พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 27
คนขับรถม้าถูกปลดออกตามที่อาเรียต้องการ
เขาต้องออกไปมือเปล่าโดยที่ไม่ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญเสียด้วยซ้ำ และนี่คือคำพิพากษาของเคาน์ติสผู้มีใจกรุณานั่นเอง ด้วยความผิดโทษฐานปองร้ายผู้เป็นนายนี้ เขาคงไม่อาจทนอยู่ในเมืองหลวงได้อีก
“ฉันขอปลดคนขับรถม้านามว่าอีริคออกจากตระกูลแห่งท่านเคานต์”
เสียงของเคาน์ติสดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องโถง คนขับรถม้าที่ใต้ตาดำคล้ำราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนทรุดลงกับพื้นทันที มิเอลเองก็หน้าซีดลงไปเช่นกัน
“นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ขาดงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันจะเปลี่ยนสังกัดให้ไปอยู่ที่คอกม้าและรับหน้าที่ทำความสะอาดคอกม้าแทน”
สถานที่ทำงานของคนขับรถม้าที่กำลังปวดมวนในท้องอยู่นั้นก็ถูกเปลี่ยนด้วยเหตุผลเรื่องการขาดงานไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาต้องกลายเป็นคนทำความสะอาดคอกม้า ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของคนรับใช้เด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์
‘บางทีหมอนั่นอาจจะลาออกก็ได้ เพราะยังไงก็ต้องโดนนายหมายหัวจนไม่ได้เลื่อนยศอีกเลยตลอดชีวิตนั่นแหละ’
นับเป็นบทสรุปที่น่าพอใจมากทีเดียว เพราะเรื่องนี้จะทำให้คนอื่นๆ รอบตัวหล่อนนอกจากเจ้าหมอนั่นที่คอยตามหล่อนอย่างกับทาส ได้ฉุกคิดถึงสิ่งที่ตนจะได้รับขึ้นมาบ้าง
“…ลูกรู้สึกไม่ค่อยสบาย คงต้องขอตัวขึ้นไปก่อนนะคะ”
มิเอลเอ่ยปากว่าจะขึ้นไปพักผ่อนเพราะรู้สึกไม่สบาย ทุกคนในคฤหาสน์ต่างพากันเป็นห่วงมิเอลเพราะสีหน้าซีดเผือดราวกับจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อของเจ้าหล่อน
พวกเขาคงจะคิดว่าคนจิตใจบอบบางอย่างหล่อนอาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่น่าตกใจของพี่สาวตนอยู่กระมัง
อาเรียไม่ลืมเอ่ยขอบคุณหล่อนด้วยสีหน้าซาบซึ้งในจิตใจอันอบอุ่นของหล่อน ที่อุตส่าห์เป็นห่วงเธอราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“ได้สิ! น้องไปได้อยู่แล้วล่ะ พี่เองก็เห็นว่าสีหน้าน้องดูไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว… น้องรีบไปพักเถอะ ขอบใจน้องมากนะที่เป็นห่วงพี่”
“…ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงน้องก็ต้องเป็นห่วงพี่อยู่แล้วล่ะค่ะ”
แม้หล่อนจะไม่เคยเป็นห่วงอาเรียเลยสักนิด แต่มิเอลก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น แต่ก่อนที่หล่อนจะได้ลุกออกไป อาเรียก็ยื่นมือไปหาเจสซี่ที่ยืนคอยอยู่ด้านหลัง
“ช้าก่อน! มิเอล เจสซี่ ขอสร้อยคอจากร้านอัญมณีที่เพิ่งมาถึงให้ฉันหน่อยได้ไหม”
“…เอ๊ะ ได้ค่ะ เลดี้”
“อาจจะดูแปลกไปหน่อยที่พี่ให้มันกับน้องในสถานการณ์เช่นนี้… แต่ว่ามิเอล พี่ว่ามันน่าจะเหมาะกับน้องนะ”
อาเรียส่งมันไปให้สาวใช้ของมิเอลแทนที่จะยื่นให้เจ้าตัวที่ทำท่าเหมือนจะล้มได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือตอนนี้ สาวใช้ผู้มีกระเต็มสันจมูกที่มักจะอยู่ข้างมิเอลคนนั้น ก็ยังไม่อาจปกปิดสายตาปรารถนาและอิจฉาริษยาที่มีให้เธอได้เลย
อาเรียรู้จักสายตาคู่นั้นดี จึงจงใจส่งสร้อยเส้นนั้นให้กับหล่อน สาวใช้เปิดกล่องสร้อยที่ได้รับมาจากอาเรียตามคำสั่งของเธอ เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน
“…คุณพระช่วย!”
สิ่งที่อยู่ในนั้นคือสร้อยไพลินสีน้ำเงินที่เจ้าของร้านอัญมณีทำให้นั่นเอง สาวใช้ของมิเอลหลุดคำอุทานแสนน่าอายออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทั้งขนาดที่ใหญ่ไม่ใช่เล่นและความเป็นประกายทำให้ทุกคนที่เห็นมันถึงกับตาลุกวาว จริงอยู่ที่มันไม่ได้เลิศเลอมากมายอะไรเมื่อเทียบกับเพชรพลอยหรือเสื้อผ้าที่มิเอลมี แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะมองข้ามไปได้
เหตุใดอาเรียจึงมอบสร้อยเส้นนั้นให้มิเอลกัน
ทุกคนต่างพากันสงสัย แม้แต่สาวใช้ของอาเรียอย่างเจสซี่ก็เช่นเดียวกัน เหตุใดเธอจึงมอบสร้อยคอที่ได้เป็นของขวัญให้แก่มิเอล อาเรียเข้าไปหามิเอลด้วยใบหน้ารู้สึกผิดเสียเต็มประดา
“ก็ครั้งที่แล้วพี่ยืมเสื้อผ้าน้องมาแต่กลับตอบแทนน้องไม่ได้ พี่ขอโทษนะ”
นับเป็นค่าตอบแทนที่มากเกินไปสำหรับการยืมเสื้อผ้าเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าสำหรับมิเอลที่รู้คุณค่าของเสื้อผ้านั้นแล้ว สร้อยเส้นแค่นี้ไม่มีทางแทนได้ หรือต่อให้เธอจะขนเพชรพลอยมาให้จนเต็มคันรถม้าก็ตาม แต่กับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ความจริงมันก็ยังมากเกินไปอยู่ดี
“น้องไม่ชอบหรือ”
“ไม่… ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เธอทำได้เพียงรับมันเอาไว้ หล่อนได้รับไพลินเป็นสิ่งตอบแทนจากการให้เธอยืมเสื้อผ้าเพียงแค่ครั้งเดียว มันไม่ใช่สร้อยที่เธอต้องการและไม่มีความคิดที่จะใส่มันเลยสักนิด แต่ที่เธอดูเป็นพี่สาวผู้แสนใจดีขึ้นมาได้ก็เป็นเพราะมันเช่นกัน
ภายในใจของหล่อนตอนนี้คงตีกันวุ่นน่าดู นั่นเพราะหล่อนจำต้องให้คนที่ตนอยากฆ่าเสียให้ตายยืมชุดเดรสที่ออสการ์มอบให้เป็นของขวัญชิ้นแรกโดยที่ไม่อาจบอกได้ว่าตนโกรธแค้นเพียงใด ทั้งยังต้องยกโทษให้แค่เพราะอัญมณีเพียงชิ้นเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นยังโดนแผดเผาอย่างแสนสาหัสจากการเข้าไปเล่นกับไฟเพียงเล็กน้อยอีกด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้หล่อนจึงอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
“น้องอยากลองใส่ดูสักครั้งหรือไม่”
“…เอาอย่างนั้นหรือคะ”
อาเรียหยิบสร้อยคอมาถือด้วยมือของเธอเองก่อนจะเดินเข้าไปหามิเอล
ลำคอระหงที่เกร็งจนแข็งและเส้นผมสีทองเป็นประกายที่ถูกรวบไว้ด้านบนนั้นช่างดูอ่อนแอเสียจนทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมา หากเธอใส่แรงบีบรัดเข้าอีกหน่อยมันคงจะหัก เธอล่ะนึกอยากทำเช่นนั้นเสียจริง
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกไปและเพียงแค่สวมสร้อยลงที่คอของหล่อนด้วยสัมผัสที่แสนอ่อนโยนเท่านั้น หากปล่อยให้หล่อนตายไปโดยเปล่าประโยชน์ก็หมดสนุกกันพอดีน่ะสิ คนอย่างหล่อนสมควรตายหลังจากที่ต้องอับอายขายขี้หน้าเพราะถูกเปิดโปงทุกสิ่งที่อยู่ในใจจนหมดแล้วต่างหาก
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ ที่สร้อยเจ้าปัญหานั้นเหมาะกับมิเอลมากเสียจนคนส่วนใหญ่ต่างพากันชื่นชมความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ มิเอลฝืนยิ้มอึดอัดพร้อมหน้าซีดๆ เหมือนคนจะเป็นลมเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยว่าตนไม่ค่อยสบายแล้วรีบลุกจากที่ไปอย่างรวดเร็ว
“งั้นในเมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อยหมดแล้ว ฉันคงต้องขอตัวขึ้นไปก่อนเหมือนกัน เพราะตอนบ่ายยังต้องออกไปข้างนอกอีก”
“ลำบากแย่เลยนะคะท่านแม่ ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยให้คำตัดสินอย่างชอบธรรม”
“จะ ในเมื่อท่านพ่อไม่อยู่มันก็เป็นหน้าที่ที่แม่ต้องทำอยู่แล้ว”
นี่เคาน์ติสทำตัวเป็นธรรมชาติขนาดนี้ทั้งที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างปล่อยปละละเลยได้อย่างไรกัน อาเรียกลั้นหัวเราะพลางเดินตามหลังหล่อนขึ้นห้องตัวเองไป
อาเรียตัดสินใจว่าจะพักสักประเดี๋ยวในระหว่างที่เจสซี่กำลังไปเตรียมบรรดาคนรับใช้ที่จะใช้ส่งของขวัญไปให้ออสการ์ เธอดื่มชาสมุนไพรที่เจสซี่เตรียมไว้ให้พลางนึกสำราญใจกับชัยชนะของตัวเองในวันนี้
หล่อนจะเศร้าขนาดไหนนะที่ตนถูกฝั่งตรงข้ามที่คิดจะจัดการผลักให้ตกหลุมพรางเสียเอง คงจะดีไม่น้อยหากเขาช่วยลับมีดแห่งการแก้แค้นเพื่อให้เธอได้ฟันลงไปบนคอระหงนั่น
แต่มันคงไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะบางทีมิเอล ไม่สิ อาจจะบรรดาทาสของหล่อนด้วย คงจะร่วมมือกันช่วยอำนวยความสะดวกให้คนขับรถม้าอย่างเต็มใจ และเขาก็คงจะใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยความพอใจกับความจริงใจอันแสนสกปรกนั่นก็ได้
‘โอกาสของฉันไม่ได้มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวสักหน่อย’
เธอจะทำลายนางเด็กนิสัยเสียคนนี้ตั้งแต่แรกไม่ได้ คงไม่ดีแน่หากเธอจะทำอย่างนั้นทั้งที่เพิ่งเริ่ม เพราะไม่ว่าจะเค้นถามอย่างไรหล่อนก็จะสามารถเอาตัวรอดไปได้แน่นอน
นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอยังคาใจอยู่ นั่นคือภาพของมิเอลที่เกาะติดสาวใช้คนหนึ่งเป็นพิเศษ เธอจำได้ว่าในอดีตมันก็เป็นเช่นนั้น
‘เอ็มม่า’
คือสาวใช้ที่ลูกไม่มีแม่อย่างมิเอลคอยตามติดอย่างกับหล่อนเป็นแม่แท้ๆ ของตน
ดูท่าแล้วมิเอลก็คงสำคัญกับหล่อนเช่นกัน เธอคิดว่าเรื่องวันนี้คงไม่ใช่การกระทำเลวทรามของมิเอลเพียงคนเดียว เพราะดูเหมือนหล่อนจะคอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้มิเอลอยู่ตลอด นั่นเพราะมิเอลในตอนนี้ยังเป็นแค่ลูกกวางตัวน้อยที่ยังไม่กล้าพอ
‘ถ้าอย่างนั้น… ฉันก็คงต้องจับตาดูนางสาวใช้เอ็มม่านี่ด้วยสินะ หรือว่าฉันจะเล่นงานนางหน้ากระนี่ก่อนดีล่ะ’
หากเดาไม่ผิด เธอมีลางสังหรณ์ว่าเอ็มม่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเธออย่างมากเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นคงจะปล่อยเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้เสียแล้ว หากลางสังหรณ์ของเธอเป็นจริงล่ะก็ เธอจะแยกร่างหล่อนทั้งเนื้อและกระดูกไปโยนให้เดรัจฉานกินเสียให้สิ้นซาก
เมื่อจำได้ว่าในอดีตหล่อนเคยส่งสายตาเกลียดชังมาให้เธอจากด้านข้างของมิเอลเสมอ ต้นคอของเธอก็เย็นวาบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะความไม่สบายใจที่ชิ้นส่วนบางอย่างที่ควรจะมีกลับขาดหายไป
อาเรียใช้มือลูบบริเวณรอบลำคอของตนเองอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังภาพทิวทัศน์ที่แขวนไว้บนกำแพง เธอดันมันออกไป และเมื่อเธอใช้มือกดลงไปบนกำแพงที่ว่างเปล่า ลูกบิดประตูที่จะพาเธอไปสู่ห้องลับก็ปรากฏขึ้นมาทันที
อาเรียเปิดประตูแล้วหยิบกล่องที่เธอวางซ่อนไว้ในนั้นออกมาก่อนจะยกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ
‘ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้’
เมื่อได้เปิดฝากล่องแล้วยื่นมือไปลูบเจ้านาฬิกาทราย เธอค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงมาได้บ้าง
ไม่เป็นไร ในตอนนี้จะไม่มีสตรีผู้โง่เขลาที่โดนตัดคอเช่นครั้งอดีตอีกต่อไป จากนี้ไปจะเหลือเพียงผู้นำที่จะลงทัณฑ์เหล่าปีศาจร้ายที่เคยผลักเธอสู่ความตายเท่านั้น
ขณะที่เธอกำลังปลอบขวัญตัวเองอยู่นั้น เสียงเคาะประตูอย่างระมัดระวังก็ดังมาให้ได้ยินพร้อมกับเสียงเรียกของเจสซี่
“เลดี้ คนส่งของเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นหรือ เข้ามาก่อนสิ เธอเตรียมการเสร็จเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก”
เธอหยิบกระดาษเขียนจดหมายที่เจ้าของร้านอัญมณีแนบไว้ออกมาเพราะยังไม่ทันเตรียมจดหมายให้เรียบร้อย มีกระดาษอยู่ถึงห้าแผ่นราวกับเตรียมเอาไว้เผื่อมีเหตุให้ต้องใช้
โชคดีที่อาเรียเขียนไม่ผิดเลย เธอจึงใช้กระดาษไปเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้น เธอเขียนคำแสดงความขอบคุณลงไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีเนื้อความอะไรที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษ
[ถึงท่านออสการ์ เฟรดเดอริก
การตอบแทนด้วยผ้าเช็ดหน้าดูจะมากเกินไป ฉันไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีเลยค่ะ
นี่ถือเป็นของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ฉันหวังว่าท่านจะรับไว้นะคะ
อาเรีย โรสเซนต์]
เธอเขียนไปเพียงสั้นๆ มันคือเข็มกลัดที่เด็กสาวผู้น่าสงสารใส่ชุดธรรมดาๆ คนหนึ่งส่งไปให้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรับมันไว้ได้และจะต้องกลับมาหาเธออีกครั้งแน่นอน
“ลายมือฉันเป็นยังไง”
“ทั้งนุ่มนวลแล้วก็งดงามมากทีเดียวค่ะ”
นี่เธอไปฝึกคัดลายมือแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เจสซี่ได้แต่เบิกตาโตเพราะหล่อนไม่เคยเห็นว่าเธอจะฝึกเขียนอะไรเป็นพิเศษเลย
แต่ก็เป็นไปได้ที่ลายมือจะถูกแก้ไขอย่างเป็นธรรมชาติจนสามารถอ่านได้ตามอายุที่มากขึ้นเช่นกัน
และนั่นหมายความว่าเธอเขียนได้ดีกว่าเพื่อนวัยเดียวกันแน่นอน แต่ก็ยังถือว่าไม่ชำนาญและไม่ประณีตอยู่ดีหากเทียบกับมาตรฐานของผู้ใหญ่ เพราะแบบนั้นหล่อนถึงยังจำว่าเธอต้องมีคนช่วยหรือไม่ก็ต้องให้ผู้อื่นเขียนแทนอยู่เสมอ
‘น่าแปลกจริงๆ ที่อยู่ๆ เธอก็เขียนได้ดีเช่นนี้’
อาเรียนึกพอใจพลางสั่งให้หล่อนแนบจดหมายไปให้เธอด้วย
“ใส่นี่ไปกับของขวัญด้วย”
“ค่ะ เลดี้”
เจสซี่จัดของที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วใส่กระดาษจดหมายลงในซองก่อนจะแนบมันไปด้วย หลังจากใส่มันลงในกล่องพร้อมกับของขวัญอย่างระมัดระวังไม่ให้ยับหรือเสียหายแล้ว หล่อนก็ทำการประทับตราที่หน้ากล่องว่าของสิ่งนี้ถูกส่งมาจากตระกูลโรสเซนต์
แม้จะไม่ใช่กล่องสวยงามหรูหราแต่ก็ดูเป็นของขวัญที่เรียบง่ายและประณีต ขนาดของมันเล็กกว่าของขวัญที่เขาส่งมาให้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นคงไม่มีใครคิดว่าจะมีเข็มกลัดราคาแพงหูฉี่อยู่ภายใน
“บอกเขาว่าให้ส่งไปโดยเร็วที่สุด”
“ค่ะ เลดี้”
เธอจะได้เห็นหน้าตาบิดเบี้ยวของมิเอลเร็วๆ อย่างไรล่ะ
หลังจากเจสซี่ออกจากห้องไป อาเรียก็หยิบนาฬิกาทรายขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกล่องเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
มันยังอยู่ในสภาพดีไม่มีอะไรเสียหายจากการที่เธอเก็บมันไว้ในกล่องแล้วซ่อนเอาไว้ไม่ให้มีใครสามารถสัมผัสมันได้ อาเรียพลิกนาฬิกาทรายกลับด้านแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อดูให้แน่ใจว่าทรายยังร่วงลงมาได้ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า
ทันใดนั้นเม็ดทรายที่เป็นประกายสวยงามราวหิมะก็ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างอย่างอ่อนนุ่ม อาเรียโล่งใจเมื่อมั่นใจแล้วว่านาฬิกาทรายยังอยู่ในสภาพดีดังเดิม เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
ทันใดนั้นเอง
“ขอรถใหม่ดีไหมคะ”
“…หืม”
ยังไม่ทันที่จะได้หายใจหายคอก็ต้องมาตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียแล้ว อาเรียรีบหันไปมองจึงได้เห็นว่าเป็นเจสซี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั่นเอง
อะไรกัน ในเมื่อหล่อนเพิ่งออกไปจากห้องเมื่อครู่นี้เอง แล้วจะกลับเข้ามาอีกครั้งทำไม เธอไม่เข้าใจว่าหล่อนเข้ามาอยู่ในห้องทำไมทั้งที่เธอยังไม่ได้บอกให้เข้ามาด้วยซ้ำ
“ฉันไม่ได้เรียกเสียหน่อย มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเธอลืมอะไรงั้นหรือ”
เธอสงสัยว่าหล่อนอาจจะลืมบางอย่างเอาไว้ หล่อนไม่มีทางลงไปถึงชั้น 1 แล้วกลับขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้แน่ เธอคิดว่าหล่อนคงลืมอะไรเอาไว้จึงต้องกลับเข้ามาเอาอีกครั้งเธอจึงได้ถามแบบนั้นออกไป แต่เจสซี่กลับมีสีหน้างุนงงทันทีที่ได้ยิน
“คะ ก็… ดิฉันกำลังรอให้เลดี้เขียนจดหมายอยู่ไงคะ”
“เธอพูดเรื่องอะไร เธอเพิ่งจะเอาจดหมายนั่นไปเมื่อกี้นี้เองนี่”
“…”
เจสซี่ได้แต่กะพริบตา หล่อนไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้แม้แต่คำเดียว นี่เธอใจลอยไปถึงไหนกันนะ อาเรียส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันสายตาไปทางอื่น ตอนนั้นเองเธอถึงได้รู้ตัวว่าเธอกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ
‘…ปากกาขนนกงั้นหรือ’
อะไรกัน แล้วไหนยังจะกระดาษจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นอีก
บนกระดาษนั้นมีแต่ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ถึงท่านออสการ์ เฟรดเดอริก’ แค่เท่านั้น
……………………….