พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 236 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 27)
“อร่อย อร่อยมาก มากกก!”
บลิสจัดการไม้ที่สามจนเรียบแล้วตะโกนออกมา
เธอสั่งเพิ่มอีกไม้ราวกับยังไม่รู้สึกอิ่ม นั่นทำให้อาเรียที่รู้สึกเอียนแม้จะไม่ได้ทานมันด้วยตัวเองถึงกับขมวดคิ้วถาม
“ที่ผ่านมาเจสซี่กับแอนนี่ก็ซื้อมาให้ทุกวัน ยังอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม! ยิ่งได้ทานที่นี่ยิ่งรู้สึกพิเศษ! ต่างจากที่เจสซี่กับแอนนี่ซื้อให้ลิบลับเลย!”
อะไรกัน
อาเรียไม่เข้าใจว่ามีอะไรที่พิเศษและต่างไปจากเดิมทั้งที่มันก็คืออาหารเสียบไม้เหมือนกัน
นอกจากเรื่องนี้แล้ว บริเวณหน้าท้องของชุดเดรสใส่เที่ยวสีเหลืองที่บลิสใส่ก็เริ่มพองขึ้นเรื่อยๆ
ลิเป้ตีมือของบลิสที่กำลังยื่นไปรับไม้ใหม่เบาๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะท้องเสียเอาได้หลังจากนี้
“เลิกทานได้แล้ว เดี๋ยวก็ท้องเสียจนได้ ในโลกนี้คนที่เขมือบเข้าไปตั้งสี่ไม้มันก็มีแค่เธอนั่นแหละ”
ใบหน้าทั้งสองเหมือนกันอย่างกับแฝดคนละฝา
สายตาของลิเป้ดูน่ากลัวราวกำลังบอกให้บลิสเลิกแสดงพฤติกรรมน่าเกลียดไม่เหมาะสมทั้งที่หน้าตาเหมือนตนอย่างกับแกะ เพราะยังมีสายตาของคนอื่นที่จับจ้องอยู่
“ไม่”
ถึงอย่างนั้นบลิสก็ยังยื่นมือออกไปรับไม้เสียบมาอีกครั้งอย่างไม่มียี่หระ เธอดูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ลิเป้ทำท่าจะแหวใส่เหมือนต้องการจะบังคับเธอเรื่องอื่นอีก ทว่าบลิสชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ตอนแม่ท้อง แม่ยังทานตั้งยี่สิบไม้เลย”
“เป็นไปไม่ได้”
ลิเป้ตอบมาคำเดียว ขณะที่อาเรียเองก็เห็นด้วยกับลิเป้
นี่ตอนท้องเธอทานไปถึงยี่สิบไม้เชียวหรือ ต่อให้ไม่นับเรื่องอิ่มไม่อิ่มก็เถอะ แต่เธอตะกละขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ
จำไม่เห็นได้สักนิด แม้จะมีบ้างที่จำบางเรื่องราวไม่ได้ แต่เธอไม่มีทางทำเรื่องอย่างนั้นแน่นอน
“จริงๆ นะ พ่อก็บอกอยู่ แม่ทานเนื้อเสียบไม้เยอะมากๆๆ เลยล่ะ”
ว่าแล้วบลิสก็ส่งสายตาให้อาซ
แม้จะไม่ถึงยี่สิบไม้แต่ที่บลิสพูดว่าอาเรียทานเยอะมากนั้นเป็นเรื่องจริง เขาจึงทำได้เพียงเกาแก้มแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เสหลบสายตาไปทางอื่น
“…เป็นไปไม่ได้”
ลิเป้พูดคำตอบเดิมซ้ำอีกครั้งเป็นนกแก้วนกขุนทองราวกับไม่อยากเชื่อ
ในเมื่ออาซไม่ปฏิเสธก็ชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง
ถึงอย่างนั้นลิเป้ก็ไม่อาจปักใจเชื่อด้วยอาเรียมักแสดงภาพลักษณ์ที่งดงามสง่าผ่าเผยให้เห็นเสมอ
“เพราะฉะนั้นฉันจะทานให้เยอะเท่าแม่เลย ถึงจะทานได้ไม่ถึงยี่สิบไม้ แต่แค่สิบก็ได้!”
ระหว่างที่ลิเป้กำลังอยู่ในอารามตกใจ บลิสก็ยัดไม้เสียบเข้าไปเต็มปาก
ทั้งยังเร่งให้พ่อค้าให้ย่างไม้ต่อไปมาเร็วๆ ด้วยสายตาอีกต่างหาก
“ถะ ถ้าอย่างนั้น… ขอฉันด้วยไม้หนึ่ง”
อาเรียทานเยอะออกขนาดนั้น ลิเป้จะแพ้ไม่ได้
อาเรียทิ้งเด็กๆ ที่ฟาดอาหารเสียบไม้ราวกับกำลังแข่งกันไว้เบื้องหลังแล้วหันไปถามอาซด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“…อาซ ทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะคะ อย่าบอกนะคะว่ายอมโกหกเพื่อให้ลูกพอใจ”
เธอพูดเสียงเบาเพื่อไม่ให้เด็กๆ ได้ยิน อาซเริ่มนั่งไม่ติดและนึกสาปแช่งตัวเขาเองในอนาคต
“โกหก… ไม่ได้โกหกครับ คุณแค่จำไม่ได้เท่านั้นเอง”
อะไรนะคะ ฉันทานไปตั้งยี่สิบไม้ จะจำไม่ได้ได้ยังไงกันคะ”
ความเคลือบแคลงยิ่งเพิ่มมากขึ้น เสียงอาเรียก็พลอยดังขึ้นตามไปด้วย
โชคดีที่เด็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตารอทานอีกไม้จึงไม่ทันได้สังเกต แต่ผู้คนโดยรอบที่เคยสนุกสนานไปกับงานเทศกาลต่างลดระยะห่างเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเพราะดูท่าเหมือนทั้งสองกำลังจะทะเลาะกัน
หากเป็นเช่นนั้น วันพรุ่งนี้คงมีหัวข้อข่าวเรื่ององค์รัชทายาทกับพระชายาทะเลาะกันหน้าร้านค้าริมทางลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแน่
อาซรีบเข้าไปใกล้อารียแล้วช่วยเอาฮู้ดคลุมให้เธอจนมิด ก่อนจะแก้ตัวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดมาจากใจจริง
“ขอโทษครับ ไว้ผมค่อยเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ เรื่องที่อาเรียทานเยอะถึงจะไม่ถึงยี่สิบไม้น่ะครับ”
โดยมีของแถมเป็นเรื่องที่เขาช่วยชีวิตเธอด้วย
เธอเองก็ไม่รู้ว่าอาหารเสียบไม้กับชีวิตมันไปเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่เธอไม่อาจโกรธเขาไปได้มากกว่านี้เมื่ออาซบอกว่าจะอธิบายให้ฟังแม้มันจะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม
“…ต้องอธิบายดีๆ ให้ฉันเข้าใจนะคะ”
แต่หากเป็นคำโกหกหรือคำอธิบายที่ไม่สมเหตุสมผลละก็ เธอจะไม่ให้อภัยแน่ และจะคิดหาวิธีมาลงโทษอีกด้วย
คำขู่ที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ง่ายของอาเรียทำเอาอาซได้แต่ยิ้มแหย
เพราะเขาสงสัยว่าเธอจะเชื่อเขาบ้างหรือไม่ แม้มันจะเกิดขึ้นจริงก็เถอะ
“แน่นอนครับ”
* * *
สุดท้าย บลิสก็ท้องเสียจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงตลอดทั้งเย็น
สาเหตุมาจากเธอทานเข้าไปเยอะจนย่อยไม่ทัน จนกระทั่งได้จิบน้ำทะเลสาบเข้าไปเล็กน้อย อาการปวดท้องจึงได้หายไป
ลิเป้หัวเราะเยาะบลิสที่กำลังลูบท้องตัวเองใบหน้าเหยเก
“บอกแล้วให้ทานแต่พอดี”
ที่จริงลิเป้ก็ทานเยอะพอๆ กับบลิส แต่ยังพยายามรักษาสีหน้าท่าทางเย็นชาทำเหมือนไม่มีอะไรเอาไว้อย่างเต็มที่
“…ถึงจะทานถึงยี่สิบไม้ไม่ได้เหมือนแม่ แต่ฉันก็อยากทานให้ได้ครั้งหนึ่งนี่นา”
“ไร้สาระ ถ้าทานหมดสิบไม้เธอได้ท้องแตกตายกันพอดีสิ”
บลิสทานไปได้เพียงหกไม้ก็ร้องครวญครางบอกว่าปวดท้องเสียแล้ว
ลิเป้หัวเราะเยาะพลางบอกว่าไร้สาระอีกครั้ง ก่อนจะมองบลิสที่ร้องโอดโอยลูบท้องตัวเองแล้วถามเป็นนัยๆ
“ว่าแต่วันนี้เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้หักโหมมากเท่าครั้งที่แล้วใช่หรือเปล่า”
“อืม! ฉันไม่เป็นไร! ถ้าไม่ไหวฉันก็คิดอยู่ว่าจะบอกนั่นแหละ! …มันคนละปัญหากับเรื่องปวดท้องนี่ และตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ปวดแล้วด้วย ไม่เลยสักนิด”
ตอนนี้พิธีราชาภิเษกกำลังใกล้เข้ามาแล้ว บลิซจะเป็นฝ่ายเสียหายแน่หากเธอล้มไปเสียก่อน
ดังนั้นหากเธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยแม้เพียงเล็กน้อย เธอตั้งใจว่าจะบอกลิเป้ทันที
น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เธอไม่มีอาการอะไรเลย จนกระทั่งฟาดอาหารเสียบไม้เข้าไปจนท้องเสีย มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ
เพราะแบบนั้น บลิสที่โอดครวญว่าปวดท้องแล้วทรุดนั่งลงกับพื้นจึงตะโกนร้องเรียกอาเรียที่หน้าซีดไปเป็นที่เรียบร้อยจนสุดเสียง
“นะ หนูแค่ปวดท้องเอง! ทานเยอะไปเลยปวดไง! จริงๆ นะ!”
ฉันไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้ว่าถ้าไม่ไหวจะบอกสักหน่อย จริงๆ นะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ
ฉันต้องเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกให้ได้ คำแก้ตัวถูกพล่ามให้หมอฟังตลอดการรักษา
“อีกแล้วหรือ” เธอยังแก้ตัวต่อไปจนกระทั่งหมอถามด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนวินิจฉัยว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดาๆ เท่านั้น
“แม่ยังบอกว่าเข้าใจเลย จริงๆ นะ!”
“…จริงก็จริง”
อาเรียถามอาการของบลิสจากหมออยู่หลายครั้งเพราะยังกลัวว่าน้ำทะเลสาบจะใช้ไม่ได้ผล
แต่แม้หมอจะตอบว่าบลิสไม่เป็นไรแล้วอยู่หลายครั้งหลายหน อาเรียก็ยังไม่อาจคลายความกังวลออกไปได้และยังให้บลิสจิบน้ำทะเลสาบเข้าไปอีก จนเมื่อครู่ที่บลิสบอกว่าไม่ปวดท้องแล้ว อาเรียจึงได้วางใจและยอมกลับไป
“เฮ้อ จริงๆ เลย ทำไมฉันต้องมามีพี่น้องเป็นเด็กอย่างเธอด้วยนะ ทำอะไรไร้สติไม่รู้จักยั้งคิดสิ่งที่จะตามมาภายหลัง”
ลิเป้ถอนหายใจยาวอย่างคนปลงตกพลางกล่าวตำหนิบลิส
เดี๋ยวสิ ฉันออกจะดีขนาดนี้ แล้วอีกอย่างนะ ฉันไร้สติตรงไหนกัน!
บลิสผู้โกรธเกรี้ยวทำตาถมึงทึงแต่ลิเป้กลับเปลี่ยนสำเนียงการพูดอย่างรวดเร็ว
“…เอาเถอะ ถึงยังนั้นความมุทะลุของเธอคราวนี้ก็มีประโยชน์ล่ะนะ”
การกระทำอันเลินเล่อของบลิสทำให้ลิเป้ได้เห็นอนาคตที่ทุกคนจะได้มีความสุข ดังนั้นแม้จะอยากต่อว่าบลิสมากกว่านี้ ลิเป้ก็ไม่อาจทำได้อยู่ดี
“อะ เอ๊ะ อะ อะไรหรือ ลิเป้ ทำไมจู่ๆ ถึงมานอนบนเตียงฉันล่ะ”
ด้วยเหตุนี้ลิเป้ซึ่งไม่คิดจะเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้อีกแล้วจึงเอนกายลงนอนข้างๆ บลิส
บลิสมองลิเป้พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดลิเป้จึงเปลี่ยนมานอนข้างเธอกะทันหันเหมือนไม่เคยเหน็บแนมกันมาก่อน
“ลิเป้”
“ฉันแค่เหนื่อย ไม่มีแรงจะเดินกลับห้องแล้ว วันนี้ฉันจะนอนนี่แหละ”
ลิเป้แก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้วกอดเอวบลิสไว้
ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
บลิสมองลิเป้ที่กำลังจะหลับตาโตราวกับคิดว่ามันแปลก
แต่แล้วจู่ๆ เธอก็เกิดกังวลกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บป่วยตรงไหนขึ้นมา จึงยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ลิเป้หัวเราะออกมาอย่างน่ารัก
* * *
วันต่อมา เลดี้โคลซี่มาหาแต่เช้า
เพื่อนำเสื้อผ้ามาให้ทั้งบลิสและลิเป้ได้ลองใส่ เนื่องด้วยงานพิธีราชาภิเษกนั้นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
“ตายแล้ว! น่ารักน่าชังเสียจริง ถ้าไม่ใช่ภาพวาดแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะนี่!”
นี่จะกลายเป็นฉากอันยิ่งใหญ่ที่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่สิ จะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ ณ ตอนนี้เลยต่างหาก
แม้พฤติกรรมจะไม่เหมาะสมไปบ้างแต่กลับไม่มีใครห้ามเธอ
เพราะบลิสและลิเป้น่ารักจนทุกคนอยากกู่ก้องร้องตะโกนอยู่ข้างเธอด้วยซ้ำไป
มงกุฎดอกไม้สีนุ่มนวลเข้ากับเดรสขาวที่เลียนแบบมาจากเดรสของอาเรีย เธอตั้งใจไม่สวมผ้าคลุมหน้าให้ทั้งสองเพื่อดูว่าชุดจะเหมาะสมกับเด็กๆ หรือไม่
แม้จะเป็นเสื้อผ้าที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนแต่ก็เพียงพอที่จะเข้าไปถึงใจทุกคนที่ได้พบเห็นเด็กทั้งสอง
“ทำให้ดิฉันนึกถึงพระชายาตอนเด็กๆ เลยล่ะค่ะ เหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์เลยด้วย”
“เหมือนนางฟ้าจริงๆ ค่ะ คนที่ใส่ชุดขาวหมดจดขึ้นนั้นหากยากนัก น่ารักเหลือเกิน…”
เป็นอย่างที่คิด เจสซี่หวีดร้องเบาๆ ขณะที่เทียเรนตอบกลับ
แม้จะดูไร้มารยาทแต่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจแตกต่างจากรูบี้ที่มักจะประดิดประดอยคำพูดลิบลับ
‘ฮึ่ม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีที่การกระทำผลีผลามของบลิสจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ’
เพราะหากเป็นเช่นนั้นการกระทำหุนหันพลันแล่นก็จะกลายเป็นนิสัยติดตัวบลิสไปแม้จะเปลี่ยนอนาคตได้แล้วก็ตาม
แต่ในเมื่อมันให้ผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้แล้วจะไปพูดอะไรได้กัน
ลิเป้ขมวดคิ้ว ขณะที่บลิสซึ่งกำลังมองเงาตัวเองในกระจกได้หันไปถามอาเรีย
“จริงหรือ หนูดูดีจริงๆ ใช่ไหม หืม หืม!”
ความจริงเธอไม่ได้สนใจอาการตื่นตูมของคนอื่นเลย ในเมื่อเธอเหมือนอาเรียก็ต้องน่ารักอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำชมที่โดนใจเธอเท่าไร
แต่ปฏิกิริยาของอาเรียกลับน่าสงสัยเหลือเกิน
เธอจะบอกว่าตนน่ารักเหมือนที่คนอื่นบอกไหม จะคิดว่าดูดีหรือเปล่า จะเป็นแบบนั้นใช่ไหมนะ
บลิสตั้งใจว่าจะบอกความจริงทุกอย่างทันทีที่พิธีราชาภิเษกจบลง ฉะนั้นนี่จะเป็นภาพสุดท้ายของเธอที่จะเหลืออยู่ในความทรงจำของอาเรีย เธอจึงอยากให้ตัวเองดูงดงามที่สุด
อาเรียมองแววตาที่มีทั้งความคาดหวังและความกังวลสะท้อนอยู่ในนั้นก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ลูกถามอะไรที่ไม่ควรจะถามเลย ลูกเหมือนใครล่ะ ไม่มีทางไม่สวยหรอกนะ”
บลิสโผเข้ากอดเอวอาเรียทันทีที่เธอพูดจบ
ลิเป้ที่อยู่ใกล้ๆ ได้แต่ขยับนิ้วไปมาใบหน้าแดงระเรื่อ อาเรียจึงยกยิ้มพลางกวักมือเรียกให้เข้ามาหาเธอ
จากนั้นทั้งฉากจึงกลายเป็นภาพของสามคนแม่ลูกที่กอดกันกลม
ทว่ามันกลับไม่ได้ดูแปลกหรือน่าขำขันแต่อย่างใด
ทั้งสามคนต่างคนต่างก็หวังให้อีกฝ่ายมีความสุข นั่นจึงทำให้หัวใจของทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาโดยพลัน
กระทั่งเมื่อปัญหาที่ทุกคนลืมไปแล้วได้เข้ามาอย่างกะทันหัน
“พระชายาขอรับ! มีสารมาว่ามาร์ควิสและมาร์เชอเนสแห่งเปียสต์ผ่านประตูนครหลวงเข้ามาแล้วขอรับ!”
…………………………………….