พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 7
หลังจากที่ท่านเคานต์ออกเดินทางไปได้ไม่กี่วัน เคนก็กลับมายังที่วิทยาลัย แม้ว่าเขาจะกังวลเป็นอย่างมากกับการต้องปล่อยให้มิเอลอยู่ลำพังท่ามกลางสองแม่ลูก แต่เพราะอาเรียสงบเสงี่ยมขึ้นต่างจากแต่ก่อน จึงเหลือไว้เพียงความอาลัยอาวรณ์แล้วนำตนเองขึ้นรถม้ากลับมา
แม้ว่าเคนจะไม่ได้รู้สึกดีต่อลูกและภรรยาใหม่ของบิดาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายบริสุทธิ์แบบมิเอล
ยิ่งไปกว่านั้นเขาที่เป็นผู้สืบทอดตระกูล ยังต้องศึกษาวิชาความรู้ควบคู่ไปกับการเล่าเรียนวิถีปฏิบัติของผู้สืบทอดตระกูลไปพร้อมๆ กัน ขอเพียงแค่ไม่สร้างความวุ่นวายให้แก่ตัวเขาและน้องสาวของเขาก็เป็นพอ เขาก็จะไม่เข้าไปก้าวก่ายใดๆ เช่นกัน
หลังจากที่เคนออกเดินทางออกไปแล้ว มิเอลก็จ้างครูสอนเย็บปักถักร้อยและเก็บตัวอยู่ในห้องหมกมุ่นอยู่กับการปักผ้าตลอดทั้งวัน เมื่อเห็นท่าทางที่ตั้งอกตั้งใจหมกมุ่นอยู่กับการปักผ้าจนไม่สนใจเรียนวิชาอื่น ก็พอจะจินตนาการได้ว่าภายในห้องที่ปิดประตูแน่นหนานั้นมีสภาพเป็นอย่างไร
ต่างไปจากในอดีต เมื่ออาเรียไม่ก่อเรื่องวุ่นวายและไม่มีสายตาดุดันมองที่ตน กลับกลายเป็นมิเอลเองที่รู้สึกด้อยค่า จะมีอะไรดีไปกว่าสถานการณ์ในตอนนี้อีกเล่า อาเรียคิด
ซาร่าถามอาเรียที่กำลังดื่มชาและเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือคะ ”
“แน่นอนค่ะ ทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ถือเป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น และหนึ่งในเรื่องดีๆ พวกนั้นการได้เจอกับอาจารย์ซาร่าถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยค่ะ”
เพราะอาจารย์แท้ๆ อาเรียถึงได้เห็นใบหน้าอันบูดเบี้ยวของมิเอล และรอยยิ้มที่มีความสุขของเด็กน้อยนั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าของซาร่าแดงเรื่อขึ้นมา
เด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่ชื่ออาเรียนั้น บัดนี้กลายเป็นเด็กสาวที่ทั้งสง่าและงดงาม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิสง่าผ่าเผย ทั้งๆ เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ซาร่าที่จ้องมองอาเรียที่ดื่มชาอย่างสง่างามนั้น หยิบยกเรื่องที่เคยพูดไปเมื่อคราวที่แล้วมาพูดอีกครั้ง
“อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ดิฉันคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาค่ะ เป็นงานเลี้ยงน้ำชาเล็กๆ ที่เชิญแค่คนรู้จักเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือคะ”
“ท่านพ่อได้รับชาชั้นเยี่ยมเป็นของขวัญ และท่านก็ให้ดิฉันมาอีกทีน่ะค่ะ”
ซาร่าหัวเราะอย่างอ่อนหวานและพูดต่อไปว่า
“เพราะอย่างนั้น หากว่าเลดี้อาเรียพอมีเวลาว่าง อยากให้มาร่วมงานเลี้ยงด้วยกันจะได้ไหมคะ”
อาเรียแสร้งทำตกใจเบิกตาโพลง ‘คนอย่างหนูจะเหมาะสมกับที่แบบนั้นเหรอคะ! ’เธอยกมือเล็กๆ ป้องปากและส่ายหัวไปมา ซาร่าโน้มน้าวอาเรียและบอกว่าเธอมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว
“ดิฉันอยากจะอวดเลดี้อาเรียที่น่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ให้กับคนรู้จักของดิฉันค่ะ”
อาเรียรู้อยู่แล้วว่าทำไมซาร่าถึงอยากชวนเธอไปงานเลี้ยงน้ำชาด้วย นั่นก็เพราะข่าวลือที่แพร่อยู่ในแวดวงสังคมนั่นเอง และเธอเองก็รู้ถึงข่าวลือนั้นเป็นอย่างดี
‘ลูกสาวของโสเภณี ขี้อิจฉาและก่อเรื่องเลวร้ายต่อบุตรธิดาของท่านเคานต์แทบทุกเมื่อเชื่อวัน’
‘เหม็นสาบกลิ่นความชั่วที่มาจากนิสัยต่ำช้าเหมือนกับแม่ของนาง’
‘นางแมวขโมยหวังจะทำลายตระกูลโรสเซนต์อยู่แน่ๆ ’
‘เพราะอย่างนั้นมิเอลที่น่าสงสารถึงนอนร้องไห้จนฟ้าสว่างอยู่ทุกคืน’
เป็นข่าวลือแบบนั้นนั่นเอง
ที่จริงแล้วก็ถือว่าเป็นคำลือที่ใกล้เคียงความจริงอยู่บ้าง เพราะก่อนที่ทุกอย่างจะย้อนเวลากลับมามันเป็นแบบนั้น หากตัดเรื่องของมิเอลออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ถึงจะบอกว่าถูกใครบางคนสั่งให้ทำ แต่การผลักคนอื่นตกบันไดหรือวางยาพิษในน้ำชา มันเป็นการกระทำของแม่มดเท่านั้นแหละ
จากนี้ไป เธอไม่คิดจะทำเรื่องเลวร้ายง่ายๆ ซึ่งๆ หน้าแบบนั้นอีกต่อไป แต่จะทำเหมือนมิเอลที่ภายนอกแสร้งทำเป็นสูงส่งแต่ลับหลังนั้นใครเล่าจะรู้ได้
ไม่สิ เธอจะทำแบบนั้น แต่ในจุดนี้จำเป็นต้องปกปิดข่าวลือไว้ก่อน ก่อนที่นางมารร้ายผู้สวมหน้ากากแม่พระจะทำให้ข่าวลือขยายไปมากกว่านี้
“ถ้าเช่นนั้น… อาจจะดูน่าอายไปเสียหน่อย แต่ขอหนูเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่คะ”
ซาร่าแสดงความยินดีผ่านสีหน้า เมื่อได้ยินคำตอบรับแสนเคอะเขินของอาเรียที่แก้มแดงแจ๋ ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพื่อสยบข่าวลือแล้วนั้น เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของซาร่าเลยแม้แต่น้อย เพราะเส้นสายของซาร่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ และคนรู้จักของเธอก็ไม่ใช่คนที่มีอิทธิพลเท่าใดนัก
แต่เพราะจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์กับซาร่าให้สนิทสนมกันเข้าไว้ ฉะนั้นก็ควรจะสร้างความทรงจำร่วมกับเธอไว้ให้มาก และก็อยากรู้ด้วยว่าพวกเลดี้ผู้ดีเขาเข้าหากันเยี่ยงไร
“ได้สิคะ ทุกคนจะต้องต้อนรับเลดี้อาเรียผู้งดงามอย่างจริงใจแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ เลดี้ซาร่า”
ซาร่าแก้มแดงเรื่อและบอกว่าจะต้องแจ้งเรื่องเพื่อนคนใหม่ให้เลดี้ท่านอื่นๆ รับทราบ จึงต้องรีบกลับไป
ทำไมถึงมีเมตตาและใสซื่อได้เพียงนี้นะ ความเชื่อใจน่ะมันมีขีดกำจัดของมันอยู่ สงสัยเหลือเกินว่าในภายภาคหน้าจะสามารถรักษาตำแหน่งภริยาของมาร์ควิสได้หรือไม่
อาเรียจะต้องซื้อชุดใหม่เพื่อใส่ไปงานเลี้ยงน้ำชาของซาร่า แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีชุดอยู่มากมายก็ตาม แต่เสื้อผ้าพวกนั้นดูหรูหราโอ่อ่าอย่างกับเสื้อผ้าเด็กๆ
ถ้าเป็นเด็กก็ควรจะทำอะไรให้สมกับเด็กสิ นี่อะไรกัน ชุดลวดลายหลากสีแถมยังมีโบว์ใหญ่ๆ ห้อยติดเป็นชั้นๆ เหมือนชุดของตุ๊กตามากว่าชุดคนเสียอีก การจะต้องมองดูรสนิยมของตนเองในอดีตทำเอาเธอเหงื่อไหลเลยทีเดียว
“…ทำไมถึงทำชุดแบบนี้ออกมาขายกันเนี่ย”
ถ้าไม่ทำชุดแบบนี้ออกมาแต่แรกเธอก็คงไม่ได้ซื้อมันมาหรอก ช่างเป็นชุดที่ดูไม่มีราคาจนอยากจะเอาไปเผาทิ้งเสียให้เกลี้ยงอะไรอย่างนี้ อาเรียคิด
ไม่ใช่แค่ชุดเท่านั้นแต่รวมถึงเสื้อผ้าทั้งหมดนั่นเลย เธอไม่รู้ว่าเสื้อผ้าลำลองที่ใส่เวลาอยู่ในบ้านนั้นมักจะไม่มีการตกแต่งใดใด พอลองนึกย้อนไปแล้วก็จำได้ว่าเธอเป็นคนเลือกเสื้อผ้าแปลกๆ พวกนี้เองกับมือ
และแน่นอนว่าตอนนี้เธอเข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเลือกแต่เสื้อผ้าที่มีลวดลายและการตกแต่งแปลกๆ
ตอนที่เธอยังใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนทั่วไปนั้น เธอต้องสวมใส่แต่เสื้อผ้าเดิมๆ อยู่หลายเดือนหลายปี และเพราะแบบนั้นเองเสื้อผ้าของเธอจึงซีดจางไม่สดใสจนนึกถึงลวดลายไม่ออก ดังนั้นพอมีโอกาสได้เลือกจึงเลือกแต่อะไรที่วาววับเป็นประกายแสบตาแบบนั้น
‘โอ้ย แค่มองก็ปวดหัวจะแย่แล้ว อยากเอาไปทิ้งให้พ้นลูกตาเร็วๆ จัง’
อาเรียเรียกเจสซี่สาวใช้ต้นห้องของเธอและสั่งให้เอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปทิ้งให้หมด ดูเหมือนเจสซี่เองก็คิดว่าเป็นเสื้อผ้าที่สมควรจะทิ้งเหมือนกัน จึงไม่พูดถามอะไรและขนเอาเสื้อผ้าทั้งหมดออกไปจากห้องแต่งตัว
แต่การจะขนย้ายทั้งหมดนั่นด้วยตัวคนเดียวนั้นยากเกินไป เธอจึงเอารถเข็นขนาดใหญ่มาขนเสื้อผ้าออกไป เจสซี่ที่เก็บกวาดห้องแต่งตัวอย่างสะอาดแล้วนั้น ก่อนที่เธอจะออกจากห้องของอาเรียไป ก็ได้แจ้งกับอาเรียว่าคำสั่งที่อาเรียสั่งครั้งก่อนเรียบร้อยแล้ว
“อย่างนั้นเหรอ นาฬิกาทรายนั่นถูกประกอบกลับเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้วค่ะ เลดี้จะให้ไปรับมาเลยดีไหมคะ”
นาฬิกาทรายที่เธอเจอมันในสภาพแตกกระจายบนเตียงในวันแรกที่เธอย้อนเวลากลับมา
อาเรียเก็บทรายกับชิ้นส่วนของนาฬิกาที่แตกทั้งหมด แล้วสั่งให้เจสซี่นำไปซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิม
โชคดีที่ช่างบอกว่ามันไม่ได้แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย แต่นั่นก็ทำให้ใช้เวลานานอยู่พอสมควรถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่ซ่อมได้ก็ตาม ดูเหมือนในที่สุดก็ซ่อมจนเสร็จเรียบร้อย
แน่นอนว่ามันไม่ใช่นาฬิกาทรายดาษดื่นทั่วไป เพราะยังไงมันก็ย้อนเวลาของอาเรียกลับมา ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นพลังทั้งหมดที่ตัวนาฬิกาใช้ไปแล้วก็ได้ ยังไงก็ตามมันเป็นนาฬิกาทรายอันมีค่าที่ทำให้ชีวิตของเธอได้เริ่มใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงอยากเก็บรักษามันให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
“ไม่เป็นไร ไหนๆ ฉันจะต้องออกไปซื้อเสื้อผ้าข้างนอกอยู่แล้ว เดี๋ยวไปรับกลับมาเอง ช่วยเตรียมตัวให้หน่อยนะ”
นอกจากนั้นแล้ว หากเกิดมันแตกอีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ จึงต้องดูแลอย่างระมัดระวัง เมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปรับมันเองกับมือแล้วก็ทำให้เธอสบายใจขึ้น
เจสซี่ก้มหน้าก้มตาราวกับกระอักกระอ่วนใจต่อคำสั่งของอาเรียที่เร่งให้เธอรีบเตรียมตัวออกไปข้างนอก
“เลดี้คะ อ่อ แต่ว่า…”
อาเรียมองเจสซี่ด้วยสายตาสงสัยว่าทำไมยังไม่เริ่มทำตามคำสั่งเอาแต่ยึกยักอยู่ข้างประตู
แม้ว่าตอนนี้อาเรียจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่เจสซี่ที่เคยถูกอาเรียเหยียดหยามและต้องทนกับความโหดร้ายของอาเรียในอดีตนับครั้งไม่ถ้วน ยังคงหวาดหวั่นเวลาจะพูดอะไรอยู่เช่นเดิม
หลังจากที่อาเรียยิ้มเล็กน้อยและถามว่ามีเรื่องอะไร เจสซี่ก็นึกขึ้นมาได้ในตอนนั้นเองว่าเลดี้ที่เธอดูแลรับใช้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ จึงเริ่มพูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“ถ้าหากทิ้งเครื่องแต่งกายพวกนี้ไปหมดแล้วเลดี้จะไม่มีชุดใส่ไปข้างนอกนะคะ… ชุดลำลองที่เลดี้ใส่ในบ้านมันดูไม่เหมาะสำหรับการออกไปข้างนอกน่ะค่ะ…”
สำหรับสามัญชนทั่วไปนั้น อาจจะมองว่ามันเป็นชุดที่ดูล้ำค่าเหมือนกันหมด แต่สำหรับคนชนชั้นสูงนั้นต่างออกไป
เสื้อผ้าลำลองสำหรับใส่ในบ้านและเสื้อผ้าที่ใส่ไปข้างนอกจะต้องแยกใส่อย่างชัดเจน ถ้าหากวันไหนใส่ชุดลำลองออกไปข้างนอกแล้วล่ะก็จะมีข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกตีตราว่าไร้ยางอายก็ไม่ปาน
ช่างเป็นสังคมที่น่ารำคาญเสียจริงอาเรียจิปากไม่พอใจ เอายังไงดีล่ะ อาเรียที่รู้สึกว่าชุดเดรสที่มีอยู่ตอนนี้ไม่สวยนั้น ไม่มีความกล้าพอจะใส่ชุดพวกนั้นออกไปเดินเฉิดฉายในเมือง
เธอครุ่นคิดกังวลไปพักนึงถึงวิธีที่จะไม่ต้องใส่ชุดพวกนี้และก็ไม่ต้องเจอเรื่องน่าอาย
ขณะนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
‘อ๋อ ใช่แล้ว! ’
มันยังมีวิธีอยู่ไม่ใช่หรือไง ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ ในคฤหาสน์หลังนี้ก็มีเสื้อผ้าสวยหรูอยู่เยอะแยะ และแน่นอนว่าขนาดของมันก็พอดีกับตัวเธอด้วย
“เอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปแขวนในตู้เสื้อผ้าทีสิ”
“ทั้งหมดเลยหรือคะ ”
“ใช่ ทั้งหมดนั่นแหละ”
แม้คำสั่งของอาเรียจะทำให้เจสซี่ลำบากโดยไม่จำเป็น แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่นอะไรและจัดเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอเรื่องแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เธอจะรู้สึกไม่พอใจอะไร
แม้จะใช้เวลานานไปหน่อย แต่อาเรียก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เธอเพียงแค่มองดูสิ่งที่เจสซี่ทำเท่านั้น
ทันทีที่เจสซี่ทำงานเสร็จอาเรียก็สั่งให้เธอออกไปอยู่ข้างนอกสักพัก แม้จะสงสัยในคำสั่งที่วกไปวกมาของอาเรียก็ตาม แต่เจสซี่ก็ออกไปอยู่ข้างนอกตามที่อาเรียสั่ง
‘ไม้ชีดไฟน่าจะมีอยู่แถวนี้นี่นา’
เธอนึกถึงไม้ขีดไฟที่ใช้จุดเทียนหอมที่เธอซื้อเลียนแบบลูกสาวขุนนางชนชั้นสูง เพียงแต่เธอไม่ได้ใช้มันเลยเก็บทิ้งไว้ในลิ้นชัก
แต่เพราะเวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้วเธอจึงจำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น ทั้งที่พิจารณาตามอายุของเธอในตอนนี้แล้วมันผ่านมาไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่สำหรับเธอที่จำได้แต่เรื่องในอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องที่นานเหลือเกิน
“เจอแล้ว! ”
อาเรียจุดไม้ขีดไฟที่เธอหาเจออย่างยากเย็นแล้วโยนไม้ขีดที่ติดไฟพึ่บพับไปในตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นเวลานานทีเดียวหลังจากที่เจสซี่ออกไป
อาเรียจ้องมองมันอยู่สักพักแล้วกรีดร้องเสียงดังอยู่หลายครั้งด้วยใบหน้านิ่งเฉย
เจสซี่ที่กำลังคอยอยู่ข้างนอกตกใจเสียงกรีดร้อง เธอเข้ามาที่ห้องของอาเรียเป็นคนแรกและเผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากลัวนั่น
“ละ เลดี้คะ! ”
ด้วยอารามตกใจเจสซี่รีบดับไฟอย่างร้อนรน แต่เพราะเป็นเสื้อผ้าที่ติดไฟง่าย เชื้อไฟจึงลุกลามในเวลารวดเร็วจนสุดท้ายก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้อีก
ตึกตัก ตึกตัก เธอได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเอะอะเสียงดังมาแต่ไกล อาเรียขมวดคิ้วถอนหายใจท่ามกลางไม้ขีดไฟที่กระจายตกอยู่เต็มพื้นห้อง
“ฉันตั้งใจจะหาวิธีแก้ปัญหา เลยคิดจะจุดเทียนหอม แต่ว่าไม่ได้จุดไม้ขีดไฟมานานก็เลย… ทำยังไงดีล่ะ เสื้อผ้าทั้งหมดของฉันไหม้ไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องขอยืมชุดจากใครสักคนเสียแล้ว”
เจสซี่หันไปมองหน้าอาเรีย ที่ทำหน้าเหยเกแปลกๆ เธอมองไม่ออกว่าอาเรียกำลังยิ้มหรือร้องไห้กันแน่
…………………………………………………