พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 59
ออสการ์รีบยื่นมือออกไปรับร่างของเธอ เมื่อมือนั้นผ่าอากาศยามค่ำคืนออก สัมผัสผิวที่เย็นเฉียบของเธอ เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดราวกับมีใครบางคนใช้กริชคมแทงเข้าที่หัวใจของเขา
เพียงเพราะข่าวลือผิดๆ พวกนั้น ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนน่าสมเพช น่าเวทนา และน่าเศร้า ที่ไม่ได้รับความรักจากใครเลยแม้แต่คนเดียว
แล้วยังเพราะความจริงอันโหดร้ายที่เขาไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกไปได้อย่างง่ายดายอีก
‘ถ้าฉันไม่เชื่อฟังคำพูดของท่านพี่ล่ะ…’
หากเป็นเช่นนั้น ก็คงไม่จบลงแต่เพียงความโศกเศร้าเช่นนี้ เขาคงจะต้องทนรับความทุกข์ทรมานอย่างถึงขีดสุด ชนิดที่ต่อให้มานั่งเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในตอนนี้ที่สามารถรับฟังข่าวคราวเกี่ยวกับเธอได้นั้น ก็คงจะดีกว่าเป็นไหนๆ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดทรมานมากสักแค่ไหนก็ตาม อีกทั้งหากเขาแต่งงานกับมิเอลไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของทั้งสองก็คงจะดำเนินต่อไป ไม่ถูกตัดขาดออก
ดังนั้นในตอนนี้ เขาจะต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานนี้ไว้
ออสการ์หลับตาลงแน่น อาเรียไม่สามารถลืมตาของเธอขึ้นได้ จนกระทั่งฟ้าสว่าง
* * *
เช้าวันต่อมา อาเรียลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเอง ออสการ์ประคองอาเรียมาที่ห้องก่อนที่เธอจะได้สติ
ด้วยความที่เขาเคยเห็นเงาของเธอที่สะท้อนกับหน้าต่างบนชั้น 3 มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้ว่าห้องของเธออยู่ไหน อีกทั้งประตูยังเปิดอ้าอยู่ จึงไม่จำเป็นจะต้องเสียแรงหา
เธอได้ทำเรื่องบ้าระห่ำลงไป ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เธอจำได้ว่าเธอล้มตัวลงบนเตียงแล้วหลับไป แต่จำไม่ได้ว่าเธอเอาผ้าห่มมาห่มตอนไหน
อาเรียไม่ได้ออกจากห้องของเธออยู่ช่วงหนึ่ง เพราะมิเอลเอาแต่ระเบิดเสียงหัวเราะดังไม่หยุดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เธอเดินแกว่งแขวนไปรอบคฤหาสน์ และคุยโม้เรื่องออสการ์อย่างภาคภูมิใจ ทำถึงกระทั่งชวนคนรู้จักมางานปาร์ตี้ที่คฤหาสน์
‘เธอตั้งตารอวันนี้มานานขนาดไหนกันนะ หลังจากที่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องช่วงที่ผ่านมา ‘
เธออ้างว่าเจ็บป่วย โดยที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่จะออกมาจากผ้าห่ม แต่ก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อยจริงๆ
ในระหว่างนั้น ท่านเคานต์แสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยแก่ลูกสาวคนใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องภาษี เขารีบนำยาสมุนไพรสุดล้ำค่ามาให้ และขอให้เธอหายป่วยไวๆ เรนเองก็มาเยี่ยมเธออยู่หลายครั้ง
เขานำช่อทิวลิปมา และรีบกลับไปเมื่อได้ยินข่าวคราวของอาเรียที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
‘ถ้าเขาไม่ได้กำลังสองจิตสองใจลังเลระหว่างฉันกับมิเอลล่ะ… ฉันจะทำอะไรอย่างไรได้บ้างกับสถานการณ์ที่เขาหันหลังให้ฉันโดยสมบูรณ์แบบเช่นนี้…’
เธอที่สูญเสียวิญญาณการต่อสู้ไป ดูราวกับตุ๊กตาผ้าท่ามกลางสายฝน หลังจากที่เอนตัวลงนอนติดต่อกันมาระยะหนึ่ง ร่างกายของเธอจึงเริ่มตึงและเจ็บ เธอเช็ดตัวผ้าขนหนูเปียก โดยที่ไม่ลุกออกมาจากเตียง เสร็จแล้วจึงกลับไปคลุมโปงอีกครั้ง เจสซี่เอ่ยถามเธอพลางกระทืบเท้าปึงปัง
“เลดี้คะ… วันนี้ออกไปรับแสงแดดกันหน่อยไม่ดีเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ”
“เลดี้…”
แอนนี่ที่เป็นห่วงเหมือนกับเจสซี่ ก็ไม่มาปรากฏตัวอีก ถึงเธอบอกไปว่าไม่ต้องมาก็ได้เพราะไม่มีงานอะไรให้ทำ แต่พอโดนหันหลังให้อย่างเย็นชาแบบนี้ หัวใจที่ว่างเปล่าก็ยิ่งว่างเข้าไปอีก
“เลดี้!”
เธอเพิ่งคิดไปเช่นนั้นอยู่หยกๆ แต่ทว่าแอนนี่ที่ไม่มาให้เห็นหน้าอยู่หลายวัน ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
อาเรียที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบอกให้เธอออกไปอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่สนใจ พลางโหวกเหวกโวยวายว่าเธอมีข่าวดีมาบอก
“ถ้าอย่างนั้นก็ฟังทั้งสภาพนั้นสักหน่อยเถอะค่ะ! รับรองได้เลยว่าเลดี้จะต้องสดชื่นแน่นอนค่ะ!”
อาเรียชักสงสัยว่ามันคือเรื่องอะไร ทำให้เธอพูดถึงขนาดนั้น ถึงอย่างนั้น อาเรียเงี่ยหูฟังตั้งใจฟังแอนนี่ โดยที่พยายามไม่แสดงออกอะไร
“ตอนงานวันเกิดของดัชเชสครั้งที่แล้วค่ะ ได้ข่าวว่าเลดี้มิเอลโดนดูถูกดูแคลนอย่างรุนแรงเลยค่ะ!”
“อ๊ะ! เพราะอย่างนั้นตาของเธอถึงได้บวมเป่งแบบนั้นเหรอ…”
ด้วยความที่มิเอลตาบวมเป่งอยู่ถึงสองวัน ทุกคนในคฤหาสน์จึงสังเกตเห็นใบหน้านั้น
ถ้าไม่ออสการ์ไม่อยู่ เธอก็คงอยู่แต่ในห้องจนกว่าจะหาย แต่เพราะออสการ์อยู่ เธอเลยเอาแต่เดินเชิดไปเชิดมารอบคฤหาสน์ด้วยตาบวมเป่งนั่น ราวกับจะอวดตาบวมๆ อย่างนั้นแหละ
“จริงด้วย เจสซี่ วันนั้นเจ้าชายเข้าร่วมงานที่คฤหาสน์ท่านดยุกด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วก็ได้ยินว่าเขาคาดคั้นเลดี้มิเอลอะไรทำนองนี้แหละค่ะ!”
เจ้าชายน่ะเหรอ คาดคั้นมิเอล ทำไมล่ะ อาเรียเบิกตากลมโพลง ก่อนจะตกลงไปในห้วงความคิด ทำไมอยู่ๆ เขาก็คาดคั้นเธอ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนล่ะ
เธอคือคนที่เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของหญิงสาวตระกูลชนชั้นสูงไม่ใช่เหรอ เขาไม่น่าจะทำตัวเสียมารยาทแบบนั้นนี่…
แอนนี่รีบพูดต่อเพื่อคลายความสงสัยของอาเรีย
“เจ้าชายตรวจดูหน้าเลดี้มิเอลแล้วกล่าวว่า ‘เธอคือมิเอลอย่างนั้นเหรอ’ ทำไมเธอถึงบอกว่าชื่อมิเอลล่ะ! เป็นไปไม่ได้! เธอไม่ใช่มิเอล! หมายความได้เช่นนี้ค่ะ”
อาเรียสะดุ้งทีหนึ่ง เมื่อแอนนี่เลียนแบบแม้แต่น้ำเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงเธอจะซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มจนไม่เห็นแม้แต่ผมเส้นเดียว แต่แอนนี่ก็คิดว่าเธอน่าจะฟังอยู่ จึงเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“เธอจึงไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ แล้วก็ร้องไห้กระซิกๆ กลับบ้านมานั่นแหละค่ะ”
ถึงได้ตาบวมสินะ เท่านี้ก็รู้สาเหตุที่มิเอลตาบวมเป่งแล้ว
ทว่า อย่างนั้นแล้วมันมีอะไรแตกต่างไปกันล่ะ ไม่มีอะไรต่างไปสักอย่าง ไม่ว่าเธอจะโดนดูถูกหรือว่าตาบวมก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร ยังไงออสการ์ก็จากไปแล้วอยู่ดี
“แล้วก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งค่ะ! คราวนี้ก็เป็นเรื่องของเลดี้มิเอลเหมือนกันค่ะ!”
ช่วงที่ผ่านมานี้ เธอไปขุดคุ้ยเรื่องของมิเอลมาอย่างเอาเป็นเอาตายเลยหรืออย่างไรกัน แอนนี่มองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง แล้วบอกให้ล็อกหน้าต่างและประตูอีกครั้ง
“เรื่องของขวัญที่ส่งมาถึงเลดี้มิเอลน่ะค่ะ… คนที่ซื้อของนั่นมาดูเหมือนจะไม่ใช่ท่านออสการ์ แต่เป็นคนรับใช้ของดัชเชสนะคะ”
คราวนี้เธอเริ่มสนใจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว อาเรียเอาหน้าแง้มออกมาจากผ้าห่ม แล้วถามว่านั่นเป็นเรื่องอะไรเหรอ แอนนี่จึงปรบมือแล้วตอบเธอ
“แน่นอนสิคะ! มีสาวใช้คนหนึ่งที่ย้ายไปอยู่คฤหาสน์ของท่านดยุก ก่อนที่เลดี้จะเข้ามาในตระกูลท่านเคานต์ เธอคนนั้นบอกมาน่ะค่ะ! เพราะอย่างนั้นถึงได้มั่นใจไงคะ! อ๊ะ แล้วก็เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ เลดี้ ดิฉันคิดว่าไม่ว่าอย่างไรคนส่งก็ไม่ใช่ท่านออสการ์ แต่เป็นองค์หญิงค่ะ เพราะเลดี้และท่านออสการ์สนิทกันมากพอที่จะแลกเปลี่ยนจดหมายกันยังไงล่ะคะ!”
ร่างส่วนบนของอาเรียออกมานอกผ้าห่มโดยสมบูรณ์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็… ถ้าเขาทำตัวอ่อนโยนกับมิเอลตามคำขอขององค์หญิงล่ะก็…!
แน่นอนว่า ถึงแม้เรื่องที่องค์หญิงเป็นคนส่งของขวัญให้มิเอลนั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นความจริงที่ออสการ์ตัดความสัมพันธ์กับเธอ เพียงแค่นั้น หัวใจก็เจ็บปวดน้อยลง แม้แค่เพียงเท่านั้น
แล้วก็
‘แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร อนาคตก็ไม่เปลี่ยนไป แต่บางที…’
บางทีที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อาจเป็นเพราะเธอยังไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับการดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าองค์หญิง
ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ควรเปลี่ยนแปลงมันใหม่อีกครั้งไม่ใช่เหรอ
ความปราดเปรื่องกลับเข้ามายังนัยน์ตาของอาเรีย แล้วรอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าของเจสซี่เช่นกัน แอนนี่ปลื้มปริ่มดีใจกับความจริงที่ว่าเชือกที่เธอจับอยู่นั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
“เลดี้ ให้เอาอาหารเข้ามาให้ไหมคะ”
“อืม แต่ก่อนหน้านั้น ฉันต้องอาบน้ำก่อน”
ดิฉันจะไปเตรียมน้ำให้เองค่ะ!”
แอนนี่รีบรุดออกจากห้อง หลังบอกว่าจะไปเตรียมน้ำสำหรับอาบน้ำให้ อาเรียลุกออกจากเตียง ขยับร่างกายที่ตึงและปวดเมื่อย แต่ด้วยการมองเห็นที่ต่างจากเมื่อกี้ ทำให้ร่างของเธอเซ
“อ๊ะ! เลดี้!”
เจสซี่รีบประคองเธอทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”
“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ลุกขึ้นมาเดินอย่างกะทันหันไม่ใช่เหรอ ทำไมมันถึงเก้ๆ กังๆ แบบนี้ล่ะ”
หรือว่ากล้ามเนื้อเสื่อมไปในช่วงที่นอนอยู่บนเตียง เธอเดินวนรอบๆ ห้อง ตั้งใจจะทำความคุ้นชินสักนิดก่อนที่น้ำสำหรับอาบน้ำจะถูกเตรียมเสร็จ แต่ใบหน้าของเจสซี่ที่คอยเฝ้าดูเธออยู่นั้น ถูกย้อมไปด้วยความตกใจจนแทบจะเป็นลม
อาเรียถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรไป”
“เลดี้…! ความสูงมัน…!”
“ความสูง”
อาเรียหันกลับไปยืนอยู่หน้ากระจก
“บ้าน่า…”
ภาพที่ตัวเองในกระจกสะท้อนให้เห็นร่างของเธอที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เธอสูงขึ้นมาคืบหนึ่ง แม้จะเห็นได้ชัดว่ายังเด็กอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน หรือเพราะผอมลง เธอถึงได้ดูเหมือนผู้ใหญ่ตอนที่มองแวบแรก
แม้ช่วงนี้จะได้รับสารอาหารมากจนเกินพอก็เถอะ แต่มันเป็นไปได้เหรอที่จะโตขึ้นในเวลาสั้นๆ แบบนี้
อาเรียรู้สึกเหมือนกลับมาสู่ร่างเดิม เธอเหม่อมองตัวเองในกระจก พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง เมื่อเธออาบน้ำที่เจสซี่เตรียมไว้ให้ และจัดผมให้เรียบร้อย ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างจากก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจนขึ้น
“คือว่า… เลดี้ คงต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้วล่ะค่ะ เพราะเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มีอยู่ตอนนี้เล็กไปแล้วสำหรับเลดี้นิดหนึ่งน่ะค่ะ”
เสื้อผ้าที่มีอยู่ตอนแรก เป็นพวกเสื้อผ้าเข้ารูปและสรีระของอาเรียเท่านั้น ถ้าจะใส่ ก็ฝืนใส่ได้อยู่ แต่ตอนนี้เธอตัวโตขึ้นมาตั้งคืบหนึ่ง ทำให้มันทั้งคับทั้งอึดอัด และแบบเสื้อผ้าก็ไม่เข้ากับเธอแล้วด้วย
“คงต้องทำอย่างนั้นแหละนะ ไปหลังจากกินข้าวแล้วกัน”
“ค่ะ! เลดี้!”
หลังกินอาหารที่ผสมสลัดและผักให้เข้ากันแล้ว เธอก็กินยาที่ท่านเคานต์ให้มาเป็นของขวัญ เธอไม่ได้รู้สึกว่ามันขมหรือแรงไป แต่ก็คงไม่ใช่ยาราคาถูก เพราะมันเป็นของตอบแทนจากโรงเก็บสินค้า
และในบรรดาเสื้อผ้าใส่ออกไปข้างนอกที่มีอยู่เพียงแค่นั้น เธอก็สวมเสื้อผ้าที่พอดีตัว แล้วสวมเสื้อคลุมทับ
“เลดี้! เราจะทำอย่างไรกับเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ากันดีคะ”
“มีแต่เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้แล้วทั้งนั้นเลย ไหนๆ ฉันก็ไม่เอาแล้ว พวกเธอช่วยจัดการมันทีได้ไหม”
“ตายแล้ว…! ค่ะ! เลดี้!”
คำว่าให้จัดการนั้น หมายถึงไม่ว่าจะเอาไปใส่เองหรือไม่ ก็เอาไปจัดการกันเองเลย ถ้าเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อในตอนแรกก็ยังพอทำเนา แต่เสื้อผ้าที่ซื้อช่วงนี้ มีแต่ชุดราคาค่อนข้างแพงและคุณภาพสูงทั้งนั้น
ใบหน้าแอนนี่ถูกย้อมเป็นสีแดง เจสซี่เองก็ตาส่องประกายแวววาว เจสซี่เองก็มีความโลภกับเขาเหมือนกันสินะ อาเรียคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ท่านพี่… จะออกไปข้างนอกเหรอคะ”
อ๋อ วันนี้ก็คงจะมาเดินวางมาดรอบคฤหาสน์อีกแล้วสินะ แต่ไม่คิดว่าจะจัดปาร์ตี้น้ำชาในสวนกับเหล่าหญิงสาวมากมายขนาดนี้ เหล่าหญิงสาวที่เจอในงานวันเกิดของมิเอลส่งสายตาหยิ่งผยองเหมือนอย่างเคย
พวกเธอสะบัดพัดเบาๆ คงจะคิดอยู่ว่าจะดูถูกลูกสาวโสเภณีต่ำๆ อย่างไรดี
“ใช่ อยู่ดีๆ ฉันก็สูงขึ้นจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้ยังไงล่ะ น่าอิจฉาพวกที่แม้อายุจะมากขึ้น แต่ร่างกายก็ยังคงเล็กเหมือนเด็กจัง”
อย่างไรก็ตาม อาเรียไม่ได้คิดจะสู้อย่างสุภาพอ่อนโยน แต่กลับกลายเป็นว่า เธอก็ทำเพียงแค่หัวเราะเยาะพวกเธอที่ยังตัวเล็กเหมือนกับเด็ก แม้จะอายุมากกว่าเธอปีสองปีก็ตาม
พวกเธอคงจะคิดว่าพอบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แต่นั่นมันก็แค่ภาพลวงตา เท่าที่เธอจำได้ บรรดาเพื่อนโง่ๆ ของมิเอลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่ได้โตอะไรมากมายเลย
แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าหญิงสาวที่สวมเดรสที่ไม่เข้ากับตัวเอง ใส่รองเท้าส้นสูงที่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็หัวเราะเยาะอาเรียไปจนวันตาย บอกว่าเธอรูปร่างต่ำช้าเหมือนแม่ของเธอ
ทั้งที่ในความเป็นจริงคนที่โดนหัวเราะเยาะคือพวกเธอต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้น ขอตัวก่อนนะคะ”
พัดของเหล่าหญิงสาวขยับอย่างรวดเร็ว เมื่ออาเรียสะบัดผมเบาๆ ก่อนเดินจากไป มิเอลเองก็เบิกตากลมโพลง ราวกับเธอสับสนงงงวยกับร่างของอาเรีย
ทั้งที่เธอเคยตัวเล็กกว่าอายุตัวเองแท้ๆ มิเอลจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุผลที่เธอเก็บตัวอยู่แต่ในห้องคงไม่ใช่เพราะหึงหวงหรืออิจฉา แต่เพราะตัวสูงขึ้นขนาดนั้นต่างหาก
แล้วแรงก็วิ่งเข้ามายังมือของมิเอลที่กำลังถือถ้วยน้ำชาอยู่ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญและน่าหงุดหงิดในหลายๆ ด้านซะจริง
………………………………………..