พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 77
“เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อให้ฉันช่วยเธอได้ เธอเองก็ต้องพยายามด้วยไม่ใช่หรือ”
“เลดี้…”
ดูเหมือนแอนนี่จะหัวไว เธอเข้าใจในสิ่งที่อาเรียพูด
หลังจากนั้นผ่านไป ในช่วงสองสามวันแรกแอนนี่ยังดูเศร้าอยู่บ้างแต่เธอก็กลับมาร่าเริงได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว และเริ่มแวะเวียนไปที่ร้านของบารอนเวอร์บูมอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ไปมาระยะหนึ่งแล้ว ดูเหมือนเธอตั้งใจจะไปให้เขาเห็นหน้าและจดจำเธอให้ขึ้นใจ
“วันนี้เขาถึงกับเอาของว่างมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยนะคะ แน่นอนว่าไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไป ของว่างเลยไม่อร่อยเท่าไรนัก…แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีใจมากเลยค่ะ! “
“ทำได้ดีมากแอนนี่ ดูเหมือนท่านบารอนเวอร์บูมจะไม่ใช่คนที่อ่อนโยนสักเท่าไร ถ้าเขาทำถึงขนาดนั้นแล้วละก็ ให้คิดเสียว่าเธอพัฒนาไปได้อีกก้าวแล้วนะ”
เพื่อให้เธอไม่ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดแบบที่ผ่านมา อาเรียจึงคอยกำชับสั่งสอนเธอไปทีละน้อย หน้าตาของแอนนี่ไม่มีเค้าของความเศร้าหมองอีกต่อไป เธอดูเป็นเด็กฉลาดที่ตั้งใจแน่วแน่เพื่อเป้าหมายเท่านั้น
‘อย่างไรเสียเขาก็สนใจเพียงรูปร่างหน้าตาของฉันเท่านั้นละ’
ดังนั้นอาเรียจึงหวังให้แอนนี่เอาชนะใจเวอร์บูมด้วยความทุ่มเทที่เหนือกว่าสิ่งนี้ เพราะมุมมองจากประสบการณ์ในอดีตของอาเรีย ทำให้รู้ว่าความหลงใหลใครสักคนที่หน้าตามันไม่เคยมั่นคงยืนนานเลย
เหนือสิ่งอื่นใดดูเหมือนแอนนี่เองจะตีสนิทกับคนอื่นได้ดีกว่าที่คิดเสียอีก แม้อาเรียจะไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเพราะเธอไม่ได้เจอกับบารอนเวอร์บูมอีกเลย แต่พิจารณาจากคำพูดของแอนนี่แล้วก็ดูจะเป็นอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย เทียบกับอดีตแล้วในตอนนี้เธอมีคนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแนวร่วมขึ้นมาบ้าง นั่นทำให้สามารถรับมือต่อแผนการของมิเอลได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งเธอยังได้เริ่มลงทุนครั้งใหม่กับบารอนเวอร์บูมและเขายังจะแนะนำให้รู้จักกับนักธุรกิจท่านอื่นในงานประชุมของเหล่านักธุรกิจอายุน้อยที่มีเขาอยู่ด้วย
และในตอนนี้สิ่งที่น่าพอใจเป็นที่สุด ก็คือการที่บรรดาสาวใช้ในคฤหาสน์ให้การดูแลอาเรียเป็นพิเศษกว่าคนอื่นนั่นเอง เธอตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ในตอนที่ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับทุกคน
‘…ทำไมจู่ๆ น้ำสลัดถึงกลับมาอร่อยเหมือนเดิมได้นะ’
ขณะที่เอียงคอสงสัยในรสชาติหวานอร่อยของน้ำสลัด ก็เห็นเข้ากับมิเอลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังผลักจานสลัดไปไว้ด้านข้าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะทานสลัดไม่ได้จนกว่าจะหาซื้อน้ำตาลได้อีกครั้งนะคะ รสชาติของน้ำสลัดไม่พอดีเลยค่ะ”
“ทั้งที่หาซื้อน้ำตาลมาใส่แล้วแท้ๆ ก็ยังไม่ได้รสชาติที่ดีอีกหรือ…ดูท่าจะไม่พอเสียแล้วสิ พ่อคิดว่าหาซื้อมาได้อย่างพอใช้แล้วแท้ๆ อย่างว่าละนะการจะหามันมาด้วยมือคนทั่วไปมันมีข้อจำกัดอยู่จริงๆ ฝ่าบาทเองก็กำลังโดนกดดันเรื่องนี้อยู่คาดว่าเราคงจะได้คำตอบในเร็วๆ นี้ละ”
แม้แต่ท่านเคานต์เองก็ไม่ทานสลัดจานนั้น ทำให้อาเรียรู้ได้ในทันทีว่าอาหารของเธอและอาหารของพวกเขาต่างกัน
เพราะแบบนั้นอาเรียจึงแอบยิ้มออกมา นั่นมันน่ารักมากเลยไม่ใช่หรือไง แค่เธอให้น้ำมันหอมไม่กี่ขวดเป็นของขวัญ ถึงกับเปลี่ยนท่าทีได้ขนาดนี้เชียว
ดูเหมือนที่ผ่านมาเหล่าคนรับใช้จะไม่เคยได้รับของขวัญจากท่านเคานต์เลยสักครั้ง เพราะได้รับเงินเดือนที่เหมาะสมตั้งแต่แรกอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญอะไร ถึงอย่างนั้นการให้ของขวัญก็เป็นถือภาพลักษณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง แต่พวกชนชั้นสูงมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของคนรับใช้ด้วยเล่า
หลังจากจานสลัดถูกเก็บออกไป อาเรียก็เหลือบมองไปด้านหลัง เธอได้กลิ่นหอมๆ จากพวกสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้านิ่งเฉย ราวกับว่านั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าสาวใช้พวกนั้นอยู่ฝ่ายเธอ ทำให้อาเรียไม่สามารถซ่อนความดีใจไว้ได้
ดูเหมือนฤดูร้อนจะผ่านไปแบบนั้น เช่นเดียวกับในอดีต พอเวลาผ่านไปอีกสักหน่อยก็จะเริ่มมีการจัดหาสินค้าฟุ่มเฟือยเกิดขึ้น และอาหารก็จะกลับมาอร่อยอีกครั้ง ส่วนเหล่าชนชั้นสูงที่คิดถึงชีวิตหรูหราแบบเดิมก็จะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายและดำเนินชีวิตไปแบบนั้น
อาเรียส่งจดหมายและน้ำมันหอมเป็นของขวัญให้กับซาร่าและเหล่าเลดี้ที่ไม่ได้พบกันเลยตลอดหน้าร้อน ในตอนนี้เธอกำลังใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือและทานของว่างอย่างช้าๆ ดูเหมือนในบ้านจะค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อยเธอจึงชะโงกหน้าดูนอกหน้าต่าง คาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นเรนมาที่บ้านอีกครั้ง
‘มาทำอะไรกันแน่…’
ทั้งที่ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องมาที่นี่อีกแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังมาอีกเล่า ถึงกระนั้นก็พอดีกับที่อาเรียกำลังสงสัยว่าเหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่มีจดหมายเข้าร่วมประชุมส่งมาเลย เธอจึงตัดสินใจลงไปยังชั้นหนึ่ง
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อลงมาก็คือมิเอลที่กำลังหัวเราะเสียงดังพร้อมกับสาวรับใช้ของเจ้าหล่อน เรนที่เห็นอาเรียก็ทำสีหน้ายินดีและพูดว่า
“เลดี้อาเรียก็อยู่ด้วยสินะครับ ดีจังเลย ผมมีของขวัญจะให้อยู่พอดีครับ”
“…ของขวัญหรือคะ”
พอเขาให้สัญญาณมือก็มีชายรับใช้ตัวสูงยกกล่องขนาดใหญ่เข้ามา แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมคนรับใช้ต้องปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมก็ตาม แต่ดูเหมือนเรนจะไม่ได้สนใจ เขาคงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อาเรียถามถึงของขวัญที่เขาให้มา
“นี่มันอะไรหรือคะ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้านายของผมครับ อีกไม่นานฤดูร้อนก็จะหมดไปแล้วนี่ครับ”
ทั้งที่บอกว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แต่กล่องของขวัญกลับดูใหญ่โต ขนาดที่ว่าผู้หญิงตัวคนเดียวคงไม่สามารถยกมันได้ ถ้าเป็นเจ้านายเขาละก็คงเป็นอาซสินะ เขาส่งอะไรมาให้กันแน่ ระหว่างที่อาเรียกำลังครุ่นคิดสาวใช้คนหนึ่งของมิเอลก็เริ่มโอ้อวดของขวัญของมิเอลขึ้นมา
“เลดี้คะ เขาไปหาน้ำตาลกับน้ำผึ้งจำนวนมากขนาดนี้ได้จากที่ไหนกันคะเนี่ย ดูท่าจะแพงโขอยู่นะคะ”
อาซคงส่งน้ำตาลเป็นของขวัญให้กับมิเอลสิท่า เพราะกล่องของขวัญถูกเปิดทิ้งไว้อยู่พอดี จึงเห็นว่าข้างในกล่องมีน้ำตาลอยู่เป็นจำนวนมาก ขนาดที่ว่าต่อให้ยืนอยู่ไกลๆ ก็ยังรู้ว่าคืออะไร
อย่างที่สาวใช้พูด การจะหาน้ำตาลได้ในเวลานี้มันไม่ง่ายเลยแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงส่งน้ำตาลมากมายขนาดนั้นมาให้กัน แล้วยังให้กับมิเอลอีกด้วย
‘ของขวัญที่ให้ฉันดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย’
แม้จะอารมณ์เสียเล็กน้อยแต่อาเรียก็ไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป ขณะที่เธอตั้งใจจะกลับขึ้นห้องไปนั้น เรนก็สั่งให้ชายรับใช้ตัวสูงผู้นั้นยกกล่องของขวัญไปให้
“ผมจะให้คนยกไปไว้ที่ห้องให้นะครับ มันหนักเอาการอยู่น่ะครับ”
“…ได้สิคะ ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ก็ขอบคุณมากนะคะ”
อาเรียมองหน้าเรนเพื่อเช็กดูว่านอกจากนี้แล้วเขามีธุระอย่างอื่นที่จะคุยกับเธออีกหรือไม่ อย่างเช่น ทำไมถึงไม่จัดการประชุม หรือช่วงนี้อาซเป็นอย่างไรบ้าง แต่เรนก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหันไปถามสารทุกข์สุกดิบกับมิเอลพร้อมรอยยิ้มแบบที่ใครได้เห็นก็เป็นต้องชอบ
มิเอลส่งยิ้มหวานให้กับเรนที่ไม่ได้แวะเวียนมาหาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว
“ไม่ได้แวะมาตั้งนาน อย่างน้อยนั่งดื่มชาด้วยกันสักหน่อยดีไหมคะ”
“ขอบคุณครับ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนหายเข้าไปในห้องรับแขกแล้ว อาเรียก็กลับขึ้นห้องอย่างไม่สนใจอะไร ชายรับใช้ถือกล่องของขวัญใบใหญ่ตามหลังมา เขาถือกล่องขนาดใหญ่เดินขึ้นบันไดด้วยการก้าวเท้ายาวๆ แลดูผิดปกติ
เมื่อมาถึงห้องของอาเรีย เขาก็นำกล่องไปวางไว้ตรงจุดหนึ่งภายในห้อง และเดินไปทางประตูโดยไม่กล่าวคำอำลาแต่อย่างใด แถมยังไม่ได้รับอนุญาตอีกต่างหาก อาเรียกำลังจะจิปากไม่พอใจต่อท่าทางที่ไร้มารยาทของเขาอยู่แล้ว แต่แทนที่ชายรับใช้ผู้นั้นจะออกไปจากห้อง เขากลับปิดประตูที่เปิดทิ้งไว้เมื่อครู่ลง
“…นะ..นายทำอะไรน่ะ”
เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ อาเรียจึงถอยหลังและถามออกไป
อาเรียตกใจจนลิ้นพันกัน และก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ ชายรับใช้ผู้นั้นก็หมุนตัวหันมาทางเธอ
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน! ในตอนที่อาเรียกำลังโมโหอยู่นั้น เขาก็ค่อยๆ เลิกผ้าคลุมหัวออกมา ใบหน้าที่ได้เห็นจากช่องว่างของผ้าคลุมทำเอาอาเรียทำอะไรไม่ถูก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนั่นเป็นใบหน้าของชายที่เธอรู้จักคุ้นเคยนั่นเอง
“…คุณอาซ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
น่าตกใจที่ชายรับใช้คนนั้นคืออาซนี่เอง
แทนที่จะมาพบกันด้วยวิธีปรกติทั่วไป แต่ทำไมเขาถึงต้องทำตัวแปลกๆ อย่างการยกกล่องขึ้นบันไดมาด้วยละ ถึงอย่างนั้นความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกลหรือคนแปลกหน้าก็ทำให้เธอสบายใจขึ้น
“…มาด้วยธุระอะไรคะ”
วิธีพูดของอาเรียฟังดูโมโหแปลกๆ นั่นเป็นเพราะความรู้สึกหลายๆ อย่างกำลังปะปนกันอยู่ หนึ่งในนั้นคือเธอรู้สึกตำหนิเขาอยู่ด้วย
อาซยิ้มให้กับท่าทางที่ดูไร้เยื่อใยของอาเรีย เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอ
“อันที่จริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พอไม่ได้เห็นหน้าเลดี้มาสักพักแล้ว…เลยคิดว่าจะต้องพบเลดี้ให้ได้น่ะครับ อีกอย่างที่ผ่านมามีเหตุผลบางอย่างเลยไม่สามารถจัดงานประชุมขึ้นได้ด้วยครับ”
“…อะไรนะคะ”
อาเรียตกใจกับวิธีการพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา เธอก้าวถอยหลังไปอีก แต่เพราะพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้ถอยหลังไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หลังของเธอจึงแตะเข้ากับผนังห้อง อาซหยุดฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปใกล้เธอไว้ เขาทิ้งระยะห่างเอาไว้นิดหน่อย เพราะในตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง แถมยังอยู่ในห้องของอาเรียอีกด้วย
ในขณะที่ความเงียบเข้าปกคลุมนั้น อาเรียคิดทบทวนถึงสิ่งที่เขาพูดออกมา จากนั้นเธอก็ไม่สามารถเก็บอาการหน้าแดงเอาไว้ได้ หากมีผู้ชายมาบอกกับตนเองว่าอยากพบหน้าจึงมาหา เช่นนั้นแล้วจะมีผู้หญิงคนไหนไม่รู้สึกเขินจนหน้าแดงได้กันเล่า ไม่ว่าจะเป็นคนเย็นชามากเพียงไรก็ตาม อย่างน้อยต้องรู้สึกเขินหน้าแดงขึ้นมาบ้างละ
“อีกอย่างก็รู้สึกเป็นห่วงว่าเลดี้จะมีปัญหาในการทานอาหารหรือไม่น่ะครับ”
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน คำพูดที่ออกมาจากปากของอาซก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวของอาเรียเย็นลง
ปัญหาในการทานอาหารอย่างนั้นหรือ อย่าบอกนะว่าเขาหมายถึงเรื่องของขวัญที่ให้กับมิเอล จากนั้นความคิดที่ว่าเขาตั้งใจจะให้น้ำตาลเป็นของขวัญแก่มิเอลอยู่พอดีเลยแวะมาพบเธอก็ผุดขึ้นมาในหัว
“…คนที่เป็นห่วง ไม่ใช่มิเอลหรอกหรือคะ”
คนที่ได้ของขวัญก็คือมิเอลไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงมาพูดแบบนั้นกับตนกันเล่า อาเรียมองค้อนและถามออกไปราวกับจะซักไซ้ อาซจึงถามออกมาด้วยหน้าตาสะดุ้งตกใจ
“เลดี้คงไม่ได้กำลังเข้าใจผิดอยู่ใช่ไหมครับ”
“เข้าใจผิดหรือคะ”
“ที่ผมให้น้ำตาลเป็นของขวัญแก่เลดี้มิเอลก็เพื่อที่จะได้มาเจอกับเลดี้นะครับ เพราะนั่นเป็นวิธีที่จะทำให้ผมซื้อเวลาได้แบบนี้อย่างไรละครับ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายที่เข้าใจผิดไปเองหรืออย่างไร อาเรียถึงกลับมาหน้าแดงอีกครั้ง อาซที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจ
“ว่าแต่ เลดี้ใส่ใจมันด้วยหรือครับ เรื่องที่ผมให้น้ำตาลกับเลดี้มิเอล”
“เรื่องนั้น…”
หากบอกว่าเธอไม่ได้ใส่ใจก็คงจะเป็นเรื่องโกหก ทั้งที่ความสัมพันธ์ของเธอและเขาเริ่มต้นมาจากความเข้าใจผิดแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมเขายังคอยส่งของขวัญมาให้เธอจนถึงตอนนี้กันนะ นั่นแหละที่ทำให้เธอต้องใส่ใจ พอคิดว่าเป็นอาซด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกใส่ใจขึ้นไปอีก
“…คงอย่างนั้นแหละค่ะ”
อาเรียตอบไปตามตรง เพราะถ้าปฏิเสธออกไป อาจจะดูเหมือนกับว่าเธอกำลังหึงเขาอยู่ก็เป็นได้
มันก็ออกจะแปลกที่เธอบอกว่าตนเองใส่ใจออกไปแบบนั้น ทั้งที่เธอควรจะเลิกสนใจคิดหาเหตุผลไปได้แล้วตั้งแต่ตอนที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจในตัวมิเอล
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกใส่ใจกับเรื่องนี้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกหงุดหงิดอาซอยู่ด้วยเล็กน้อย เหมือนกับ…เหมือนกับตอนที่มิเอลเห็นเธอได้รับของขวัญจากออสการ์อย่างไรอย่างนั้น
มันเพราะอะไรกันแน่ เธอกับเขาเจอกันตั้งกี่ครั้งแล้ว และทุกครั้งที่เจอกันก็เป็นเขาที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นวันนี้ทุกครั้งไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมกันนะ
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันและไม่สามารถเข้าใจได้นั้น ทำเอาอาเรียอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ต่างจากอาซที่เอาแต่ยิ้มไม่เลิก
“…ฮ่าๆ อย่างนั้นนี่เอง”
วิธีพูดของอาซดูอ่อนโยนขึ้นมาก เทียบกับสีหน้าที่เธอเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้แล้ว ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เขาคงสีหน้าอันอ่อนโยนนั้นไว้และสำรวจดูใบหน้าของอาเรีย ราวกับอยากจะจดจำใบหน้านี้ให้ตราตรึงอีกครั้งเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันเสียนาน
ทั้งสองคนปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงของเรนจากนอกประตู น้ำเสียงของเขากำลังเร่งอยู่
“…ดูเหมือนเวลาจะหมดลงแล้วละครับ กว่างานประชุมครั้งต่อไปจะถูกจัดขึ้น คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย โชคร้ายที่ผมมีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยต้องจัดการครับ และการที่ได้ออกมาเพียงครู่เดียวแบบนี้มันก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจสักเท่าไร หากผมกำหนดวันได้เมื่อไหร่จะรีบติดต่อไปนะครับ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
หลังจากพูดจบอาซก็มองหน้าอาเรียอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะเรนบอกว่าไม่มีเวลาแล้ว ทำให้เขาต้องทิ้งความรู้สึกเสียดายไว้เบื้องหลังแล้วจากไป
เขาอยากเจอฉันจริงๆ เลยมาหาอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมถึงอยากเจอฉันละ เพราะไม่ได้เจอกันนานอย่างนั้นหรือเปล่า
ระหว่างที่ครุ่นคิดตามลำพังอยู่ครู่ใหญ่ เจสซี่ก็เคาะประตูขึ้น หลังจากอาเรียบอกให้เธอเข้ามาได้ เจสซี่ก็ถือชุดน้ำชาเข้ามา ทั้งที่ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่นี้แล้วแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจสซี่ก็ยังจัดวางชุดน้ำชาลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าแจ่มใส
“ดิฉันได้ยินว่าได้น้ำตาลมาแล้วเลยเอามาให้ค่ะ เลดี้ชอบชารสหวานนี่ค่ะ ส่วนเค้กก็กำลังทำอยู่หากทำเสร็จเมื่อไหร่ดิฉันจะไปเอามาให้นะคะ”
เพราะว่านั่นเป็นของขวัญที่มิเอลได้รับ ตามปกติแล้วมันคงจะทำให้เธอรู้สึกอารมณ์เสียแน่ๆ แต่พอคิดถึงความจริงที่เขาเอาของขวัญนั่นมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้พบเธอแล้ว กลับรู้สึกดีขึ้นมาแทน ถึงขนาดสงสัยว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้นได้ง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ
“อะ เลดี้คะ กล่องใบใหญ่นี่คืออะไรกันคะ”
เจสซี่ที่รินชาให้อาเรียหันไปเจอกล่องที่วางอยู่ตรงซอกหนึ่งเข้า เธอถามออกมาอย่างประหลาดใจ
“หืม อ๋อ ของขวัญน่ะ”
จะว่าไปแล้วสถานการณ์เมื่อกี้ก็ทำเอาเธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยยังไม่ได้เปิดกล่องของขวัญดูเสียที แล้วเจสซี่ก็เปิดกล่องของขวัญนั้นอย่างรู้หน้าที่
“ไม่น่าเชื่อ…! ทั้งหมดนี่มันอะไรกันคะ”
เจสซี่ตกตะลึงจนไม่สามารถหุบปากได้ เมื่อมองดูภายในกล่องที่อยู่ข้างๆ แล้ว ก็เห็นได้ว่ามีชุดเดรสและเครื่องประดับหรูหราแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอยู่ในกล่อง
แล้วชุดหรูหราขนาดนี้ฉันจะใส่ไปที่ไหนได้กันเล่า ขืนใส่ออกไปข้างนอกแล้วละก็ มีหวังได้เป็นเป้าสายตาของทุกคนแน่
‘และในเวลาเดียวกัน ก็คงถูกอิจฉาริษยาด้วยเป็นแน่’
หากไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หรือคนที่มีอำนาจสูงสุดแล้วนั้น การใส่ชุดหรูหราโอ่อ่าจนเป็นที่เตะตาแบบนี้ก็มีแต่จะนำภัยมาสู่ตนเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้อาเรียยิ้มออกมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะไถ่โทษที่เคยเลือกปฏิบัติระหว่างมิเอลกับเธอหรอกหรือ แล้วใบหน้าของอาเรียก็มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้น
………………………………………………………………