู้น่ารักอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของฉันได้อีกไหมนี่
“ฉันทำให้รู้สึกไม่ดีหรือเปล่าคะที่มารอตามอำเภอใจน่ะค่ะ”
อาเรียถามอาซพร้อมกับกะพริบตาขึ้นลงด้วยขนตาอันเป็นแพงดงามอย่างจงใจ เป็นท่าทีที่น่ารักขนาดที่ไม่ว่าใครจะมอง ก็ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้
“…เฮ้อ”
อาซทำเสียงหนักใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนลงฝีปากของอาเรียแทนคำตอบ
“ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไรคะ”
อาเรียตำหนิพลางตีหน้าอกของอาซเบาๆ แต่เขาก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบให้คนอื่นเห็น
เพราะเดิมทีเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และตอนที่อยู่กันแค่สองคนก็ไม่เคยสนใจสายตาคนรอบข้าง
ด้วยเหตุนี้คนรับใช้ที่ติดตามอาซกับอาเรียจึงไม่มีใครกะพริบตาแม้แต่คนเดียว
“อยากที่ผมบอกไปแล้วว่าถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้ทุกคนในอาณาจักรเห็นและรับรู้ครับ”
นี่ใช่อาซคนที่ขึ้นรถม้าคันแพรวพราวข้ามเมืองหลวงมาจริงหรือ อาเรียซุกหน้าของเธอซบลงที่หน้าอกของอาซพลางนึกถึงเรื่องในอดีต แล้วหัวเราะเบาๆ มันเป็นเสียงหัวเราะที่บ่งบอกว่าเธอมีความสุขมากทีเดียว
อาซจุมพิตลงที่หัวของอาเรียผู้มีท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนั้น แม้จะไม่ใช่บทสนทนาที่สำคัญมากนัก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่แสนล้ำค่า
อาซและอาเรียใช้เวลาเช่นนั้นด้วยกันพักหนึ่ง ก่อนจะจับมือกันมุ่งหน้าไปยังห้องอาหาร ระยะทางระหว่างห้องทำงานของอาซจนถึงห้องอาหารนั้นค่อนข้างไกล ทุกคนในวังจึงเห็นทั้งสองเดินจับมือกันไปทั่วคฤหาสน์
แม้มันจะไม่เหมาะสมที่เจ้าชายและพระชายาที่ควรจะรักษาความสง่างามและสูงส่งเอาไว้อยู่เสมอประพฤติเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ เพราะทุกคนต่างก็เห็นทั้งสองจับมือกันมุ่งไหนไปที่ไหนสักที่บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
“จะว่าไป คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะคะ”
เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง อาเรียเอ่ยปากถามอาซและเพิ่มแรงที่จับมือเขาอยู่เบาๆ
“เรื่องอะไรหรือครับ”
“ที่ฉันถามว่าฉันทำให้รู้สึกไม่ดีหรือเปล่าคะที่ทำตามอำเภอใจน่ะค่ะ”
“อ๋อ หมายถึงที่ถามผมในตอนแรกสินะครับ”
คำถามนั้นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ต้องการคำตอบจากอาซ เธอรู้สึกผิดต่อเขานิดหน่อยก็จริง แต่มันก็เป็นเพราะเธอถ่อไปถึงห้องทำงานเพื่อฟังคำตอบของเขา
“ไม่มีทางที่ผมจะรู้สึกไม่ดีหรอกครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรือไม่ว่าคุณจะพูดอะไรก็ตามน่ะครับ”
“ต่อให้ฉันจะกลายเป็นหญิงชั่วอีกครั้งตามอำเภอใจเหมือนข่าวลือแต่ก่อน ไม่ใช่พระชายาใจดีมีเมตตาอีกต่อไปก็ตามหรือคะ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมกลับชอบเสียอีกครับ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่มีใครมาขวางทางเราได้ไงล่ะครับ”
แน่นอนว่าด้วยข้อสนับสนุนหลักที่ว่าเธอไม่ได้ทำลายประเทศหรือการปกครองใดๆ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาอยากให้อาเรียกลายเป็นหญิงชั่วตามข่าวลือและมองมาแค่ที่เขาคนเดียว
“…เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะคะ”
อาเรียที่ได้รับคำตอบแน่ชัดที่เธอเฝ้ารอมาอย่างยาวนานทิ้งท้ายคำพูดที่แฝงความหมายอันลึกซึ้งไว้ เธอใช้นิ้วมือจั๊กจี้มือของอาซที่จับอยู่เป็นเหมือนการคะยั้นคะยอให้เขาสัญญา
“…อาเรีย”
ทว่าการกระทำของอาเรียเป็นการเรียกวิกฤตการณ์ให้เข้ามากเสียกว่าเรียกคำตอบแน่ชัดจากอาซ วิกฤตการณ์ของการข้ามมื้อเย็นและกลับตรงไปที่ห้องทันที
“เอาอย่างนั้นหรือคะ บางทีทานอาหารที่ห้องบ้างก็ไม่เลวนะคะ”
ทว่าดูเหมือนว่าวิกฤตการณ์นั้นเป็นสิ่งที่อาเรียเองก็หวังไว้เช่นกัน เธอจึงเผยยิ้มบางๆ แล้วพิงลงที่แขนของอาซ
ด้วยเหตุนี้อาซจึงรีบโอบเอวอาเรียและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ทันที
………………………..