พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 24
อาเรียรีบปิดหน้าต่างและปิดผ้าม่านให้พ้นจากสายตาของเขา แล้วเดินกลับไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างรวดเร็ว
แม้จะมองไม่เห็นเขาแล้ว แต่พอนึกถึงสายตาและรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายนั่น ก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นๆ อาเรียดื่มชาที่เย็นขึ้นเล็กน้อยแก้อาการคอแห้งแล้วทำใจให้สงบ
ทั้งที่คิดว่าจะไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเจอกันแบบนี้ อาเรียใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างอันสั่นเทา ราวกับใบไม้ร่วงเหี่ยวแห้งที่สะอื้นไห้ในสายลมแห่งสารทฤดู แล้วเปลี่ยนความคิดในทันที
‘อย่าใส่ใจเลย ใช่ว่าคนที่เข้าออกกรมศุลกากร จะเป็นคนใหญ่คนโตทุกคนเสียหน่อย’
โดยปกติแล้ว พวกขุนนางมักจะสั่งให้คนใช้ไปทำกิจธุระเล็กน้อยต่างๆ ให้ จึงไม่มีความจำเป็นที่เจ้าตัวจะต้องเข้าไปในหน่วยงานของแผ่นดินด้วยตนเอง
หากมีความจำเป็นก็เพียงแค่เขียนจดหมายหรือสั่งงานผ่านคนรับใช้ให้นำสารไปถ่ายทอดแก่เบื้องสูงก็สิ้นเรื่อง
ฉะนั้นในตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด แค่ไม่คิดถึงมันก็พอแล้ว ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้อย่างง่ายดายเหมือนก่อนหน้านี้ และก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องได้อยู่ใกล้กันด้วย
ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต เส้นทางของเขาและเธอจะต้องอยู่ห่างกันจนไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของกันและกันได้แบบนี้ หากผู้คุมกันไร้ประโยชน์นั่นหารถม้าคันใหม่มาได้แล้ว เธอก็แค่ขึ้นรถม้ากลับบ้านทุกอย่างก็จบ
ในระหว่างรอรถม้า เดี๋ยวเจสซี่ก็คงนำของว่างเข้ามาให้ใหม่ ถ้าได้ชิมคุกกี้รสหวานอร่อย ก็คงจะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้
อาเรียวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้อย่างสุขุม พลางคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วปัดความกังวลทิ้งไป
พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก รสหวานของชาอบอวลไปทั่วลิ้น เธอเอนตัวพิงพนักโซฟาในท่านั่งสบายๆ และจิบชาไปด้วย จากนั้นเจสซี่และคนรับใช้ของร้านอัญมณีก็เข้ามาในห้อง
“ขออภัยที่มาช้าค่ะเลดี้”
เจสซี่โค้งตัวลงต่ำยอมรับในความผิดต่ออาเรีย เหล่าคนใช้ที่เข้ามาด้วยก็ทำเช่นเดียวกับเจสซี่
อาเรียยิ้มอย่างมีเมตตา เธอไม่ถือโทษโกรธพวกเขา และคิดว่าพวกนั้นช่างโชคดีที่เข้ามาได้จังหวะตอนเธออารมณ์ดีขึ้นพอดี แถมยังหูตาไวรีบขอโทษที่ทำให้เธอต้องรออีก
“ดิฉันเตรียมชามะลิกับทาร์ตมาให้ค่ะ”
เจสซี่และคนใช้รีบจัดโต๊ะสำหรับของว่างอย่างรวดเร็ว
อาเรียดื่มชาถ้วยใหม่เพื่อเติมความอบอุ่นให้กับร่างกายที่รู้สึกหนาวเย็นจากสายลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงและการพบกันที่ไม่คาดคิด รสชาติเปรี้ยวอมหวานของทาร์ตที่แต่งหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รีและบลูเบอร์รี ละลายในปากอย่างช้าๆ มันไม่ใช่ทาร์ตที่สามารถหาทานได้ตามท้องตลาดทั่วไป
‘คงจะไปซื้อมาจากร้านเบเกอรี่ชื่อดังที่ไหนสักแห่งสินะ’
รสชาติไม่เลว พอได้กินของอร่อยแล้วก็อารมณ์ดีขึ้น
ในขณะที่อาเรียกินทาร์ตไปได้ประมาณสองชิ้น อัศวินที่ไปหารถม้าก็กลับมา ดูท่าทางแล้วคงคลานมาเหมือนเต่าแก่ๆ ไร้เรี่ยวแรงสิท่า
แม้ของว่างจะอร่อยมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ในร้านอัญมณีอีกต่อไป อาเรียจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง
อาเรียรับการคุ้มครองจากอัศวินทั้งสองและเดินออกจากร้านอัญมณีไป รถม้าจอดรออยู่ตรงทางเข้าพอดี เธอจึงปัดความกังวลที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ออกไปได้
ถึงอย่างนั้น อาเรียก็สังเกตดูรอบด้านอย่างละเอียด พร้อมทั้งมีอัศวินขนาบข้างตัว อีกแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นแต่เธอก็ต้องรอบคอบเพราะเขาเคยข่มขู่และเข้าถึงอัศวินของเธอได้ในเวลาชั่วพริบตา
แน่นอนว่ามันคงไม่เหมือนกับคราวที่แล้ว ในตอนนี้เขาไม่มีธุระอะไรกับเธอ และคงจะไม่รอพบเธอด้วย แต่เพราะอาเรียเคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอจึงรู้สึกระแวงต่อความอันตรายที่ไม่สามารถคาดเดาได้
“ขึ้นรถม้าสิครับ”
ราวกับว่าความกังวลของอาเรียกำลังถูกปลดแอก ตั้งแต่อัศวินเปิดประตูรถม้าจนถึงตอนที่เขาให้ความคุ้มกันเธอก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
อาเรียถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลอดภัย เพียงแค่ก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าวเท่านั้น เธอก็จะสามารถซ่อนตัวอยู่ในรถม้าได้แล้ว
และในขณะที่เธอตั้งใจจะก้าวเท้าก้าวสุดท้ายนั้น ก็มีอะไรบางอย่างโผล่พรวดเข้ามาบริเวณข้างใบหน้าของเธอ
“…! “
“เลดี้! “
ผู้คุ้มกันรีบปัดสิ่งนั้นออกไปด้วยมือในทันที สิ่งที่ถูกยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าของอาเรียเมื่อครู่ถูกปัดตกลงพื้นพร้อมกับเสียงดังกรอบแกรบ
เมื่อก้มลงไปดู ก็รู้ว่ามันคือช่อดอกทิวลิปที่จัดช่ออย่างสวยงามด้วยกระดาษสีหวานและตกแต่งด้วยริบบิ้น
อาเรียตกใจมาก เธอยืนตัวแข็งอยู่ข้างรถม้า ผู้คุ้มกันทั้งสองรีบเข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วและชักดาบออกมาป้องกันอย่างคล่องแคล่ว
คมดาบนั้นหันไปทางใบหน้าดูประหม่าของผู้ชายที่กำลังหยิบช่อดอกทิวลิปตกพื้นขึ้นมาถือ
“นี่เป็นของขวัญที่กระผมตั้งใจจะมอบให้กับเลดี้ที่ช่วยปกป้องทรัพย์สินอันมีค่าของผม แต่ดูเหมือนผมจะทำอะไรกะทันหันไปหน่อยสินะครับ”
เขาปัดฝุ่นที่ติดช่อดอกไม้ออกไป และยิ้มเล็กน้อยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ท่าทางที่ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ของเขา ทำให้อาเรียไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้
และผู้คุ้มกันของเธอก็เช่นกัน พวกเขาเกิดอาการใบ้กินไปชั่วขณะ
หลังจากปัดฝุ่นที่ติดกับช่อดอกไม้จนสะอาดแล้ว ก็ยื่นมันให้กับอาเรียอีกครั้ง
และนั่นก็ทำให้อาเรียกลัว เธอถอยหลังหนี ผู้คุ้มกันแทรกเข้ามาในช่องว่างระหว่างเขากับอาเรีย และชิงตัดหน้าเพื่อไม่ให้เขามอบดอกไม้ให้อาเรียได้
“ช่างไร้มารยาทอะไรอย่างนี้! “
“แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความขอบคุณต่อน้ำใจของเลดี้เมื่อครั้งที่แล้ว เพราะคำชี้แนะของเลดี้แท้ๆ กระผมเลยไม่สูญเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์”
อาเรียไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ทั้งๆ ที่บทสนทนาในตอนนั้นเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำข่มขู่แท้ๆ แต่เขากล่าวขอบคุณที่เธอให้คำชี้แนะอะไรกัน
อาเรียมองช่อดอกไม้ที่ยื่นเข้ามาใกล้ตัวเธออย่างเหม่อลอย แล้วส่ายหน้าปฏิเสธไมตรีจิตของเขา
“ไม่ดีกว่าค่ะ เรื่องที่เราคุยกันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องมาขอบคุณเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ทำหน้าตกใจมาก เธอพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยระหว่างเขาและเธอ อาเรียทำหน้าบึ้งกับท่าทางลำบากใจและการกระทำที่ดูไม่น่าเชื่อของเขา
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันครับ เพราะเลดี้ผมเลยไม่ได้ซื้อใบประมูลและก็ไม่ต้องเสียเงินไปเปล่าๆ อีกด้วย”
ในตอนนั้นเองที่อาเรียเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ดูเหมือนขุนนางที่ไม่มีอะไรทำในชนบทจะเดินทางมาที่เมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการประมูลอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ
‘เป็นแค่ขุนนางบ้านนอกแท้ๆ กล้าดียังไงมาจับข้อมือฉัน แถมยังขู่ฉันอีก’
แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงความไร้มารยาทของเขาอีกครั้ง ก็ทำเอาเธอไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังหงุดหงิดที่ตนเองคิดมาก ทั้งที่เขาเป็นเพียงแค่คนที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เธอพะว้าพะวังไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถึงขั้นที่เร่งให้มิเอลสวมชุดที่เธอคืนให้ออกไปข้างนอก
แม้อาเรียจะขมวดคิ้วและไม่ตอบอะไรกลับไป เขาก็ยังคงยิ้มเล็กน้อยราวกับไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คุ้มกันทั้งสองคนสามารถกีดกันเขาออกไปได้ตลอดเวลา แต่รู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอิสระอย่างบอกไม่ถูก
“อย่างนั้นแล้ว หากเพียงเลดี้แห่งตระกูลโรสเซนต์จะยอมรับดอกทิวลิปที่ได้รับการดูแลจากราชอาณาจักรนี้ไว้ก็คงดีนะครับ อย่าได้กังวลไปเลยครับ ดอกไม้นี้ผมให้เพื่ออวยพรให้คืนวันในอนาคตของเลดี้เต็มไปด้วยความโชคดีเท่านั้นครับ”
เขายังยืนกรานที่จะให้ช่อดอกไม้แก่อาเรีย โดยยื่นมันให้เธอผ่านช่องว่างระหว่างผู้คุ้มกันเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ หากใครมาเห็นภาพนี้เข้าก็คงจะคิดกันไปว่าพวกเขามีความใกล้ชิดสนิทสนมกันแน่นอน
ไม่สิ หากใครมาเห็นสถานการณ์ที่มีผู้คุ้มกันยืนขวางระหว่างเขาและเธอก็อาจจะคิดว่าทั้งเขาและเธอไม่ได้สนิทกันก็เป็นได้
เพราะแบบนั้น แม้ปลายดาบของพวกเขาจะยังคงหันไปทางชายผู้นั้นก็ตาม แต่ตอนนี้ร่างกายที่เคยเกร็งจนขนลุกชันไปทั้งตัวของพวกเขา เริ่มผ่อนคลายลงต่างจากตอนแรกที่ชายผู้นี้โผล่พรวดเข้ามา
ทั้งเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวแถมยังไม่ถอดผ้าคลุมศีรษะอีก แม้ว่าการแต่งตัวของเขาจะดูน่าสงสัย แต่ดูแล้วก็ไม่รู้สึกถึงความอันตรายใดๆ เลย
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่เคยได้เจอเมื่อครั้งก่อน
ดูแล้วเขาคงไม่ยอมถอยออกไปจนกว่าอาเรียจะรับช่อดอกไม้นี้ไว้ หากเป็นอย่างนั้นแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้
“…อย่างนั้นสินะคะ”
อาเรียยื่นมือไปทางช่อดอกไม้ยื่นเข้ามาระหว่างผู้คุ้มกัน เป็นการบอกว่าจะรับมันไว้ เขายิ้มกว้างภายใต้ผ้าคลุมศีรษะที่เผยให้เห็นเพียงผ่านๆ
ภาพของเด็กหนุ่มสาวสองคนที่กำลังแสดงไมตรีจิตต่อกันนั้น ทำให้ผู้หัวใจของผู้ชมรู้สึกถึงความอ่อนโยน
ผู้คุ้มกันค่อยๆ ถอยไปยืนด้านข้างเพื่อเปิดช่องว่าง ในตอนนั้นเองที่เขาสามารถมอบช่อดอกไม้ให้กับอาเรียได้อย่างเหมาะสม
เขาก้มตัวลงต่ำอยู่ในท่าคุกเข่าและยื่นช่อดอกไม้ให้อาเรีย เธอรับมันไปและถามถึงชื่อของชายที่ให้ดอกไม้งามและกลิ่นหอมนี้
“หากจะรับไปเฉยๆ โดยไม่รู้ชื่อผู้ให้ก็กระไรอยู่”
“นั่นสินะครับ ผมทำเสียมารยาทไปเสียแล้ว ได้โปรดรีเยกผมว่า‘อาซ’เถอะครับ”
“แล้วนามสกุลละคะ”
“ผมมีเหตุผลบางอย่าง เอาเป็นว่าตอนนี้มีเพียงแค่ชื่อนี้ครับ”
“ฮืม…”
อาเรียมองดูการแต่งกายของอาซตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถอดหายใจสั้นๆ แม้แต่นามสกุลก็ยังเปิดเผยไม่ได้ ดูแล้วคงไม่ได้มีอะไรพิเศษยิ่งกว่าที่เธอคิดเสียอีก
บางทีเขาอาจจะเกิดมาในครอบครัวขุนนางบ้านนอกสักคนที่แต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาดีแบบแม่ของเธอก็เป็นได้
เธอรับช่อดอกไม้ที่อาซมอบให้ แล้วเอาไปแตะที่หน้าของอัศวิน เพื่อเตรียมพร้อมกับความอันตรายที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ อัศวินดมกลิ่นดอกไม้เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
โชคดีที่เขาไม่ได้มีแผนการแอบแฝงอะไร และอัศวินแสดงออกให้เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร
“เป็นดอกทิวลิปธรรมดาครับผม”
เพราะอัศวินทำท่าจะเด็ดกลีบดอกไม้มากินเพื่อตรวจสอบ อาเรียจึงส่ายหน้า ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มากเรื่องมากความในเวลาสั้นๆ แบบนี้
อาเรียดมกลิ่นดอกทิวลิป กลิ่นหอมติดจมูกและสีที่เข้มชัดนั้นคงจะเป็นของคุณภาพสูงทีเดียว อาเรียย่อเข่าลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณตอบแทนความมีน้ำใจของอาซ
“เท่านี้ธุระของเราก็จบลงแล้วใช่ไหมคะ ดิฉันต้องกลับคฤหาสน์แล้ว”
“อ่อ อย่างนั้นเหรอครับ”
คำพูดของอาเรียเป็นการไล่แขกแบบอ้อมๆ ความมีน้ำใจนี้ถือว่าเกินพอแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้นัดหมายและโผล่มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบเขา
หลังจากเขาตอบกลับไปแล้วก็ก้าวเข้าไปหาอาเรียอีกหนึ่งก้าว ถึงเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ระยะห่างระหว่างคนสองคนซึ่งไม่คุ้นเคยกันที่ใกล้กันอยู่แล้วยิ่งใกล้กันเข้าไปอีกก้าว เพียงแค่เอื้อมมือไปก็สัมผัสได้แล้ว เหตุการณ์คราวที่แล้วก็เช่นกัน ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วและคาดเดาไม่ได้เลย
อาเรียตกใจและก่อนที่เธอจะทันไหวตัว อาซก็คุกเข่าใกล้ๆ เธอและยื่นมือไปหาอาเรียเรียบร้อยแล้ว อาเรียทำหน้าเคร่งตึงต่อท่าทางของเขาที่เหมือนจะพบเห็นได้มากมายจากที่ไหนสักแห่ง
อย่าบอกนะว่า
“ผมขอจูบมือเป็นการบอกลาได้หรือไม่ครับ”
“…ไม่ค่ะ”
พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นกับคนที่ปกปิดตัวตนไม่ยอมแม้แต่จะถอดผ้าคลุมศีรษะ
แม้อาเรียจะทำสีหน้าจริงจังและบอกปฏิเสธอย่างเฉียบขาด อาซก็เพียงแค่ยิ้มแล้วมองข้ามมันไปราวกับว่าเขาไม่ได้หวังว่าเธอจะยินยอมแต่แรกอยู่แล้ว เขาลุกขึ้นอย่างไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร
“ช่างเป็นคนเย็นชาจังเลยนะครับ”
“ไม่ใช่ว่าคุณใจร้อนเกินไปหรอกหรือคะ ต่างจากคราวก่อนลิบลับเลยนะคะ”
ตลอดชีวิตที่ไม่สั้นไม่ยาวของเธอนั้น หากไม่นับพวกที่เมามายแล้วเข้าหาผู้หญิงอย่างไม่เลือกหน้าในงานปาร์ตี้ต่างๆ แล้วละก็ เขาถือเป็นคนแรกเลยที่เสียมารยาทมากขนาดนี้
ทั้งที่คราวก่อนทำตัวน่าหวาดกลัวจนเธอรู้สึกชาไปทั้งตัว มาวันนี้กลับทำตัวอ่อนโยนอย่างกับคนที่ต้องมนต์เสน่ห์ของผู้หญิงเสียอย่างนั้น ทั้งที่อาเรียพูดจาอย่างไม่ไว้น้ำใจแล้วแท้ๆ เขาก็ยังคงยิ้มอย่างไม่รู้ความหมายอยู่เหมือนเดิม
“กระผมต้องขออภัยต่อเรื่องเมื่อวันก่อนจริงๆ ครับ มันเป็นเรื่องที่สำคัญกับผมมากๆ ดังนั้นเลยตั้งใจจะตอบแทนแบบนี้น่ะครับ”
“อ๋อ ค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวกลับตอนนี้จะได้ไหมคะ”
อาเรียไม่ฟังคำตอบของอาซ เธอหันหลังกลับไปอย่างไม่มีเยื่อใยเพราะไม่มีธุระอะไรกับเขาอีก อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนที่เธอจะต้องมีมารยาทด้วยและเธอก็ไม่อยากจะพบเจอกับเขาอีก
เธอไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ ไม่สิ เธอไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ ดูเหมือนเขาคิดจะไปส่งอาเรียด้วยซ้ำ
อาซทอดสายตามองตามอาเรียโดยที่ไม่ขยับตัวอยู่ที่เดิม ดวงตาสีฟ้าที่ดูลึกล้ำ เต็มไปด้วยปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย
‘งี่เง่าชะมัด’
ในจังหวะที่อาเรียมองตอบสายตาของเขาและก้าวขึ้นรถม้านั้น ตัวเธอก็เสียสมดุลเซไปมาจนทำช่อดอกไม้ตกลงไปที่ปลายเท้า
อาเรียตกใจเบิกตากว้าง ในขณะที่เธอลุกลี้ลุกลนเพื่อที่จะเก็บช่อดอกไม้ ก็กลายเป็นว่าเธอหยุดยืนแล้วเหยียบมันเข้าเสียแล้ว
“ตายแล้ว! ”
“…! ”
ดอกทิวลิปที่ส่งกลิ่นหอมหวานกลายเป็นขยะที่มีของเหลวข้นๆ หยดลงอย่างไม่น่าดูภายในชั่วพริบตา
คาดไม่ถึงเลย กลีบดอกอันอ่อนนุ่มอยู่ในสภาพที่ถูกเหยียบเละจนนึกสภาพเดิมของมันไม่ออก
อาเรียที่เห็นว่ามันเละน่าเกลียดจนไม่กล้าหยิบขึ้นมา ทำหน้าเหยเกและลุกขึ้นมา
อัศวินคนหนึ่งจึงหยิบช่อดอกไม้น่าสงสารที่ห้อยต่องแต่งแทนอาเรีย ดอกทิวลิปที่โอ้อวดความงามอย่างสูงส่งเมื่อครู่ บัดนี้กลายเป็นสิ่งที่แค่มองก็ทำให้อารมณ์เสียแล้ว
“จะทำอย่างไรดีละคะ…”
……………………………………………………..