พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 195 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 13)
* * *
หลังจากที่รู้ว่าเจสซี่และแอนนี่ต้องทนฟังคำซุบซิบนินทาไร้สาระ อาเรียก็เริ่มเดินไปไหนมาไหนพร้อมกับพวกเธออย่างสง่าผ่าเผย
แม้ว่าเธอจะยุ่ง แต่เธอก็จงใจแยกตัวออกห่างเพื่อเจสซี่และแอนนี่ ทว่าในเมื่อมันกลายเป็นพิษแบบนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะให้พวกเธอตามติดไปไหนมาไหนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอก็ปรับตัวได้ระดับหนึ่งแล้ว ต่างจากตอนที่เข้าวังมาใหม่ๆ และเธอก็ไม่จำเป็นต้องฝืนไปไหนมาไหนโดยทิ้งพวกเธอเอาไว้ เพราะตอนนี้เธอมีเวลาเหลือเฟือ
“ความจริงพระชายาไม่เห็นจะต้องเตรียมชุดแบบนี้ให้ดิฉันก็ได้นะคะ…”
เจสซี่พูดอ้อมแอ้มเช่นนั้น เธอดูเหมือนไม่ค่อยคุ้นชินกับการแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างหรูหราของตัวเอง ใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความเขินอาย
เธอเป็นหญิงที่รู้ฐานะของตัวเอง จึงมีแนวโน้มที่เธอจะรู้สึกหนักใจกับความหรูหราที่เกินฐานะของตัวเอง ทว่าอาเรียไม่คิดเช่นนั้น
“เจสซี่ การที่เธอยังปรับตัวไม่ได้ในชั่วข้ามคืนน่ะมันปกติ แต่เธอไม่ได้ต้องปรับตัวเพื่อฮานส์ด้วยหรือ”
“ฮานส์…หรือคะ”
“ใช่ ฮานส์”
เจสซี่กะพริบตาและถามอาเรียราวกับว่าเธอไม่เข้าใจว่าทำไมอาเรียถึงยกเรื่องฮานส์ขึ้นมาพูด คำถามของเธอราวกับจะสื่อว่าชุดหรูหราฟู่ฟ่านี้ของเธอมันเกี่ยวอะไรกับฮานส์กัน
อาเรียบอกคำตอบนั้นแก่เจสซี่ด้วยตัวของเธอเอง
“ถึงเธอจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแบบฉัน แต่เธอเป็นถึงคนรักของฮานส์ผู้ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในวังในเรื่องความสามารถของเขานะ เธอก็ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมกับเขาสิ”
“ก็ใช่อยู่หรอกค่ะ แต่ฮานส์เขา…”
ถึงมีความสามารถโดดเด่น แต่สามัญชนก็คือสามัญชน สามัญชนที่อย่างมากที่สุดก็แค่ได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถ ไม่ว่าสามัญชนจะร่ำรวยและมีอำนาจมากขนาดไหน ความหรูหราที่ดูเกินตัวไปก็มีแต่จะนำการเยาะเย้ยถากถางมาให้
แต่ฉันก็ไม่ใช่สามัญชนที่ร่ำรวยและมีอำนาจเสียหน่อย ฉันเป็นอย่างมากก็แค่คนรักของชายที่ความสามารถของเขาได้รับการยอมรับเท่านั้น แล้วทำไมฉันจะต้องใส่ชุดเหมือนขุนนางชั้นสูงเดินไปเดินมาด้วยล่ะ
เจสซี่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ อาเรียจึงถามราวกับคิดว่าเจสซี่ช่างโง่เขลาเหลือเกิน
“เจสซี่ เธอคิดว่าทำไมฮานส์ถึงคงความเป็นสามัญชนไปตลอดชีวิตกันล่ะ”
“…คะ”
เจสซี่ทำตาโตราวกับไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
สามัญชนนั้นก็เป็นสามัญชนไม่มีวันจบสิ้น สามัญชนจะเป็นสามัญชนไปทั้งชีวิตถ้าไม่ได้เลื่อนฐานะจากการแต่งงาน เรื่องนั้นผู้ชายไม่สามารถทำได้ มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถทำได้
ทว่าอาเรียไม่มีความคิดที่จะทิ้งฮานส์ไว้อย่างนั้น แม้การที่สามัญชนจะเป็นสามัญชนไปตลอดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินกันด้วยกฎหมาย สามัญชนสามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขุนนางชนชั้นสูงได้ทุกเมื่อ หากบุคคลนั้นได้รับการพระราชทานอาณาเขตจากการสร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงช่วงแรกๆ ของอาณาจักรที่สถานการณ์ไม่มั่นคงและเกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง และในตอนนี้ที่มีขุนนางชนชั้นสูงที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมากมายเหลือล้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในตอนนี้มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยเสียทีเดียว ถ้าได้รับการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเช่นอาเรีย
ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือที่แพร่ออกไป เธอก็คงไม่คิดที่จะทำให้ฮานส์ขึ้นเป็นขุนนาง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว เธอคิดว่าเธออยากทำให้ฮานส์ได้เป็นขุนนาง เพราะเธอรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมและน่าขุ่นเคืองใจขนาดไหนที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเพราะชาติกำเนิดของเขา
ทั้งที่เธอไม่รู้เรื่องนั้นแท้ๆ
อาเรียจ้องมองเจสซี่ที่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เธอเป็นถึงสาวใช้ของพระชายาและมีแม้กระทั่งคนรักที่มีความสามารถ เธอจะมีความโลภแบบแอนนี่บ้างก็ไม่แปลกอะไรแท้ๆ
เธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาเรียก็ชอบจุดนั้นของเธอมาก แล้วจะให้ทนไม่เข้าไปยุ่งนิดๆ หน่อยๆ เพื่ออนาคตของเจสซี่ได้อย่างไรกัน
เธออยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดทั้งปวง แต่ในวังมีคนคอยแอบฟังอยู่เยอะเกินไป เธอลูบหัวเจสซี่โดยพยายามไม่พูดอะไรออกมา
“…เธอไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉะนั้นเธอก็ต้องเตรียมตัวให้ดี แถมฉันน่ะอยากให้สาวใช้ของฉันเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในโลก โดยเฉพาะเจสซี่ สาวใช้คนที่ฉันรักที่สุด เธอต้องทำนะ”
“…”
ในเมื่ออาเรียพูดถึงขนาดนั้นแล้ว เธอจะบ่นเรื่องอย่างชุดพวกนี้ได้อย่างไรกัน สุดท้ายเจสซี่ก็ปิดปากของเธอแน่น แล้วพวกเธอก็เดินต่อไปยังสวนที่เหล่าสตรีชั้นสูงรออยู่
“ถวายบังคมค่ะ พระชายา”
เมื่ออาเรียเข้าไปในสวน สตรีชั้นสูงทุกคนต่างก็รีบมาโค้งคำนับแสดงความเคารพ พวกที่เธอเจอวันนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่เธอเจอเมื่อครั้งก่อน ต่างจากทุกๆ วันที่เธอมักจะพบปะกับบรรดาสตรีชนชั้นสูงคนอื่นๆ
พวกเธอไม่สามารถปิดซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อไว้ได้ ราวกับพวกเธอคิดว่าพวกเธอเป็นที่โปรดปรานของพระชายา เธอถึงมาหาอีกครั้ง
ใบหน้านั้นไม่ต่างอะไรกับใบหน้าของพวกขุนนางชนชั้นสูงของพรรคขุนนางในอดีต เพราะขุนนางก็ยังคงเป็นขุนนาง ต่อให้จะมายืนเคียงข้างฝั่งเจ้าชายก็ตาม ไม่มีใครไม่สนใจที่จะไหลไปตามสภาพการณ์และควานหาอำนาจบาตรใหญ่ คอยเพิ่มผลประโยชน์ให้แก่ตัวเอง
เมื่ออาเรียนั่งลง สาวใช้ก็รีบรินชาให้ทันที มันเป็นการกระทำที่รวดเร็วและเป็นธรรมชาติราวกับกระแสน้ำไหล
อาเรียจิบชาที่อุ่นกำลังดีหลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่ง เธอเปิดปากพูดกับสตรีชนชั้นสูงที่โค้งคำนับทำความเคารพเธออยู่จนถึงตอนนี้
“เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ”
“…ขอบคุณค่ะ”
เธอสั่งให้เงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปพักหนึ่งราวกับจงใจจะทรมานพวกเธอ ต่างจากปกติที่ทักทายกันทันทีหลังจากที่พวกเธอโค้งคำนับ ทำให้ใบหน้าแดงระเรื่อของเหล่าสตรีชั้นสูงนั้นหายวับไปกับตา
เมื่อสตรีชนชั้นสูงไม่สามารถลบใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยความไม่พอใจออกไปได้ อาเรียก็ถามพวกเธอด้วยสีหน้าสงสัย
“ชารสชาติดีจังเลยนะคะ ทำอะไรกันอยู่คะ ทำไมไม่ดื่มกันล่ะคะ”
“…ค่ะ”
เหล่าสตรีชนชั้นสูงไม่สามารถถามอะไรเธอได้ เพราะสีหน้าของอาเรียดูเหมือนเธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอจึงได้แต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ที่ผ่านมาสบายดีกันไหมคะ”
“คะ อ๊ะ ค่ะ พระชายาเองก็สบายดีใช่ไหม”
“ก็พอถูไถน่ะค่ะ”
“…”
เธอแสดงท่าทีอย่างนั้นออกมาได้อย่างไร พวกเราอุตส่าห์ขับไล่พรรคขุนนางที่เอาแต่กัดกินอาณาจักรมาเป็นเวลานานออกไป และรวมตัวผู้มีจิตใจอันหนึ่งอันเดียวกันแท้ๆ
สีหน้าของเหล่าสตรีชั้นสูงค่อยๆ เย็นชาขึ้นต่ออาเรียที่ปฏิบัติกับพวกเธอราวกับเป็นอาชญากร อาเรียที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้พูดพลางชี้นิ้วไปที่โต๊ะที่มีการจัดเตรียมไว้แล้วที่อยู่ไม่ไกลนัก
“แอนนี่ เจสซี่ พวกเธอเองก็ไปนั่งสิ”
“…คะ”
“…คะ”
“อุตส่าห์มีชารสหวานเข้ามาทั้งที พวกเธอเองก็ควรลองชิมด้วยไม่ใช่หรือ”
คำพูดของอาเรียทำให้บรรดาสตรีชนชั้นสูงหยุดเคลื่อนไหวและตัวแข็งทื่อ เธอกล้าให้สาวใช้มานั่งที่โต๊ะข้างๆ ถัดจากโต๊ะสังสรรค์ระหว่างพระชายาและสตรีชั้นสูงได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบรรดาสาวใช้ส่วนใหญ่ก็มาจากตระกูลขุนนาง จึงมีบางกรณีที่พวกเธอจะมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ดังนั้นแม้ว่าพวกเธอจะเป็นสาวใช้ แต่พวกเธอก็มักจะได้รับการปฏิบัติในฐานะขุนนางชนชั้นสูงเป็นเรื่องปกติ เหล่าสตรีพวกนั้นนับว่าต่างจากสาวใช้ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ระดับที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะนั่งโต๊ะข้างๆ กันอย่างที่อาเรียพูด
ทว่าไม่ใช่สำหรับเจสซี่และแอนนี่ พวกเธอเป็นสาวใช้กำพืดต่ำไม่ใช่หรือ ต่ำเกินกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับสาวใช้ที่เกิดมาในตระกูลขุนนาง
บรรดาสาวใช้ของวังหลวงเองก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน จึงไม่มีใครเตรียมชาและขนมให้แม้แต่คนเดียว แม้อาเรียจะเอ่ยปากขอไปแล้ว
“ทำอะไรอยู่”
“…คะ”
“ถามว่าทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่เตรียมชามาให้ล่ะ”
“อ๊ะ ค่ะ…!”
อาเรียถามพลางชี้ไปที่สาวใช้คนหนึ่ง และในตอนนั้นเหล่าสาวใช้ที่เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาถึงได้รีบไปเตรียมโต๊ะให้เจสซี่และแอนนี่
สุดท้ายหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เจสซี่และแอนนี่ก็นั่งลงที่โต๊ะที่จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเธอ บรรดาสตรีชนชั้นสูงจึงไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตัวเองไว้ได้ พวกเธอเม้มปากแน่นและมองเจสซี่กับแอนนี่เขม็ง ท่าทีของพวกเธอแสดงออกมาว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ
“สีหน้าดูไม่ค่อยสดใสกันเลยนะคะ”
อาเรียพูดกับเหล่าสตรีชนชั้นสูง เนื่องจากพวกเธอแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าต่อการกระทำอันเสียมารยาทซ้ำไปซ้ำมาของอาเรีย พวกเธอไม่แม้แต่จะคิดที่จะจัดการกับมันด้วยซ้ำ
“…”
พวกเราจะตอบอะไรกลับไปได้อีกล่ะ เหล่าสตรีชั้นสูงยังคงปิดปากแน่นโดยที่ไม่สามารถปิดซ่อนอารมณ์ความไม่พอใจเอาไว้ได้
อาเรียหัวเราะเบาๆ และถามพวกเธอ
“เพราะชาติกำเนิดของแม่ฉันไม่ดี ก็เลยทำแบบนี้กันหรือคะ”
แน่นอนว่าทุกคนที่ได้ยินคำถามนั้นของอาเรียต่างสะดุ้งตกใจ ราวกับว่าอาเรียยังไม่เพียงพอกับแค่การกล่าวถึงชาติกำเนิดของตัวเอง จึงขอคำตอบนั้นจากเหล่าสตรีชั้นสูง
เหล่าสตรีชั้นสูงรีบส่ายหัวปฏิเสธตอบไม่มีทางเป็นเช่นนั้น
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกันคะ!”
“พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ!”
“ใครจะบังอาจมีความคิดไม่บริสุทธิ์แบบนั้นต่อพระชายากันคะ…!”
ใบหน้าของพวกเธอดูเหมือนอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองขนาดที่ถ้าทำได้ก็คงเปิดศีรษะให้ดูไปแล้ว
ทว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ อาเรียไม่คิดเช่นนั้น
“อย่างนั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปทีนะคะ เหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิดไปเองค่ะ ฉันกังวลไปว่าทุกคนจะไม่สบายใจที่ฉันมาจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยน่ะค่ะ แปลกใช่ไหมล่ะคะ แม้แต่ในอดีตที่ดัชเชสเฟรดเดอริกที่เสียไปแล้วทำตัวดูถูกฉัน ฉันยังไม่สามารถแสดงสีหน้าไม่ชอบใจอะไรออกมาได้เลยแม้แต่นิดเดียวน่ะค่ะ”
ครั้งหนึ่งไอซิสที่มาเยี่ยมคฤหาสน์เคานต์เคยถามเกี่ยวกับชาเพื่อทดสอบอาเรีย ทุกอย่างถูกตระเตรียมขึ้นเพื่อหัวเราะเยาะเย้ยหญิงชั่วผู้โง่เขลา
ทว่าอาเรียพลิกนาฬิกาทรายกลับไปรับมือกับมันอย่างที่เคยทำ สุดท้ายจึงสามารถผ่านเรื่องนั้นไปได้อย่างเงียบๆ โดยไม่ถูกหัวเราะเยาะใส่
นั่นเป็นธรรมดาของสังคมโลก โลกที่จะต้องปฏิบัติกับผู้ที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงด้วยรอยยิ้มเสมอ ไม่ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอย่างไรก็ตาม
แล้วในตอนนี้ล่ะ เหล่าคุณหญิงคุณนายต่างก็แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อหน้าอาเรีย ซึ่งเป็นคนที่พวกเธอสามารถเรียกได้ว่าเธอได้ก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงส่งและสูงที่สุดในบรรดาสตรีทั้งปวง แม้ว่าจะเป็นพวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษก็ตาม พวกสิ่งที่พวกเธอแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนนั้น ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถหัวเราะคิกๆ คักๆ กับมัน แล้วปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ
ถ้าพระชายาเป็นดัชเชสเฟรดเดอริกล่ะ พวกเธอจะยังแสดงท่าทีแบบนั้นได้อยู่หรือเปล่า อาเรียคิดว่าพวกเธอคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ แล้วพูดต่อ
“แต่พวกคุณหญิงต่างก็เผยความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างซื่อสัตย์เสียจนฉันอดคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยน่ะค่ะ”
“…!”
“ดูสิคะ แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังปิดซ่อนสีหน้าที่ถูกแทงใจดำเอาไว้ไม่ได้เลยนี่คะ”
อาเรียที่พูดเช่นนั้นพูดเสริมต่อท้ายด้วยรอยยิ้มหลังจากจิบชาอึกหนึ่ง
“เพราะอย่างนี้ฉันถึงเข้าใจผิดยังไงล่ะคะ”
“…”
ความเงียบเกิดขึ้นท่ามกลางสวนดอกไม้ ในตอนนั้นเองพวกเธอคงจะสังเกตได้ว่าอาเรียกำลังโกรธ ถึงแม้เธอจะยิ้มอยู่ นั่นไม่ใช่แค่เพียงบรรดาสตรีชั้นสูงเท่านั้น แต่บรรดาสาวใช้เองก็เช่นกัน
“ช่วงนี้ฉันได้ลองคิดพิจารณาดูหลังจากที่ได้ยินข่าวลือที่ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้ อาเรียจึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“หมายถึงว่าถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นบุตรีคนโตของตระกูลเฟรดเดอริก ไม่ใช่ฉันแล้ว จะยังมีข่าวลือแบบนั้นแพร่ออกไปอีกหรือเปล่า ถึงแม้สาวใช้ของเธอจะทำแบบเดียวกันน่ะค่ะ”
ข่าวลือแบบนั้น แม้ไม่ต้องถาม ทุกคนก็นึกออกได้เป็นข่าวลือเรื่องเดียวกัน เพราะอย่างนั้นถึงได้พาเจสซี่กับแอนนี่มาอย่างนั้นหรือ ตอนนั้นเองพวกเธอถึงได้เข้าใจเจตนาของอาเรียที่พาสาวใช้ที่หายหน้าหายตาไปพักหนึ่งมาปรากฏตัว
พระชายาใช้พวกเราเพื่อทดสอบข้อเท็จจริงของข่าวลือและเป็นการเตือนพวกเรา!
“…ขะ เข้าใจผิดแล้วค่ะ”
ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก นั่นเป็นความจริง ตอนนี้อาเรียไม่ใช่หญิงชั่วอีกต่อไป ซึ่งตรงกันข้ามกับข่าวลือในอดีต เธอจึงสามารถแสดงท่าทีไม่ชอบใจออกมาได้
แน่นอนว่าเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับชาติกำเนิดของอาเรียมากเท่าไรนัก หากดัชเชสเฟรดเดอริกที่สืบทอดตระกูลร่ำรวยอยู่แล้วได้เป็นพระชายาล่ะก็ คงจะไม่มีข่าวลือแปลกๆ แบบนั้นแพร่ออกไปอย่างเห็นได้ชัดตามที่เธอพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งไปทีนะคะ ฉันนึกกังวลไปว่าชาติกำเนิดและรูปลักษณ์อันอ่อนแอของฉันจะทำให้คุณหญิงเข้าใจผิดกันหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“…”
“ฉันทำแบบนั้นไปเพราะคิดว่าคงไม่มีใครถ่มน้ำลายดูถูกคนใจดี แต่ฉันก็คิดว่ามันคงไม่ใช่อย่างนั้นและกำลังจะเปลี่ยนใจอยู่พอดีเลยค่ะ แต่ทุกคนก็บอกว่าฉันเข้าใจผิด ก็เลยกลายเป็นข้อขัดแย้งภายในใจค่ะ ว่าฉันควรคิดแบบไหนดีน่ะค่ะ”
เธอหมายความว่าเพราะอย่างนั้นแล้วก็ขอให้พวกเธอเชื่อฟังและรู้สถานะตัวเองเอาไว้เสียด้วย เธอหมายความว่าพวกเธอไม่ควรปีนขึ้นมายุ่งวุ่นวาย แล้วคอยขอกินอย่างเงียบๆ ตอนที่เธอยังทำดีด้วยอยู่ และมันยังเป็นคำเตือนที่ว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น เธออาจจะกลายเป็นหญิงชั่วตามข่าวลืออีกครั้งเมื่อไรก็ได้
…………………….