พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 6
“ลูกไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากที่ไหนกัน”
“อืม… เรื่องนั้น ใครเป็นพูดงั้นหรือ ลูกได้ยินมาจากไหนนะ เหมือนลูกจะได้ยินคนพูดกันมาจริงๆ นะคะ แต่ลูกนึกไม่ออกเลยค่ะ”
ในตอนแรกอาเรียคิดจะอ้างว่าเธอได้ยินมาจากซาร่า แต่หากอ้างชื่อซาร่าไปแล้วท่านเคานต์อาจจะไปถามกับซาร่าโดยตรงได้ จึงอ้อมแอ้มด้วยการยิ้มตอบกลับไปว่า ‘ลูกจำไม่ได้ค่ะ’ ให้สมกับเด็กสาวบริสุทธิ์เหมาะกับอายุตอนนี้
แม้ท่านเคานต์จะถามถึงที่มาของข่าวลือนั่นไปกี่ครั้ง อาเรียก็ได้แต่เอียงศีรษะไปมาราวกับกำลังนึกย้อนไปว่าตนเองได้ยินข่าวลือนั้นตั้งแต่เมื่อใด
ไม่ว่าตอนนี้ท่านเคานต์จะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากว่าท่านหาซื้อขนสัตว์ตามที่อาเรียพูดไปได้ก็จะได้กำไรมหาศาล แต่ถ้าท่านเคานต์ไม่เชื่อตามที่เธอบอกแล้วนั้น สุดท้ายก็จะตีอกชกตัวเสียดายปล่อยให้กำไรก้อนงามหลุดมือไป
ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนอาเรียก็ไม่เสียหายอะไร เพราะยังไงเธอก็ได้ความเชื่อถือจากท่านเคานต์อยู่ดี
เพราะอย่างนั้นเองอาเรียจึงแสร้งไม่รู้และทำหน้าใสซื่อ เพื่อที่ท่านเคานต์จะได้ไม่เสียใจภายหลังและคัดค้านเธออีก
ในตอนนั้นเอง ท่านเคานต์ที่ตระหนักได้ว่าแต่เดิมนั้นอาเรียเป็นเด็กอย่างไรก็ทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอเป็นเด็กที่ขี้รบเร้าเอาแต่ใจเวลาไม่ได้ดั่งใจก็จะกรีดร้องโวยวาย
คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกอายที่ฟังเรื่องเล่าของเด็กที่สูงเพียงระดับเอวตัวเองอย่างเอาจริงเอาจัง
แต่เพราะไม่รู้ข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าหญิงจึงปล่อยให้คนไปสืบหาความจริงของเรื่องนี้ ซึ่งไม่น่าจะใช้เวลานาน หากโชคช่วยก็เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่
หลังจากเกิดความเงียบขึ้นสักพัก ก็ไม่มีช่องว่างให้อาเรียเข้าไปแทรกในบทสนทนาที่เริ่มใหม่อีกครั้ง
เรียกได้ว่าอาเรียไม่แม้แต่จะคิดเข้าไปแทรกในบทสนทนานั้นแต่แรกอยู่แล้ว และมิเอลที่เอาแต่ตอบคำถามแบบงี่เง่านั่น หยิบยกเรื่องความทรงจำในวัยเด็กออกมาพูด จนแม้แต่ภริยาของท่านเคานต์ยังถูกทิ้งไว้อยู่หลังบทสนทนานั้น
อาเรียเอาเนื้อชิ้นสุดท้ายที่หั่นอย่างเรียบร้อยเข้าปาก เธอไม่ได้ใส่ใจต่อสถานการณ์ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะยังไง คนที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็คือตัวเธอเอง
***
ท่านเคานต์ที่พักอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่กี่วันก็ออกเดินทาง เขาเตรียมตัวออกเดินทางในช่วงเที่ยงวันของวันถัดมา
อาเรียที่เห็นว่ามีการเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ จำนวนหนึ่งก็ถึงบางอ้อ ‘อ๋อ เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดแล้วสินะ’
เป็นไปตามที่เธอคาดไว้ท่านเคานต์ได้รับข้อมูลว่าเจ้าหญิงทรงสั่งซื้อขนสัตว์ ปกติแล้วหากเราเริ่มต้นหาความจริงด้วยการถามคำถามว่า ‘เจ้าหญิงทรงสั่งซื้ออะไรจากทางเหนือ’ ก็จะกินเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หากเริ่มด้วยการถามว่า ‘ได้ยินว่าขนสัตว์ที่เจ้าหญิงทรงสั่งซื้อเป็นของคุณภาพสูงหรือ’ แล้วละก็ ไม่ยากนักที่จะได้คำตอบมา
ท่านเคานต์เร่งรีบออกเดินทางถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ข้าวกลางวันก็ไม่กิน เขาจูบแก้มภรรยาและกล่าวคำขอโทษ หลังจากที่เขาลูบหัวลูกชายและลูกสาวตามลำดับและบอกว่าตนจะกลับมาแล้ว ก็ทอดสายตามาที่อาเรียเป็นคนสุดท้าย
สายตาของเขานั้นเป็นสายตาแห่งไมตรีจิตที่เต็มไปด้วยปลาบปลื้ม พอใจ และภาคภูมิใจ
อาเรียจับมือของท่านเคานต์ก่อนที่เขาจะลูบหัวของเธอ ท่านเคานต์ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อได้ยินเสียงสดใสของอาเรียกล่าวลาขอให้เดินทางอย่างปลอดภัย
ต่อจากนั้นอาเรียหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าด้านในออกมา หลังจากที่เธอยื่นสิ่งนั้นให้ท่านเคานต์แล้วก็ถูกถามว่าสิ่งนี้คืออะไร
“ผ้าเช็ดหน้าค่ะ ลูกยังปักไม่เก่งพอเส้นด้ายบนลายที่ปักอาจจะดูห่างๆ กันไปบ้างแต่เพราะต้องออกเดินทางไปในที่ห่างไกลเลยคิดว่าอาจจะต้องได้ใช้แน่ค่ะ ขอให้รักษาสุขภาพและกลับมาอย่างปลอดภัยนะคะ”
มิเอลที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเขานั้นเบิกตากว้างขนาดที่ไม่สามารถกว้างไปกว่านี้ได้อีก สีหน้าของเธอกำลังบอกว่า ‘ไม่นะ คงจะไม่รับไปหรอกใช่ไหม’
แต่มันก็ไม่เป็นไปดั่งที่เธอหวัง ท่านเคานต์รับผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยความยินดี เรียกได้ว่าท่านเคานต์ในตอนนี้นั้นมองอาเรียเป็นดั่งนางฟ้าเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นลวดลายที่อาเรียปักนั้นสวยงามมากขนาดที่แม้ขณะนั้นผู้รับจะอารมณ์ไม่ดีก็ต้องรับไว้อย่างแน่นอน มันสวยจนคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
ท่านเคานต์เอาผ้าเช็ดหน้าให้ภรรยาของท่านดู
“อะไรกัน เห็นบอกว่าจะปักผ้าฉันเลยหาผ้าเช็ดหน้ามาให้ ไม่คิดเลยว่าจะปักได้สวยไร้ที่ติแบบนี้”
ท่านแม่ที่ซ่อนหางทั้งเก้าเอาไว้ อวดฝีมือเย็บปักถักร้อยของอาเรียให้กับมิเอลและเคน
เธอไม่ได้พูดอวดเรื่อยเปื่อยเพราะเป็นลูกสาวตัวเอง แต่เพราะเป็นฝีมือปักดอกลิลลี่ที่สวยจนไม่มีใครแย้งได้
มิเอลมองดูผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างเลื่อนลอย เป็นการปักผ้าที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าดอกลิลลี่กำลังฟุ้งกลิ่นอันสดชื่นออกมา เป็นลายปักที่สวยและงดงามกว่าลายปักใดใดที่ตนเคยพบเห็นมา
‘ฉันจะสามารถปักผ้าได้ดีกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ได้หรือไม่นะ’ เธอรู้สึกราวกับว่าน้ำตาจะไหลพรากออกมา
อาเรียที่สังเกตเห็นมิเอลในสภาพแบบนั้นก็ถามเธอด้วยใบหน้าใสซื่อ
“ถ้ามิเอลอยากได้พี่ทำผ้าเช็ดหน้าให้อีกผืนดีไหมจ๊ะ หรือหากท่านพี่เคนอยากได้ขอเพียงแค่บอก…”
“ไม่ละ ฉันไม่เป็นไร”
เคนพูดปฏิเสธออกไปทั้งๆ ที่ยังฟังอาเรียพูดไม่จบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่อาเรียคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับการตอบรับแบบนี้ เธอจึงยักไหล่และปั้นยิ้ม
“อย่างนั้นเหรอคะ ถ้าเช่นนั้น ทำแค่ของมิเอลก็พอแล้วสินะ”
อาจเป็นเพราะมิเอลตกใจและยังตั้งสติไม่ทันจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แม้แต่ตอนที่บิดาตนเองออกเดินทางไปในที่ห่างไกลเธอก็ไม่ได้โบกมืออำลาแต่อย่างใดเพียงแต่มองอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น
แม้อาเรียไม่ได้ตั้งใจที่จะก่อเรื่องก็ตาม แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะกระทบจิตใจมิเอลได้ถึงขนาดนั้น
‘แต่ก็นะ ผลออกมาน่าพอใจอะไรขนาดนี้’
***
อาเรียที่กลับเข้าไปในห้องหัวเราะคิกคัก เธอคิดจะให้ผ้าปักที่ดีที่สุดเป็นของขวัญแกมิเอล โดยจะให้ผ้าปักฝีมือของซาร่าแทนเพราะอาเรียไม่เคยสัญญาว่าเธอจะเป็นคนปักมันให้เอง
หากได้เห็นผ้าปักที่สวยงามทุกวันก็จะต้องรู้สึกอายในความสามารถของตัวเองขึ้นมาแน่นอน ยิ่งอายุยังน้อยก็ยิ่งจะรู้สึกอย่างนั้น
แล้วเมื่อตั้งสติได้ก็จะคิดหาทางเอาชนะอาเรียและเริ่มเรียนปักผ้าด้วยมือที่ยังเชื่องช้าเพราะยังเด็ก และเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถปักผ้าให้สวยงามได้ก็จะยิ่งรู้สึกกระทบกระเทือนใจแน่ๆ
‘ไม่แน่ อาจจะฝึกปักผ้าไปตลอดชีวิตเลยก็ได้’
เหมือนกับตัวฉันในอดีตไงล่ะ
ในอดีตอาเรียตามหลังมิเอลในทุกด้าน และเธอก็มักจะลำบากจากความรู้สึกด้อยกว่าเสมอ
การที่เธอไม่สง่าเหมือนมิเอล ทำตัวไม่มีเหตุผล ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม และไม่ได้รับความรัก ทั้งหมดนั่นทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าและตกลงไปในหลุมพรางที่สาวใช้วางไว้จนสุดท้ายเธอก็ทำแต่เรื่องเลวร้ายขึ้นมา
เธอคิดว่ามันเป็นดั่งกำแพงที่เธอไม่สามารถข้ามไปได้แม้จะใช้เวลาตลอดชีวิต
ดังนั้นเธอเลยหมกมุ่นกับการแต่งรูปโฉมภายนอกเพียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะมิเอล
เมื่อลองมาคิดดูตอนนี้แล้ว ถึงแม้มันจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ไม่ว่ายังไงกำแพงนั้นมันก็ยังเป็นกำแพงที่ข้ามไปได้ ในอดีตเธอไม่เคยตระหนักถึงสิ่งนี้เลย เพราะเธอเอาแต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก
‘เพราะฉะนั้น ในตอนนี้แค่ทำตรงข้ามกับเมื่อก่อนก็เพียงพอแล้วสินะ’
ก่อนที่มิเอลตั้งใจจะทำอะไร เธอก็จะชิงทำสิ่งนั้นก่อนเพื่อไม่ให้มิเอลทำสิ่งนั้นได้
ถ้าเรื่องนั้นมันซ้ำรอยเดิม มิเอลก็จะตกอยู่ในสาพล้มเหลวแบบเดียวกับตัวเธอในอดีตแน่นอน แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไปทั้งตัวแล้ว
และในวันนั้น มิเอลไม่ทานทั้งอาหารกลางวันและอาหารเย็นเธอเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง มีผู้หญิงที่ไม่คุ้นหน้าจำนวนหนึ่งเข้าๆ ออกๆ ห้องมิเอล แต่ทั้งหมดล้วนกลับไปด้วยใบหน้าที่บอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว
พวกเธอถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือในการปักผ้าระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะยังทำได้ไม่ดีตามเกณฑ์ที่มิเอลต้องการ จึงไม่มีอะไรจะสอนให้มิเอลได้
และในระหว่างนั้น อาเรียก็เอาผ้าปักฝีมือของซาร่าให้มิเอล แต่มิเอลไม่ได้แสดงท่าทีตอบกลับอะไรต่อผ้าปักรูปดอกลิลลี่อันงดงามราวกับผีเสื้อที่กำลังบินนั้น ยิ่งไปกว่านั้น นับวันก็ยิ่งมีแขกเข้าไปเยี่ยมเธอที่ห้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อาเรียกลั้นขำตอนที่เธอเห็นแขกที่ไม่คุ้นหน้ามาหามิเอลในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา
‘มันถึงเวลาที่เธอจะได้รู้สึกบ้างว่าไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร’
***
ในตอนนี้อาเรียฝึกเดินได้อย่างสง่างาม ขนาดที่ว่าต่อให้ออกไปสู่สังคมชั้นสูงในตอนนี้ก็ไม่มีข้อบกพร่องใดใดสมกับเป็นบุตรสตรีชนชั้นสูงและยิ่งเปรียบเทียบกับอายุของเธอในตอนนี้แล้วถือว่าทำได้ดีมาก
แต่เพราะน้องสาวของเธอคือมิเอล จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบกัน แต่หากเทียบกับเด็กสาวชนชั้นสูงรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วถือว่าเธอเติบโตมาอย่างดีจนน่าชื่นชม
และคนที่รู้สึกภาคภูมิใจกับเรื่องนี้ที่สุดก็คือภริยาของท่านเคานต์ผู้เป็นมารดาของอาเรียนั่นเอง เธอคิดอย่างภูมิใจกับการที่ลูกสาวที่เคยไม่เอาไหนของเธอเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไม่คาดคิด
เธอไม่สงสัยว่าเหตุใดลูกสาวถึงเปลี่ยนไป เพียงแต่หวังว่าลูกสาวของเธอจะเรียนรู้เพิ่มอีกสักนิดและได้แต่งงานกับตระกูลขุนนางชนชั้นสูงและได้ดีกว่าตัวเธอ อย่างเช่นการได้เป็นภริยาของมาร์ควิสหรือดยุก
“คิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“หากท่านแม่หมายถึงท่านมาร์ควิสวินเซนต์แล้วละก็ ท่านมีคนที่เป็นคู่ของท่านอยู่แล้วค่ะ”
แน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือคุณครูของเธอเอง แม่ลูกที่นานๆ ทีจะได้เพลิดเพลินกับอาหารกลางวันในสวนด้วยกัน ดื่มชาที่ถูกเตรียมไว้สำหรับของว่างและพูดคุยกันสนุกสนาน
ท่านแม่ถามอาเรียเกี่ยวกับคนที่ควรจะเป็นสามีในอนาคตอย่างไม่หยุดหย่อน และทุกครั้งที่ถูกถามอาเรียก็จะนึกถึงผู้หญิงที่จะได้แต่งงานกับคนผู้นั้นในภายหลัง
“เนื้อคู่อะไรนั่นไม่มีหรอก ทุกอย่างมันเป็นผลของคนที่พยายามทั้งนั้นแหละ ดูอย่างแม่สิ”
ตัวเธอคือผลพวงของความพยายามอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะมีใบหน้าที่งดงามเพียงใดก็ตาม แต่การจะพิชิตหัวใจที่เย็นชาราวกับแผ่นน้ำแข็งของท่านเคานต์ที่สูญเสียภรรยาไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกได้ว่าไม่มีความพยายามไหนมากไปกว่าความพยายามของตัวเธอเองแล้ว
อาเรียหัวเราะเล็กน้อย
“ลูกยังเด็กอยู่เลยนี่คะ ยังอายุแค่สิบสี่ปีเอง”
“อีกไม่นานก็จะสิบห้าแล้วนี่ ความเยาว์วัยของผู้หญิงแป๊บเดียวก็ผ่านหายไปแล้ว”
เคาน์ติสทอดสายตาไปกลางอากาศราวกับหวนระลึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ของตน แม้ว่าตัวเธอจะอายุเพียงสามสิบสองเท่านั้น
ตั้งแต่ที่เธอเกิดมาก็ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทางและเติบโตมาด้วยการทำงานสกปรกทุกอย่าง ถูกจับไปอยู่ในหอโคมแดงก่อนวัยที่จะมีรอบเดือนเสียด้วยซ้ำ ณ ที่นั่นเธอต้องรับแขกมากมายอย่างนับไม่ถ้วน
หนทางเดียวที่จะพาเธอออกมาจากขุมนรกนั่นได้ก็คือการหาผู้ชายที่มีทั้งเงินและอำนาจ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีวิธีไหนจะช่วยเธอได้อีก
เธอเพิ่งจะเข้าใจมันเมื่อตอนเธออายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น
หลังจากนั้นมาเธอก็ใช้จริตมารยาหญิงและทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่อคนที่มีอำนาจ จนเมื่อตอนเธออายุได้สิบเจ็ดปีก็ได้พบกับผู้ชายที่บอกว่าจะช่วยพาเธอออกมาจากหอโคมแดง
แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมีศักดิ์เป็นเพียงบารอนที่ถือครองที่ดินเล็กๆ ในชนบทแห่งหนึ่งก็ตาม สำหรับเธอแล้วเขาไม่ต่างอะไรจากพระเจ้าเลย
แต่ช่างโชคร้ายที่พระเจ้าตัวจริงไม่ได้เข้าข้างเธอ เมื่อความจริงที่ว่าเธอท้องถูกเปิดเผยก่อนที่เขาจะพาเธอไป เธอไม่อาจหลุดพ้นออกมาจากนรกได้ก็ด้วยสาเหตุท้องไม่มีพ่อ ‘ถ้าไม่ใช่เพราะแกแล้วละก็’ กลายเป็นคำพูดติดปากที่เธอมักจะพูดใส่อาเรีย
“พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว การมีลูกอาจจะเป็นเรื่องโชคดีก็ได้”
“ยังไงหรือคะ”
“เทียบกับการเป็นบารอนเนสที่ต้องจมปลักอยู่แต่ในชนบทแล้ว เป็นเคาน์ติสที่มียศเหนือกว่าและมีคฤหาสน์ใหญ่โตมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ”
ใบหน้าของเคาน์ติสไม่มีร่องรอยของคำโกหกใดๆ หากว่าเธอพลาดโอกาสไปเพียงนิดเดียวนั่นอาจจะทำให้อาเรียต้องกลายเป็นโสเภณีได้เลย แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้นั้นแม้แต่นิดเดียว
อาเรียยิ้มเล็กน้อยแม้จะทำตัวต่ำช้าเช่นนั้นแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งและเลี้ยงดูตัวเธอมา สำหรับอาเรียแล้วไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ ต่อแม่ของเธอเลย
ถ้าหากว่าแม่ทิ้งเธอและใช้ชีวิตต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ของเธอก็คงได้เจอผู้ชายดีๆ และได้เลื่อนฐานะทางสังคมในเวลาไม่นานก็เป็นได้
แต่แม่ของเธอก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น การที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเธอ พาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านของท่านเคานต์ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอทำ มัวแต่หลงระเริงไม่เคยได้คิดระวังจนสุดท้ายก็ไม่สามารถขวางกั้นความตายของแม่เธอได้
เคาน์ติสสั่งให้สาวใช้เปลี่ยนชามาใหม่ เธอครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วหันมองรอบตัว
เมื่อเธอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นแล้วก็แอบกระซิบถามอาเรียเงียบๆ
“จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนมิเอลจะสนใจบุตรชายคนโตของดยุกเฟรดเดอริกอยู่นะ”
“แม่กำลังพูดถึงคุณออสการ์ใช่หรือไม่คะ”
“ใช่ เห็นบอกว่ารุ่นราวคราวเดียวกับเคนนี่ เคยเห็นมิเอลขอร้องให้พามาที่บ้านด้วย”
ในอดีตหลังจากงานวันเกิดปีที่สิบห้าของอาเรียผ่านไปได้ไม่นานก็เป็นช่วงปิดเทอมพอดี ออสการ์เลยได้มาที่คฤหาสน์พร้อมกับเคน
และที่นั่น มิเอลที่รู้สึกประหม่าก็ทำน้ำชาหกใส่ออสการ์ทำให้ตอนนั้นเขาจำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้า
ประจวบเหมาะกับมิเอลที่พกผ้าเช็ดหน้าปักลวดลายตราประจำตระกูลไว้ เธอจึงให้ผ้าเช็ดหน้ากับออสการ์ไป และโกหกว่าเธอเป็นคนปักผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทั้งที่ไม่ใช่ความจริงก็ตาม
‘ใช่แล้ว และแน่นอนว่าเธอจะกลายเป็นพยานในฉากนั่นเอง’
อาเรียรู้ได้โดยทันทีว่าท่านแม่ของเธอกำลังสื่อถึงอะไร ไม่มีทางที่เธอจะพูดเรื่องของคนที่มิเอลสนใจอย่างเรื่อยเปื่อยแน่นอน
ทายาทของดยุกเฟรดเดอริกยังไม่มีพระคู่หมั้นที่ประกาศอย่างเป็นทางการ
เพื่อจุดประสงค์ที่หวังจะรวบรวมอำนาจและความมั่งคั่งไว้ด้วยกันแล้ว แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือมิเอล แต่ดูเหมือนว่าออสการ์ที่ไม่ค่อยสนใจผู้หญิงเท่าใดนักแทบจะไม่ได้พบเจอหรือติดต่อกับมิเอลเลย
หากโตขึ้นอีกนิดและได้พบปะพูดคุยกันมากขึ้น อาจจะแตกต่างไปจากตอนนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ถือว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกัน
เช่นนั้นแล้วก็ถือว่ายังมีโอกาสเพียงพอสำหรับอาเรียที่แม้จะมีชนชั้นต่ำ แต่ก็ถือว่าเป็นบุตรสาวแห่งตระกูลโรสเซนต์เช่นเดียวกัน
สาวใช้ที่นำเอาชาถ้วยใหม่มาให้แสดงความนอบน้อมอย่างสุภาพแล้วไปยืนรอรับใช้ในที่ห่างออกไปเล็กน้อย เคาน์ติสยกชามาจิบหนึ่งจิบ
“แม่คนนี้หวังเพียงให้ลูกมีความสุขนะอาเรีย”
“อย่ากังวลเลยค่ะ ท่านแม่”
ถึงแม้ลูกจะรับประกันไม่ได้ว่าลูกจะทำมันได้ดีก็ตาม แต่ลูกเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อจะทำให้มิเอลพินาศย่อยยับ เพราะฉะนั้นอย่าได้เป็นกังวลไปเลยค่ะ ความทุกข์ทรมานของผู้อื่นเปรียบดั่งความสุขของลูกนี่คะ
สองแม่ลูกหัวเราะอย่างมีความสุขท่ามกลางสายลมอันอบอุ่นต้นฤดูใบไม้ร่วง
……………………………………………….