พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 25
“…”
อาซจ้องมองอาเรียด้วยใบหน้านิ่งตึงสักพัก เขาสบสายตาที่ขอโทษจากใจจริงของเธอ แล้วยิ้มกว้างด้วยความยินดี
ไม่ว่าจะมองยังไงนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่จะต้องทำให้อารมณ์เสียแน่นอน แต่เขากลับดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ราวกับว่ากำลังรอสถานการณ์แบบนี้อยู่
“ช่อดอกไม้ที่น่าเกลียดแบบนั้นคงไม่เหมาะกับเลดี้เป็นแน่ ทิ้งมันไปเถอะครับ”
แม้ต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับยิ้มกว้างอย่างกับสัตว์ร้ายที่หาอาหารพบเสียอย่างนั้น
นั่นเลยทำให้อาเรียเป็นฝ่ายอารมณ์เสียแทน ทั้งที่เธอหวังว่าจะได้เห็นหน้าตาบูดบึ้งของเขาแท้ๆ เป็นคนที่อ่านความคิดไม่ออกเลยจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น รบกวนด้วยนะคะ”
“ได้อยู่แล้วครับ”
ช่อดอกไม้สภาพน่าเกลียดกลับไปอยู่ในมือของอาซ ดอกไม้ที่อยู่ในสภาพเสียหายดูเข้ากันกับแววตาที่เหมือนสัตว์ร้ายของเขาได้อย่างน่าประหลาดจนขนลุก
อาเรียรีบขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว เธอออกคำสั่งเร่งออกเดินทาง จากนั้นรถม้าก็ออกวิ่งไปยังจุดหมายอย่างไม่รอช้า สีหน้าของอาซกลับมาเย็นชาโดยไม่รู้ตัว เขามองตามรถม้าที่ค่อยๆ เล็กลงในระยะสายตาอยู่ครู่หนึ่งโดยที่ยังคงสวมผ้าคลุมศีรษะไว้ดังเดิม
***
รถม้าคันใหม่ที่อัศวินไปยืมมา อยู่ในระดับที่ถือว่าใช้ได้สมกับเวลาที่รอคอย ดูเหมือนโชคร้ายจะไม่ได้ตามมาเล่นงานเธออีกครั้ง จึงนั่งรถม้าได้อย่างสบายกายและโล่งใจจนถึงคฤหาสน์
แม้กระนั้นอาเรียก็ไม่สามารถอิ่มเอมไปกับความสบายนั้นได้ ในหัวของเธอรู้สึกสับสนวุ่นวายไปด้วยเรื่องของอาซ
‘…เป็นคนอย่างไรกันแน่นะ’
ภายในรถม้าเต็มไปด้วยความเงียบงันตลอดทางกลับคฤหาสน์ อาเรียมองดูทิวทัศน์ที่ผ่านไปทางนอกหน้าต่างอย่างผ่านๆ แล้วพลันนึกถึงสายตาที่รังควานเธอเมื่อครู่
‘เขาจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ ’
ไม่อย่างนั้นแล้ว อยู่ดีๆ จะแกล้งมาตีสนิทกับเธอเพื่ออะไรกัน อาเรียไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้
มันยังไงกันแน่ อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปแบบนั้น อีกอย่างเขาเห็นอะไรในตัวเธอกัน ถึงได้เข้ามาทำดีด้วย
ในหัวของเธอสับสนวุ่นวายไปด้วยเรื่องของคนที่คาดไม่ถึงแบบเขา
‘…เลิกคิดได้แล้ว สิ่งที่ฉันต้องคิดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้’
อาเรียส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระนั้นออกไป
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ อาเรียก็สั่งให้จับตัวคนขี่รถม้าคันที่ใช้งานไม่ได้ และเรียกคนขี่ม้าที่กลับมาก่อนเพราะอาการปวดท้องเข้ามาทันที เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็เป็นได้ แต่โชคร้ายคำตอบที่เธอได้กลับมานั้นไม่เป็นอย่างที่เธอคาดไว้
“เข้าโรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ”
“ครับ ดูเหมือนอาการจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ได้ยินว่าเอาแต่ร้องปวดท้องและอาเจียนด้วยขอรับ”
หรือว่าจะไม่สบายจริงๆ ไม่สิ อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนั้น ถึงจะบอกว่าปวดท้องจริง แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน ต้องมีใครทำให้เป็นแบบนั้นแน่นอน
มันดูไม่ชอบมาพากล เมื่อเธอคิดถึงคนขี่ม้าที่เหงื่อแตกพลั่กก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ดูจากสถานการณ์แล้วจะต้องมีใครจงใจให้เป็นแบบนั้น
“รีบไปดูอาการของเขาซะ ว่าป่วยจริงหรือไม่ แล้วป่วยตรงไหนยังไงกันแน่”
“ขอรับเลดี้”
จอห์นรีบไปตรวจสอบอาการของคนขี่ม้าตามคำสั่งของอาเรียในทันที โชคดีที่เขารักษาตัวในสถานพยาบาลใกล้ๆ จึงตรวจสอบได้ในเวลาอันสั้น
หมอผู้รักษาวินิจฉัยว่าคนขี่ม้าปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษ โดยคาดว่าน่ามาจากของทะเลที่อยู่ในอาหารกลางวันที่เขารีบกินอย่างร้อนรนระหว่างรออาเรียนั่นเอง
“แต่ภรรยาของเขาที่กินอาหารแบบเดียวกันกลับไม่เป็นอะไรเลยน่ะหรือ”
“ครับ ดูเหมือนว่าภรรยาจะกินอาหารก่อน แล้วคนขี่ม้าที่กลับมาถึงคฤหาสน์ช้าก็กินส่วนที่เหลือนะขอรับ”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็น่าสงสารละนะ”
ฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นสบายแบบนี้ ไม่มีทางที่อาหารจะบูดเร็วขนาดนั้นแน่
เมื่อได้ฟังการรายงานจากจอห์นแล้ว รูปปากของอาเรียก็บิดเบี้ยวขึ้น ไม่ว่าจะคิดยังไงนี่ก็เป็นแผนการที่ใครสักคนวางไว้
แผนการของสาวน้อยที่ฉลาดเป็นกรดแถมยังน่ากลัวอีกด้วย
‘เป็นเพราะฉันได้ของขวัญจากออสการ์อย่างนั้นหรือ’
หากว่านั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริงแล้วละก็ มันช่างน่าขันและดูอ่อนหัดเสียจริง
หากว่าคนที่ตนมีใจให้แสดงไมตรีจิตต่อผู้อื่น ก็ควรจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนใจคนที่ตนรัก ไม่ใช่ไปรังควานผู้อื่น
เพราะสิ่งที่ได้รับจากการรังควานผู้อื่นมีเพียงแค่ความสะใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เรื่องแบบนี้อาเรียรู้ซึ้งถึงมันเข้ากระดูก เพราะเธอเคยทำมันมาแล้วในอดีต
‘ค่อยๆ บ้าไปเองสินะ’
ช่างต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะทำเรื่องชั่วเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ กลับปล่อยให้อารมณ์เป็นที่ตั้งเสียอย่างนั้น จะวอดวายเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วละ
เมื่อได้ดังนั้น แม้จะเจอเรื่องที่ไม่สบอารมณ์มาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาเรียอารมณ์เสียมากเท่าไหร่
เธอคิดว่าจะมองข้ามเรื่องที่เกิดในครั้งนี้ไปดีหรือไม่ หากทำอย่างนั้นก็คงมิเอลก็คงได้ใจแล้วก่อเรื่องแปลกๆ อีกเป็นแน่ อาเรียกระตุกยิ้ม
แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะปล่อยผู้สมรู้ร่วมคิดไปเฉยๆ แน่ จะต้องทำให้ยอมรับผิดแล้วไล่ออกไป เธอจะขจัดคนที่เกี่ยวข้องออกไปโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและน่าสงสาร
อาเรียชื่นชมจอห์นที่สืบหาคำให้การและความจริงเรื่องอะไหล่บางชิ้นของรถม้าเกิดความเสียหาย จากนั้นเธอก็มุ่งไปยังห้องของเคาน์ติสที่เพิ่งกลับมา
เพราะท่านเคานต์ไม่อยู่คฤหาสน์เป็นเวลานาน อำนาจทุกอย่างในคฤหาสน์จึงตกอยู่กับเคาน์ติส การที่อาเรียจะขอความช่วยเหลือจากคนที่พร้อมเข้าข้างเธอเต็มที่อย่างเคาน์ติสนั้นเป็นเรื่องง่ายดายไม่ต่างจากการสั่งให้เจสซี่ชงชาให้เลย
เคาน์ติสกลับมาในสภาพยุ่งเหยิงเล็กน้อย กลิ่นหวานของแอลกอฮอล์ฟุ้งไปทั้งตัว บรรดาสาวใช้ช่วยกันปลดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออกจากร่างกายของเธอ ในตอนนี้เธอนอนแผ่หลาบนเตียงในสภาพที่ไม่มีอะไรสวมอยู่ เนื่องจากเธอยังไม่ได้หลับไปจึงพอมีช่องว่างให้อาเรียได้สนทนาด้วย
“ฉันมีเรื่องต้องพูดกับท่านแม่ ทุกคนช่วยออกไปก่อน”
อาเรียไล่พวกสาวใช้ที่กำลังนวดตัวและหน้าของท่านเคาน์ติสออกไป จากนั้นก็ไปนั่งตรงหัวเตียงแล้วลูบคลำเส้นผมเงางามเป็นประกายของเธอ
อาเรียมักจะทำเรื่องอ่อนโยนแบบนี้เวลาที่เธอมีเรื่องจะขอร้องเท่านั้น มารดาจึงกะพริบตาที่เต็มไปด้วยความเมามายอย่างช้าๆ พร้อมกับถามถึงเหตุผล
“…มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ แต่เพราะมันเกิดขึ้นในบ้าน เลยคิดว่าควรจะบอกให้รู้ไว้ดีกว่า เมื่อกี้เกือบจะเกิดอุบัติเหตุใหญ่ขึ้นกับหนูแล้วค่ะ”
“อุบัติเหตุงั้นหรือ”
“อุบัติเหตุจากรถม้าค่ะ หนูเกือบประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่แล้วค่ะ”
พอได้ยินว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเกือบจะได้รับอุบัติเหตุ อาการมึนเมาก็หายออกไปจากใบหน้าเป็นปลิดทิ้ง เคาน์ติสลุกขึ้นมา
แม้แก้มทั้งสองข้างจะยังแดงเรื่ออยู่ แต่ความรักของแม่ที่มีความกังวลและห่วงใยปะปนกันนั้นกลับปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในแววตา นั่นทำให้อาเรียยิ้มออกมาเล็กน้อย เคาน์ติสขมวดคิ้วขึ้น
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหนเล่ามาดีๆ สิ เกือบจะประสบอุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ”
“ก็เกือบจะเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้วละค่ะ คนขับรถม้าโง่ๆ คนหนึ่งกลับมากินข้าวกลางวันที่บ้านโดยไม่ได้ขออนุญาต แล้วเกิดปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษขึ้นมา แล้วคนขี่ม้าที่มาแทนเจ้าโง่นั่น ก็ดันเอารถม้าที่เสียหายมาแทน อย่างกับตั้งใจทำแบบนั้นเลยค่ะ”
โชคดีที่เคาน์ติสยังคงมีอาการมึนงงจากฤทธิ์สุราอยู่บ้าง อาเรียจึงพูดเกินจริงไปว่าท่าทางของคนพวกนั้นดูหยาบคายและไม่ยอมรับความผิดของตัวเองอีกด้วย นั่นทำให้เคาน์ติสทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา
“ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงแล้วละก็ คงจะอภัยให้พวกนั้นไม่ได้”
“ใช่ไหมละคะ ทั้งๆ ที่เกิดเรื่องขึ้นแท้ๆ แต่กลับไม่มีการรายงานอะไรเลย แน่นอนว่าหนูไม่สำคัญถึงขนาดที่พวกนั้นจะต้องมารายงานเรื่องต่างๆ หรอกค่ะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะไม่มารายงานเรื่องนี้กับท่านแม่ที่เป็นผู้ปกครองคฤหาสน์หลังนี้ ในขณะที่ท่านเคานต์ไม่อยู่
“…”
“บางทีคนในบ้านหลังนี้อาจจะยังมองว่าเราสองคนเป็นคนต่ำช้าอยู่ก็ได้ค่ะ น่าเศร้าอะไรเช่นนี้”
ความจริงที่ไม่ต่างจากการเตือนความจำนั่น เพียงพอแล้วที่จะยั่วโมโหเคาน์ติส
เธอรีบใส่เสื้อผ้าทันที แล้วเรียกให้บรรดาคนใช้ในบ้านมารวมตัวกัน ทุกคนต่างมารวมตัวกันที่ห้องโถงชั้นหนึ่งของบ้านตามที่เธอสั่ง
พวกที่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมและสายตาดุดันของเคาน์ติสเป็นครั้งแรกต่างทำหน้างุนงงไปหมด และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีคนที่กำลังหวาดกลัวและตัวสั่นเป็นต้นหลิวลู่ลมอยู่ด้วย
อย่างเช่นคนขี่ม้าที่ทำให้อาเรียเกือบเดือดร้อนเมื่อกี้
คนรับใช้ต่างพากับหุบปากและก้มหน้ามองดูพื้น ท่ามกลางบรรยากาศน่าหวาดผวาของเคาน์ติส เธอทำลายความเงียบนั้นลง ด้วยการถามถึงข้อเท็จจริงของเรื่องน่ากลัวและไม่น่าเบิกบานใจที่เกิดขึ้นในวันนี้
“…เอาล่ะ ฉันได้ยินมาว่าคนขับรถม้าที่ชื่อยากีนั่น แยกตัวกลับมาที่บ้านก่อน โดยที่ไม่ขออนุญาตจากอาเรีย แถมคนขับม้าที่ไปแทนก็กลับมาที่บ้านโดยที่ไม่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ทั้งที่เอารถม้าที่เสียแล้วออกไปใช้จนอาเรียเกือบจะได้รับอุบัติเหตุ นี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่า”
สายตาของเคาน์ติสมองไปทางอีริค เพราะคนที่จะต้องซักถามมีเพียงแค่เขาเท่านั้น สายตานับสิบคู่ต่างเพ่งมองไปที่เขา
ยากีเริ่มชี้แจงเรื่องนี้ขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับเตรียมพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อการซักถามและสายตาเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว
“ความแล้วมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกขอรับ ดูเหมือนกระผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาเอารถม้าไปผิดคันครับ”
“เอารถม้าไปผิดงั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคนดูแลรถม้าคงทำงานสะเพร่าจนทำให้เอารถม้าผิดคันไปใช้สิท่า”
หลังจากที่เคาน์ติสโยนความผิดไปให้คนดูแลรถม้า เขาก็สะดุ้งโหยงและแย้งว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน แถมยังหน้าแดงราวกับรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม
“ไม่มีทางครับ! รถม้าที่ใช้งานไม่ได้จะถูกเก็บไว้ในโรงเก็บรักษาอยู่แล้วขอรับ รถม้าที่อีริคเอาไปเป็นรถม้าที่ถูกเก็บไว้ในโรงเก็บรถม้าที่อยู่ไกลจากส่วนกลางครับ”
“นั่นเป็นความจริงงั้นหรือ”
“แน่นอนขอครับ นี่เป็นกฎที่ทำต่อๆ กันมาตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลขอรับ! เป็นความจริงที่ทุกคนต่างก็รู้ขอรับ! ”
เขาพูดออกมาอย่างดูมีเหตุผล ทุกคนต่างเห็นด้วยกับเขาและพยักหน้ายืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง เนื่องจากมันเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนต่างรู้กันอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องถามซ้ำเพื่อยืนยันอีก
เคาน์ติสกำลังไล่ต้อนคนขับรถม้าให้ตกไปอยู่ในสถานการณ์จนตรอก อาเรียที่สังเกตสถานการณ์อย่างเงียบๆ ข้างท่านเคาน์ติสก็เริ่มดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อไล่คนขี่ม้าให้ตกลงไปในเหวที่ไม่สามารถหนีออกมาได้
“ท่านแม่คะ คนที่ออกคำสั่งคนรับใช้ก็คือพ่อบ้านไม่ใช่หรือคะ ไม่ใช่ว่าเขาทำตามคำสั่งพ่อบ้านหรอกหรือคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่น่าจะเอารถม้าที่ชำรุดออกไปได้เลยนี่ค่ะ”
แฟงค์คือพ่อบ้านที่อุทิศตนทำงานให้กับคฤหาสน์หลังนี้มาเป็นระยะเวลาถึงสามสิบปี
ไม่มีทางที่เขาจะทำแบบนั้นหรอกน่า
ทุกคนต่างคิดว่านั่นไร้สาระและไม่มีทางเป็นไปได้ และรอให้เขาแก้ตัวด้วยความรู้สึกกังวล
“…”
แต่ทว่า ช่างโชคร้ายที่เขาไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ในทันที หรือว่าเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันนะ
หากมองเรื่องราวในอดีตโดยรวมแล้ว อาเรียคิดว่าเขาค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดคนหนึ่ง คงจะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในครั้งนี้หรอกใช่ไหม
ผู้สมรู้ร่วมคิดที่คาดไม่ถึง อาเรียมองเขาด้วยความระแวง แล้วเขาก็สารภาพถึงการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของตนเองด้วยใบหมองหม่นขึ้นมาทันที
“แม้จะน่าอายที่ต้องบอกแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วกระผมก็เพิ่งจะได้รู้ความจริงเรื่องนี้เมื่อครู่นี้เองขอรับ…แน่นอนว่ามันเป็นหน้าที่ของกระผมที่ต้องรับรู้และจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ขอรับ กระผมคิดว่าเลดี้อนุญาตให้ยากีกลับมากินอาหารมื้อกลางวันที่บ้าน และคิดว่าอีริคเปลี่ยนเอารถม้าที่ใช้งานได้ปกติออกไปขอรับ แน่นอนว่าผมไม่ได้ลืมที่จะดูมันครับ แต่กระผมก็ไม่ได้สงสัยอะไร ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ก้มหัวยอมรับในความผิดของตนเอง แม้เวลาจะผ่านสักพักแล้วเขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
เอายังไงดีละ ใครบางคนถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ คนที่ตกใจกับข้อผิดพลาดของเขาไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคน ทั้งที่เขาจัดการงานทุกอย่างในบ้านอย่างฉลาดเฉียบแหลมมาตลอดแท้ๆ
อาเรียจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะกำจัดเขาออกไปด้วยดีไหม หรือว่าจะช่วยเขาไว้ดี
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเธอสองแม่ลูกอย่างเลิศเลอก็ตาม แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ทำงานสะเพร่าหรือมีอคติเลย อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มองทุกอย่างเป็นกลาง ดูแล้วคงไม่ใช่คนที่จะมาขัดขวางแผนการของเธอได้
‘ช่วยดีไหมนะ’
ยิ่งกว่านั้นคนส่วนใหญ่ในบ้านก็เชื่อฟังและให้ความไว้ใจกับพ่อบ้านอีกด้วย การเข้าข้างเขาดูจะเป็นผลดีกว่า
“ยังไงพ่อบ้านก็จัดการงานทุกอย่างได้อย่างรอบคอบมาโดยตลอด คงไม่มีอะไรน่าสงสัยหรอกค่ะ เพราะเมื่อครู่เขาเอาแต่หลบตา หนูเลยคิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากว่าเขาตั้งใจทำเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ เพราะหนูไม่ไว้ใจเขาในตอนแรกน่ะค่ะ รู้สึกผิดจัง”
พ่อบ้านตัวสั่นขึ้นมาครู่หนึ่งหลังจากที่อาเรียพูดเข้าข้างเขา ดูเหมือนเขาจะไม่คาดคิดว่าอาเรียจะช่วยเขา
ด้วยเหตุนี้ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่คนขับรถม้า อาเรียจดจ่อสายตาไปยังมิเอลที่ทำหน้าเกร็งอยู่ตรงมุมหนึ่งห่างจากเคาน์ติสไปเล็กน้อย
เอาล่ะมิเอล แผนที่เธอเป็นคนวางนี้จะทำยังไงกับมันดีละ
…………………………………