พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 22
หัวข้อบทสนทนาที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในการพบปะครั้งนี้ก็คือเครื่องประดับผมอันใหม่ของอาเรีย เครื่องประดับผมที่ออสการ์ให้มาเป็นของขวัญนั้นหรูหราและงดงามมากพอที่จะหยิบยกมาเป็นประเด็นให้พูดถึง
บางคนต้องการจะถามเกี่ยวกับกุหลาบสีทอง แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป เนื่องจากตราประทับของตระกูลที่ยิ่งใหญ่มักจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับต่างๆ
โดยเฉพาะดอกกุหลาบของตระกูลดยุกเฟดเดอริกถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและกว้างขวาง
อาเรียหน้าแดงด้วยความเขินอายกับคำชมของพวกเธอ และให้ผ้าเช็ดหน้าที่เธอเตรียมมาเป็นของขวัญทีละคนๆ ต่างจากครั้งที่แล้ว เธอให้ผ้าเช็ดหน้าที่ปักตราประจำตระกูลของหญิงสาวแต่ละคน สิ่งนี้เพียงพอที่จะช่วยยกระดับของเธอให้สูงขึ้นมา
หญิงสาวนางหนึ่งที่ครั้งที่แล้วสนอกสนใจอาเรียมากเสียจนผิดปกติเล่าเกี่ยวกับการพบปะและเรื่องของอาเรียให้ครอบครัวฟัง ครอบครัวเธอรู้สึกตกใจมากและอยากจะเชิญอาเรียมาที่บ้าน
‘เธอไปเล่าอะไรให้ฟังนะ’
ดูจากที่เธอพูดอย่างตื่นเต้นแล้วก็น่าจะเป็นในแง่ความหมายที่ดี โชคดีเป็นอย่างมากที่หน้ากากของอาเรียถูกสะบัดออกไปทีละคนๆ เหมือนว่าพวกเธอจะมองอาเรียต่างจากเดิมแล้ว
อาเรียยิ้มพลางคิด
‘ช่างเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่ฉันไม่ได้รับประโยชน์อะไรเสียเลย’
การพบปะนี้ไม่มีผลกระทบอะไรมากเพราะเป็นการรวมตัวของเหล่าบุคคลธรรมดา ยกเว้นเสียแต่ซาร่า เป็นการรวมตัวกันของเหล่าขุนนางที่ไม่ได้มีอำนาจมากมายทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ถ้าออกมา ก็กังวลเกี่ยวกับซาร่า แต่จะมาพบกันครั้งต่อไปก็น่ารำคาญ คิดๆ เรื่องความสัมพันธ์การคบค้าสมาคมของมิเอลดูแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ เพราะเธอมักจะคบแต่กับเหล่าผู้มีอำนาจเท่านั้น
‘เอาอย่างไรดีนะ เดี๋ยวค่อยเจอซาร่าในคลาสก็ได้ ปลีกตัวออกไปเลยดีไหมนะ’
ทว่าการพบปะนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว คงจะดูแปลกหากจู่ๆ จะออกไป คงจะทำให้ซาร่ารู้สึกอึดอัดกลางคันแน่ๆ เธอจึงพยายามกลืนความรำคาญกลับเข้าไปข้างใน ไม่ให้เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวด
การพบปะครั้งนี้ใช้เวลานานถึงห้าชั่วโมง เนื่องจากระหว่างพบปะ เราได้ขึ้นเรือเล็กๆ กันที่ชายฝั่งทะเลสาบ หลังจากการพบปะจบลง อาเรียที่พยายามรักษาสีหน้าอ่อนโยนและเป็นมิตรตลอดเวลาก็ได้รับการคุ้มกันจากอัศวินและกำลังจะกลับไปขึ้นรถม้า แต่กลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด
“…เธอเป็นใคร”
“ครับ”
“คนขับคนละคนกับเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเปลี่ยนคนขับรถม้าล่ะ”
คนขับรถม้าไม่ใช่คนเดียวกับตอนที่ออกมาจากคฤหาสน์ หน้าของเขาไม่ใช่ใบหน้าที่เธอเห็นรางๆ เมื่อตอนกลางวัน เจสซี่เบิกตาโพลงราวกับเมื่อรู้เรื่องนั้น
อาเรียก้าวขาลงจากประตูรถม้า แล้วมุ่งไปยังที่นั่งคนขับ
เขาโค้งก้มไปบนหลังม้า โดยไม่เงยหน้าให้เห็น เธอมองจ้องไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร
เขาตัวสั่นระริก เหล่าอัศวินคุ้มกันก็ดูงวยงงสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่ทันสังเกตเขา
เมื่อสายตาของทั้งสามคนมองจ้องมาที่เขา ร่างกายคนขับรถม้าสะดุ้งครั้งหนึ่ง แล้วตอบเสียงสั่นราวกับจะล้มลงไป
“จ…จู่ๆ เขาก็บอกว่าปะ ปวดท้อง ผมก็เลยมาแทนครับ…”
“ปวดท้องเหรอ จู่ๆ เนี่ยนะ”
“ช…ใช่ครับ”
“เขาปวดท้องแล้วกลับไปจนถึงคฤหาสน์ แล้วเปลี่ยนกับเธอน่ะเหรอ”
เมื่อเธอถามด้วยน้ำเสียงแหลมสูง เขาก็โบกมือไปมาปฏิเสธอย่างแรง
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ! ผมได้ยินมาว่าพอส่งเลดี้แล้ว เขาก็เป็นเช่นนั้นหลังจากกลับบ้านเพื่อทานอาหารกลางวันขอรับ…!”
“…อย่างนั้นเหรอ เขากลับบ้านไปตามใจชอบโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากฉันอย่างนั้นสินะ ทั้งๆ ที่คฤหาสน์ก็มีอาหารกลางวันแท้ๆ”
“ระ เรื่องนั้น… ผมก็ไม่ค่อยทราบมากนัก ผู้ดูแลคนขับรถม้าคนนั้นท่านมาแจ้งที่คฤหาสน์อย่างเร่งรีบ ผมจึงมารับเลดี้ตามคำสั่งเพียงเท่านั้นครับ…”
หลังของคนขับรถม้าเริ่มชุ่ม และสีเสื้อของเขาเข้มขึ้น คนที่ป่วยดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่กลับไป แต่เป็นเขาเสียมากกว่า เพราะเหงื่อออกเยอะจนผิดปกติ
แปลกเสียจริง อาเรียสั่งให้อัศวินคุ้มกันและเจสซี่ตรวจดูใบหน้าของคนขับรถม้า
“ดูให้แน่ชัดว่าใช่คนขับรถม้าของคฤหาสน์เราหรือเปล่า”
“ไม่ผิดแน่ค่ะ เขาชื่ออิเลกทร่าค่ะ ทำงานที่คฤหาสน์เรามากว่า 30 ปีแล้วค่ะ เขาทำงานมานานจนอีกไม่นานจะออกแล้วค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
เมื่อเธอฟังที่เจสซี่พูด เธอก็ค่อยๆ ย้อนนึกความทรงจำดูอีกครั้งหนึ่ง เธอเหมือนจะนึกออกรางๆ ว่าเคยเห็นเขาครั้งหรือสองครั้งที่คอกม้า แต่ไม่เคยเจอเขาตรงๆ ต่อหน้า เมื่อกี้เธอรู้สึกแปลกใจที่คนขับเปลี่ยนไป แต่อาจจะเพราะเธอแค่จำเขาไม่ได้เท่านั้น
เท่านี้ก็ยืนยันตัวตนเขาได้แล้ว ดังนั้นก็ไม่ใช่บุคคลน่าสงสัยอะไร แต่…
“ทำไมถึงไม่รายงานก่อนตั้งแต่แรก”
แล้วทำไมถึงไม่มีใครบอกก่อนล่ะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือสำคัญเท่าไร แต่ตอนนี้คนที่เป็นเจ้านายผู้รับผิดชอบพวกเขาก็คืออาเรีย ฉะนั้นก็ต้องขอความเห็นชอบจากเธอก่อนสิ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้พวกเขาจะเปลี่ยนคนกันเพราะสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรายงานให้อาเรียทราบก่อนที่เธอจะถาม
หากตาเธอไม่แหลมคม ไม่รู้ว่าเปลี่ยนคนขับรถม้า ก็คงขึ้นรถไปแล้ว หรือว่ามันเป็นอุบายหลอกเจ้านาย ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ไม่เข้าใจการกระทำนี้เลย
น้ำเสียงของคนขับรถม้ายิ่งสั่นระริกกว่าเดิม
“มะ มันเป็นเรื่องด่วนมากน่ะครับ…”
“อ่อ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าหากมีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้น ก็สามารถละทิ้งเจ้านายแล้ววิ่งหนีไปได้อย่างนั้นสินะ”
พวกเธอก็เป็นแบบนั้นเหรอ อาเรียถามเหล่าอัศวินและเจสซี่ พวกเขาปฏิเสธอย่างสุดความสามารถว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำเช่นนั้น
ริมฝีปากของอาเรียงอ
“พวกเธอบอกว่าจะไม่ทำเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้น พวกคนขับรถม้าคงจะค่อนข้างพิเศษไม่เหมือนใครเลยสินะ”
คนขับรถม้าสองคนปฏิบัติเหมือนกันเปี๊ยบ
อาเรียยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมาให้คนขับรถม้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแยกไม่ออกว่าชุ่มเหงื่อหรือชุ่มฝน
สายตาของเขาสับสนราวกับถูกครอบงำด้วยรอยยิ้มหวานหยดของอาเรีย
“พอกลับไปถึงคฤหาสน์ เธอต้องแจ้งความผิดให้เคาน์ติสฟังอย่างละเอียด รวมถึงพวกเธอด้วย”
อาเรียพูดเสริมหลังจากหันไปหาเหล่าอัศวิน ด้วยคำพูดและสีหน้าอันอ่อนโยนของเธอ ทำให้พวกเขาใช้เวลาพักหนึ่งถึงตระหนักความจริงได้ว่าโดนตำหนิอยู่
ผู้คนที่เฝ้ามองมาจากไกลๆ คงจะคิดว่าพวกเขากำลังคุยกันอย่างอบอุ่น แม้จะไม่รู้เนื้อหาบทสนทนาก็ตาม
“ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าคนขับถูกเปลี่ยน เธอกำลังรับใช้ใครอยู่กันแน่”
พวกเขาผู้ที่ต้องคอยคุ้มกันเฝ้าระวังให้อาเรียไม่ได้รับอันตรายแท้ๆ กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนขับรถม้าถูกเปลี่ยนไป เหล่าอัศวินต่างก้มมองพื้น แม้จะอ้าปากออกแต่ก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้
ทำไมเหล่าอัศวินที่ติดตามมาทุกครั้งถึงได้ไร้ประโยชน์นักนะ เธออยากจะโมโหออกมาด้วยนิสัยที่แท้จริงของเธอ แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ เธอจึงกลั้นความโมโหไว้ แล้วขึ้นรถม้าไป
แค่ทำให้อัศวินโง่ๆ กลายเป็นทาสนั้น สองคนก็มากเกินพอแล้ว พวกเขาและเจสซี่ตามเธอขึ้นรถม้า
“…เลดี้คะ ให้พาไปร้านอัญมณีไหมคะ”
เจสซี่ถามอย่างระมัดระวังท่ามกลางบรรยากาศอันหนักอึ้ง
อาเรียพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรพลางมองไปนอกหน้าต่าง รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ หลังเจสซี่บอกจุดหมายปลายทาง
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวนี้ขรุขระผิดไปจากปกติ และดูเหมือนมันจะมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอีกด้วย ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะส่งคนขับรถโง่ๆ ที่ไม่รู้แม้กระทั่งวิถีขับรถม้ามา! เสียงถอนหายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกดังขึ้นมาในรถที่เงียบงัน
ท่านเคานต์กลับมาเมื่อไร เธอจะขอให้เปลี่ยนเหล่าอัศวินให้เธอภายในทันที เพราะเหตุใดเหล่าผู้คุ้มกันที่ติดตามเธอทุกคนช่างไร้ความสามารถนักนะ
ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมา พวกเขาคงจะวิ่งแจ้นหนีไปก่อน ทำไม่ได้แม้กระทั่งตรวจจับความเปลี่ยนแปลงรอบข้าง เธอคิดถึงขั้นว่าคงจะปลอดภัยกว่าหากมีอัศวินคุ้มกันส่วนตัว
‘แต่ฉันก็ไม่คิดว่าใครจะส่งคนนี้มาโดยมีเจตนาอะไร’
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ตาของเธอเบิกโพลงเล็กน้อย
‘…อย่าบอกนะว่า คงจะไม่ได้ส่งมาด้วยเจตนาอย่างนั้นหรอกใช่ไหม’
ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงเรื่องนั้นกันนะ
มาจนถึงตอนนี้ เธอทำให้มิเอลหงุดหงิดอัดอั้นตันใจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่คงจะแปลกกว่าเดิมถ้าเธอยังคงอดทนอดกลั้นและผิดนิสัยเกินไปหากเธอยังเป็นเช่นนั้นต่อไป
วิธีอาจจะต่างออกไปเล็กน้อย แม้เธอจะทำให้มันเกิดเร็วขึ้นสักสองสามเดือน มันก็คงไม่แปลกเท่าไร
เหล่าข้ารับใช้ของมิเอลไม่ใช่เพียงแค่คนทำความสะอาดหรือจัดเก็บข้าวของของคฤหาสน์ธรรมดาๆ ดังนั้นไม่ว่าอาเรียจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีความรู้สึกดีๆ ต่ออาเรียได้
พวกเขารู้อย่างละเอียดยิบว่าใครเป็นคนทำให้เจ้านายต้องถอนหายใจ ต่อให้ไม่รู้ แต่พวกเธอก็จะจ้องคิดหาเหตุผลให้กับหยดน้ำที่อาจจะไม่ได้มาจากตาของเธอเสียด้วยซ้ำ
พวกที่อยู่ฝ่ายมิเอลเป็นเหล่าผู้คนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในคฤหาสน์ ขอเพียงแค่ตัดสินใจแล้วล่ะก็ การจะล่อหัวหน้าคนรับใช้ให้เลือกมาแต่คนคุ้มกันโง่ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
อาเรียเหลือบมองไปยังเหล่าคนคุ้มกันที่นั่งอยู่ตรงข้าม พวกเขานั่งหลังตรงและกระชับริมฝีปาก ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหลักแหลมของพวกเขา พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเป็นเหล่าอัศวินที่มีความกล้าหาญ
อย่างไรก็ตาม บางครั้งที่มองไปในตาของพวกเขา ดวงตาเหล่านั้นสั่นไหว ทำให้เธอสงสัยว่าอารมณ์ของพวกเขาไม่มั่นคงหรือเปล่า
‘จะเล่นงานฉันโดยไม่ให้ฉันรู้ตัวสินะ’
แถมยังเป็นวิธีอันตรายต่างจากเมื่อก่อนที่เป็นการแกล้งเล็กๆ น้อยๆ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นอัศวิน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ฉลาดและมีความสามารถ บางคนอาจจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่ก็มีคนที่ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และก็มีคนที่เสียสมาธิไปกับสิ่งรอบข้าง อาจจะมีกระทั่งพวกที่ขาดแม้แต่ทักษะของอัศวิน
‘หากอัศวินคุ้มกันของฉันเป็นอย่างคนพวกนั้นล่ะ’
หากเธอไม่ได้เผชิญหน้ากับอันตรายอะไรก็คงปล่อยผ่านไปอย่างไม่รู้ไม่เห็นได้ แต่หากเธอเผชิญหน้ากับอันตรายจริงๆ ล่ะก็ อาจจะเป็นไปได้ว่าถึงขั้นเสียชีวิต ขว้างเธอทิ้งไปเหมือนกับอัศวินสองคนที่โดนขู่เมื่อครู่
เมื่อคิดไปถึงขั้นนั้น เธอก็ตกใจกลัวไปทั้งร่างกาย
‘…มิเอล แกช่างเป็นผู้หญิงต่ำช้าเสียจริงนะ’
หากการคาดการณ์ของเธอถูกต้อง มิเอลเป็นหญิงที่ชั่วช้าที่สุดในบรรดาหญิงชั่วทั้งหมด คิดไว้แค่ว่ากำลังโดนเธอเล่นงานอยู่เงียบๆ แต่หญิงผู้นั้นกำลังค่อยๆ คุกคามคร่าเอาชีวิตเธอทีละเล็กทีละน้อย
ใช่แล้วล่ะ นั่นก็เป็นไปได้ คนที่ไล่ต้อนฉันให้ไปถึงความตายอย่างแก คงไม่มีทางที่จะเล่นงานข้าด้วยแผนตื้นๆ หรอกใช่ไหมล่ะ ฉันประเมินแกต่ำไปสินะ
‘จริงสิ แกบอกว่าอยากจะฆ่าฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าใช่ไหม’
ไม่ว่าอาเรียจะแสร้งปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นมากเท่าแค่ไหน ระหว่างหญิงผู้เป็นเจ้านายของพวกเขามาตั้งแต่เกิด กับเธอนั้นแตกต่างกันระหว่างฟ้ากับเหว การจะสั่งข้ารับใช้ของตระกูลท่านเคานต์ให้ทำอะไรตามใจก็คงเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะเคยบีบน้ำตานางฟ้างานถนัดของเธอ สั่งเหล่าสาวใช้ให้แก้แค้นอย่างเงียบๆ มาแล้วก็ได้ ทว่าตนก็ข่มเหงอัศวินโง่เขลาให้เป็นทาสไปตั้งสองคน ทั้งที่มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้
จริงอยู่ว่าพวกเขาคงไม่มีประโยชน์อะไรมาก แต่การที่เธอไม่รู้อะไรเลยเป็นเรื่องน่าตกใจมากทีเดียว
“เลดี้คะ ถึงแล้วค่ะ”
รถม้าหยุดวิ่งเมื่อมาถึงร้านอัญมณี
อาเรียลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือจากอัศวินที่ดูเหมือนจะเป็นประเภทเสียสมาธิไปกับสิ่งรอบข้าง ผ้าเช็ดหน้าอันชุ่มไปด้วยเหงื่อของอาเรียโผล่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของคนขับรถม้าผู้โง่เขลาที่ลงมายืนรออยู่ด้านหน้าแล้ว
ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันหิ้วคนเหล่านี้ไปไหนมาไหนด้วยโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เธอหัวเราะอย่างเย้ยหยันตัวเองพลางคิดว่าเธอหลอกชาติกำเนิดอันต่ำต้อยของเธอไม่ได้จริงๆ
“เธอกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะหาทางกลับเอง”
คนขับรถม้าเบิกตากลมโพลง คางเขาสั่นระริกเหมือนว่าจะสับสนงุนงงกับคำสั่งอันกะทันหัน
แม้จะเขาจะสามารถยืนยันตัวตนได้ แต่การเปลี่ยนคนขับกลางกันก็ไม่น่าไว้วางใจ เรื่องที่จู่ๆ ก็ปวดท้องก็แปลกแล้ว เรื่องที่เขาไม่ได้มารายงานก็ยิ่งแปลกอีก
และที่แปลกสุดคือท่าทีของคนขับรถม้าสั่นที่ตัวสั่นเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำว่ากลับไป ไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่รู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำว่ากลับไปมากกว่าตอนที่โดนตำหนิ
เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ และเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรถม้าก็เป็นหลักฐานยืนยัน เช่ารถม้ากลับคงจะดีกว่าเป็นแน่
“เตรียมรถม้าคันใหม่อีกคันให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
อาเรียสั่งอัศวินคุ้มกัน การเตรียมรถม้าเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ ไม่ใช่หน้าที่ของอัศวิน แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของเจ้านาย จึงไม่สามารถปฏิเสธได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความผิดเรื่องที่ไม่ทันสังเกตว่าคนขับรถม้าถูกเปลี่ยนอีก อาเรียมีสิทธิ์มากกว่าจะสั่งอัศวินให้หารถม้าคันใหม่และปลอดภัยเสียอีก
คนขับรถม้าอ้าปากราวกับพยายามจะแก้ตัว แต่ไม่นานเขาก็โค้งคำนับและกล่าวลา
อาเรียยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แล้วเดินผ่านพวกเขาไปยังร้านอัญมณี
…………………………………………..