พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 228 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 19)
เพราะบลิสไม่มีบาดแผลตามร่างกาย ฉันเลยคิดว่าเธอคงเสียใจและเจ็บปวดจากการถูกพ่อแม่ดุด่าและปล่อยปละละเลย ถึงได้ย้อนอดีตกลับมา
แต่กลายเป็นว่าเพราะฉันป่วย บลิสเลยตั้งใจย้อนเวลามาเพื่อห้ามไม่ให้คลอดเธอออกมาอย่างนั้นหรอกหรือนี่
ทำไมเด็กตัวเล็กๆ แบบนั้น ถึงได้คิดอะไรน่าเศร้าแบบนี้ออกมาได้นะ ทั้งที่อายุแค่เจ็ดขวบ นี่เป็นวัยที่ควรจะงอแงและได้รับความรักอย่างเต็มที่สิ
ตอนอาเรียอายุเท่านั้น เธอคิดเพียงแค่อยากกินของอร่อยๆ และอยากเล่นสนุกไปวันๆ เท่านั้น
แม้ว่าชีวิตของแม่ต้องยุ่งเหยิงขึ้นเพราะเธอ แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะหายไปเพื่อแม่เลยสักครั้ง
อาเรียตกใจและก้าวถอยหลังโดยที่ไม่รู้ตัว และบทสนทนาด้านในที่หยุดไปก็กลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง
“…จะยังไงก็เถอะค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ในอนาคตไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เกิดพวกหนูมา เพราะอย่างนั้นแล้วไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้หรอกค่ะ พวกหนูก็คงต้องขอตัวเพียงเท่านี้ค่ะ”
ลิเป้ควบคุมอารมณ์ตนเองเอาไว้ และจับแขนบลิสด้วยสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
“ไม่ ไม่เอา-! ฉันจะอยู่ที่นี่! จะฟ้องแม่ให้หมดเลยด้วย! “
“หนวกหูน่า ยัยจอมงี่เง่า! ”
ลิเป้แผดเสียงโมโหใส่บลิสขึ้นมา ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นว่า หากอาซอนุญาตแล้วละก็ เธอจะพาบลิสกลับไปในทันที
ทว่านั่นเป็นปัญหาที่อาซไม่สามารถตัดสินด้วยตัวเขาเพียงคนเดียวได้
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะห้ามขึ้นมา พลั่ก! บลิสใช้มือผลักลิเป้ออกไปแล้วใช้พลังหายตัวไปยังมุมห้อง
“ไม่ไป! เธอไปคนเดียวเลย! “
“ฉันจะกลับไปคนเดียวได้ยังไง! ถ้าเธอก่อเรื่องขึ้นมา ฉันก็จะหายไปด้วยน่ะสิ! “
ลิเป้ตั้งใจจะจับบลิส เธอจึงใช้พลังขึ้นมา
ทว่าก่อนที่ลิเป้จะจับบลิสได้ บลิสเองก็ได้ใช้พลังขึ้นมาอีกครั้งและย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน
“เธอจะไม่ยอมมาดีๆ ใช่ไหม! ”
“ไม่ใช่เธอ! บอกว่าให้เรียกพี่ไง! ”
“ยัยโง่เอ๊ย…! นั่นมันใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้รึไง! “
“สำคัญสิ! ”
“อย่าให้จับได้นะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้เฉยๆ แน่! ”
ลิเป้โกรธขึ้งขึ้นมา เธอเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนคว้าชายเสื้อของบลิสได้
ไม่สิ เธอตั้งใจจะจับชายเสื้อเอาไว้ แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นบลิสก็ใช้พลังเคลื่อนย้ายไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
“แบร่! ”
“นี่! “
เด็กๆ ยังคงเล่นวิ่งไล่จับต่อไปหลังจากนั้น
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ดูเหมือนบลิสจะแค่ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น แต่พลังของเธอแข็งแกร่งมาก จนลิเป้ไม่สามารถจับตัวได้เลย
ไม่สิ ดูเหมือนบลิสจะเก่งไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว เพราะเธอตั้งใจจะยั่วโมโหลิเป้ด้วยการแกล้งให้ลิเป้เกือบจะจับตัวเธอได้อยู่หลายครั้ง แต่บลิสก็หนีไปทุกครั้งที่เกือบจะถูกจับ
“จะไม่หยุดใช่ไหม! ”
“อืม! ไม่หยุด! ”
“นี่เธอ! ”
โครมคราม บลิสหลบลิเป้ไปมาจนไปชนกับแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะเข้า
ส่วนเก้าอี้ก็ล้มลงไปก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ละก็ อีกประเดี๋ยวโต๊ะที่ทำจากคริสตัลคงได้แตกกระจายเอาแน่ๆ
ท่าทางเด็กๆ จะลืมไปแล้วว่าสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อเห็นว่าบลิสตาเป็นประกายและกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่ทำอยู่ อาซก็อดทนต่อไปไม่ไว้และใช้พลังย้ายที่อย่างรวดเร็ว
“หยุดได้แล้ว! ”
เขาอุ้มบลิสและลิเป้เอาไว้ข้างเอวคนละข้าง และทำหน้าเคร่งเครียดเป็นการดุเด็กๆ
“จะเอาพลังมาใช้มั่วซั่วแบบนี้ไม่ได้นะ ไม่มีใครสอนเลยรึไงว่าต้องใช้มันในยามจำเป็นและต้องไม่ให้ใครเห็นตอนใช้มันน่ะ”
ที่จริงแล้วในอนาคตเองก็เกิดเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง นี่จึงเป็นเรื่องที่ได้ยินบ่อยๆ จนหูชาเลยทีเดียว
ความลับของราชวงศ์ที่ไม่สามารถเปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้เด็ดขาด และนี่ก็ไม่ใช่พลังที่เกิดมาจากเรื่องดีๆ ด้วย
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เอาพลังมาใช้เล่นสนุก ตัวอาซในอนาคตก็มักจะตำหนิบลิสและลิเป้ด้วยสีหน้าดุดันเป็นอย่างมาก ซึ่งดูน่ากลัวกว่าตอนนี้หลายเท่าเลยทีเดียว
“…ขอโทษค่ะ”
ลิเป้ไม่สามารถซ่อนสีหน้าบึ้งตึงเอาไว้ได้และขอโทษออกมา
“หนูขอโทษ…อย่าโกรธเลยนะ ก็อยู่ๆ ลิเป้เข้ามาจับแบบนั้นนี่นา…”
บลิสหน้าแดงเล็กน้อย เธอมุดเข้าไปอ้อมแขนอาซและกอดเขา
เธอทำตัวออดอ้อนและใช้ความน่ารักเพื่อทำให้อาซหายโกรธ
เพราะเห็นว่าเด็กๆ เข้าใจสถานการณ์แล้ว อาซจึงไม่คิดจะดุด่าหรือโมโหอีกต่อไป เขาบอกเด็กๆ ว่าถ้าเข้าใจแล้ว ก็แล้วไป และในตอนที่กำลังปล่อยตัวบลิสลงนั่นเอง
“…! ”
หน้าผากของบลิสที่มือของเขาเฉียดผ่านนั้นร้อนเอามากๆ เมื่อลองเอามือแตะหน้าผากของเธอดู ก็พบว่าเธอกำลังมีไข้ และยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ออกมาจากลมหายใจฟืดฟาดนั้นด้วย
อาซรีบวางบลิสที่เริ่มหมดแรงทีละน้อยลงบนเตียง และลิเป้ก็ตกใจจนเผลอกลั้นหายใจขึ้นมา
“ยะ ยัยโง่เอ๊ย…! ทำไมต้องใช้พลังตั้งมากมายแล้วเอาแต่วิ่งด้วยเล่า”
ท่าทางที่โมโหและเอาแต่วิ่งไล่บลิสเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลิเป้มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย และควักเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะนำไปชุบน้ำ
“ยัยงี่เง่า ซื่อบื้อ ปลิงทะเลยึกยือ! แค่รีบกลับไปก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา! ”
จากนั้นลิเป้ก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้าของบลิสอย่างชำนาญ
แม้ปากจะพ่นคำร้ายๆ ออกมา แต่พี่น้องก็คือพี่น้องอยู่วันยังค่ำ มือเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความกังวล
บลิสหัวเราะคิกคักและตอบว่า
“ฉันน่ะ ไม่ได้ไม่สบายเลยสักนิด…ถ้ากลับไปตอนนี้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแน่ เราอยู่ต่อกันอีกสักหน่อยเถอะนะ นะ…”
เมื่อบลิสโอดครวญขึ้นมาและขอร้องให้อยู่ต่อกันอีกสักหน่อย ลิเป้ก็ขมวดคิ้วทำหน้ายู่ยี่ขึ้นมา
ดูเหมือนคนที่ใจอ่อนเวลาบลิสไม่สบายจะไม่ได้มีเพียงอาเรียกับอาซเสียแล้ว
ลิเป้ฉายความไม่พอใจออกมาเต็มใบหน้า ถึงอย่างนั้นเธอก็ปรายตามองบลิสและตอบว่า
“…หายป่วยเมื่อไหร่เธอต้องกลับทันทีนะ เข้าใจไหม”
“อื้ม…! ”
แม้จะไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่บลิสก็บอกว่าเข้าใจและยิ้มกว้างออกมา
‘ถึงตอนนี้จะป่วยอยู่จริงๆ ก็เถอะ แต่ถึงจะหายดีแล้ว ฉันก็จะแกล้งป่วยต่อไปอยู่ดี ฮิๆ ’
และนั่นคือใจจริงที่เธอซ่อนเอาไว้
แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่เพราะทุกอย่างสงบลงมาบ้างแล้ว อาซจึงคลายกังวลได้นิดหน่อย
เพราะยื้อเวลาขึ้นมาได้แล้ว อาซคิดว่าในระหว่างนี้เขาต้องเรียบเรียงทุกเรื่องและคิดให้ตกว่าจะบอกกับอาเรียอย่างไรดี
แน่นอนว่ามีเรื่องที่เขาต้องทำก่อนหน้านั้นอยู่ อาซตรวจดูสภาพของบลิสอีกครั้ง และเดินไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะเรียกหมอมาดูอาการให้ เพราะฉะนั้นรออยู่เฉยๆ สักพักล่ะ”
อาซตั้งใจจะเรียกหมอมาให้เร็วที่สุด เขาปิดประตูและก้าวเท้าเดินไป-
“…อาเรีย”
แต่แล้วไม่รู้เพราะอะไรอาเรียถึงได้ยืนอยู่ที่นอกประตูนั่น พร้อมทั้งสีหน้าตกตะลึงที่ดูขาวซีด
“อาซ…”
เมื่อเห็นว่าอาเรียได้แต่เรียกชื่อของเขาและพูดอะไรไม่ออก อาซก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเธอได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนั่นแล้ว
***
โชคดีที่บลิสเพียงแค่ไข้ขึ้นเท่านั้น เมื่อได้ยินหมอหลวงบอกว่าพักสักหน่อยก็หาย อาซก็โล่งใจและมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานที่อาเรียรออยู่
เหมือนกับที่อาซต้องการเวลาเรียบเรียงเรื่องราวทุกอย่าง อาเรียเองก็ต้องการเวลาสงบสติเพื่อให้ตัวเองหายตกใจจากเรื่องที่ได้ยิน เธอจึงไปรออยู่ที่ห้องทำงานก่อนเขานั่นเอง
“บลิสล่ะคะ หมอบอกว่าเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
อาเรียรออาซด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเขาเข้ามาเธอก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งและถามออกไปด้วยความร้อนใจ
“เพราะใช้แรงมากไปเลยไข้ขึ้นน่ะครับ เธอกินยาลดไข้และก็หลับไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”
แม้จะอยู่กับบลิสเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ตัวเธอกลับเป็นห่วงบลิสมากขนาดนี้ อาเรียนึกไม่ออกเลยว่าตัวเธอในอนาคตจะเป็นห่วงบลิสมากขนาดไหน
ฟุ่บ อาเรียนั่งลงบนโซฟาอีกครั้งและยกมือขึ้นมาค้ำหน้าผาก ตอนนี้เธอเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว
ทั้งเหตุผลที่บลิสกลับมายังอดีต ทั้งเรื่องที่บลิสป่วย ไหนจะยังเหตุผลที่ใช้พลังได้ และเหตุผลที่ไม่สามารถพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาได้ในทันที
“ดิฉันป่วยหนักถึงขั้นไหนกันแน่คะ ถึงได้ย้อนเวลามายังอดีตเพื่อขอร้องไม่ให้เกิดตนเองขึ้นมา”
บลิสตัดสินใจแบบนั้นด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน และปกติที่เผชิญหน้ากับตน บลิสรู้สึกอย่างไรกัน ทั้งในอนาคต และในตอนนี้ด้วย
เมื่อเห็นอาเรียเอามือปิดหน้าและถามออกมาแบบนั้น อาซก็ถอนหายใจออกมาแทนคำตอบ
นั่นเป็นส่วนที่เขาไม่อยากจะคิดถึงมันเลย เพราะสำหรับเขาแล้วนั้น อาเรียคือคนที่มีค่ามากที่สุดในโลก
และถ้าปล่อยไปแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ความกังวลและความคาใจเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น
อาซเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะจับมืออาเรียและเผยความในใจที่อดกลั้นเอาไว้ออกไป
“สำหรับผมแล้ว อาเรีย คุณคือคนที่สำคัญที่สุดครับ ผมไม่อยากให้คุณต้องเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว”
คำตอบที่ฟังดูโรแมนติกมากพอจะทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมา แต่กลับไม่ใช่คำตอบที่เธอคาดหวังเอาไว้เลย
แม้อาซจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อยากให้อาเรียคลอดเด็กๆ ออกมานั่นเอง
แต่เธอไม่อยากทำให้บลิสกับลิเป้ที่เกิดมาแล้วต้องหายไป
ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ไม่แน่ บางทีดิฉันอาจจะหาหนทางที่ทำให้บลิสกับลิเป้ไม่เป็นอะไรขึ้นมาก็ได้นะคะ ไม่แน่หรอกค่ะ”
แต่ถ้าหาไม่เจอล่ะจะทำอย่างไร หากไม่สามารถหนีออกมาจากอนาคตอันโชคร้ายที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่ะจะเป็นอย่างไร
อาซไม่กล้าพอที่จะต้องทนเห็นอาเรียตกอยู่ในสภาพแบบนั้น และเขาก็ไม่มั่นใจด้วยว่าตัวเองจะสามารถรักเด็กๆ ที่ทำให้อาเรียต้องเจ็บป่วยได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
“อาเรีย…”
อาซรู้สึกเช่นนั้น เขาเรียกอาเรียด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ไม่เปลี่ยนใจ
“ในเมื่อที่นี่ยังมีคนที่สามารถย้อนเวลาและหายตัวได้อยู่ตั้งสี่คนเลยนี่ค่ะ เพราะฉะนั้นมันต้องมีหนทางอยู่แน่ๆ ค่ะ”
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับประกันได้ แต่ถ้าจะให้เธอเอาแต่กังวลอยู่เฉยๆ ละก็ นั่นไม่ใช่นิสัยของอาเรียเลย
สู้เอาเวลานั้นมาหาวิธีแก้ไขที่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอยู่ก็ตาม ยังเป็นการฉลาดเสียกว่า
หากพลิกแผ่นดินหาจนทั่วแล้วยังไม่เจอหนทางนั้นละก็ ค่อยคิดเอาตอนนั้นก็แล้วกัน
เพราะอาซยังลังเลที่จะตอบ อาเรียจึงยิ้มออกมาอย่างกับเธอลืมความทุกข์ก่อนหน้านี้ไปแล้ว และลูบแก้มของอาซพร้อมกับออกคำสั่งว่า
“เพราะอย่างนั้นแล้วหยุดทำหน้าแบบนั้นแล้วให้ความร่วมกับดิฉันเถอะค่ะ”
สิ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรักอาเรียก็คือความตรงไปตรงมาและนิสัยที่ชอบยั่วประสาทแบบนี้นี่แหละ แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกใจเต้นกับสิ่งนี้อยู่
อาซไม่สามารถต่อต้านความสับสนในใจได้ ถึงอย่างนั้นจะให้ขัดคำสั่งอาเรีย เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน
อาซจับมือของอาเรียที่สัมผัสแก้มของตนมาไว้ที่ริมฝีปากของเขา และจุมพิตอย่างนอบน้อมก่อนจะตอบว่า
“หากคุณตัดสินใจเช่นนั้นแล้วละก็ ผมจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถครับ ก็ผมไม่มีสิทธิ์ขัดขืนต่อคำสั่งของคุณนี่นา”
………………………..