พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 8
แน่นอนว่าไม่มีใครว่ากล่าวอาเรีย คนเดียวที่สามารถตำหนิเธอได้คือท่านเคานต์ที่ในตอนนี้ออกเดินทางขึ้นไปยังทิศเหนืออันห่างไกล ส่วนเคนก็กลับไปที่สถานศึกษาแล้วด้วย
เคาน์ติสก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องต่อว่าเธอ ส่วนมิเอลที่ไม่มีคนคอยเข้าข้างอยู่ด้วย ยิ่งไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย
“ขึ้นชื่อว่าเด็กแล้ว ใครก็ทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่ไฟไม่ลุกลามไปมากกว่านี้”
“แต่เสื้อผ้าของหนูไหม้ไปหมดเลยนี่สิคะ จะทำอย่างไรดี ทั้งๆ ที่หนูตั้งใจจะออกไปข้างนอกตอนนี้แท้ๆ”
“จะออกไปทั้งๆ ที่ใส่ชุดลำลองก็ไม่ได้ด้วยสินะ คงจะต้องยืมชุดใครสักคนที่ขนาดตัวเท่าๆ กันแล้วล่ะ”
เคาน์ติสเข้าใจถึงจุดประสงค์ของลูกสาวที่น่ารักของเธอได้ในทันที จึงตอบคำถามให้ตรงกับความตั้งใจของอาเรีย จะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เหตุผลว่าอยากซื้อชุดใหม่ ทั้งที่ภายในห้องมีของอย่างอื่นตั้งมากมาย แต่กลับมีแค่เสื้อผ้าเท่านั้นที่ถูกเผาจนหมดเกลี้ยง เรื่องนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
มิเอลขมวดคิ้ว เธอรู้ในทันทีว่าใครสักคนที่เคาน์ติสพูดถึงนั้นหมายถึงเธอแน่นอน ไหนจะสายตาที่มองเธออย่างเป็นนัยนั่นอีก
ราวกับกำลังบอกเธอว่า เพราะเสื้อผ้าถูกไฟไหม้จนหมดจึงจำเป็นต้องซื้อใหม่ หากจะซื้อก็ต้องออกไปข้างนอก และหากจะออกไปข้างนอกก็จำเป็นต้องมีเสื้อผ้า
สาวใช้ของมิเอลทำสีหน้าขึงตึงแสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าอาเรียทำตัวสุภาพขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมิวายก่อเรื่องยุ่งยากให้แก่เจ้านายของตนจนได้
เพราะไม่สามารถจ้องมองชนชั้นสูงได้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต สาวใช้ของมิเอลจึงได้แต่ทอดสายตาลงไปข้างล่าง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถปิดบังสายตาดุดันที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายได้อยู่ดี
‘กล้าดียังไง’
ในอดีตฉันก็เคยถูกมองด้วยสายตาแบบนี้รึเปล่านะ ฉันที่เอาแต่อิจฉามิเอลจนแทบบ้า ไม่เคยคิดจะหันไปมองคนที่อยู่รอบตัวเลยไม่ทันได้สังเกตอะไรเลย
ว่าคนที่อยู่รอบตัว มีแต่คนที่เอาแต่ยุยงส่งเสริมให้ทำแต่เรื่องชั่วร้าย
ถึงจะเป็นสาวใช้ของมิเอลก็ตาม แต่เมื่อถูกจ้างจากตระกลูแล้ว ก็ถือว่าเป็นสาวใช้ของอาเรียด้วยเช่นกัน แต่ทำไมถึงได้กล้าแสดงท่าทีไม่เคารพเธอแบบนั้น
ใจจริงอาเรียอยากจะเช้าไปกระชากผมพวกนั้นเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะมีแต่ข่าวลือร้ายๆ เกี่ยวกับเธอเพิ่มมากขึ้น เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีตแล้วเธอจึงเปลี่ยนใจไม่ทำแบบนั้น
พอได้ย้อนเวลากลับมา เธอก็เข้าใจแล้วว่าการจะทำสิ่งใดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น ยังมีวิธีการที่ได้ผลดียิ่งกว่าการโมโหแล้วอาละวาดเสียอีก
และวิธีการนั้นก็คือวิธีที่คนตรงหน้าเธอใช้มาตลอด โดยที่เธอมาตระหนักถึงมันได้หลังจากถูกตัดคอไปอย่างโง่เง่านั่นเอง
ขอบตาของอาเรียรื้นเป็นสีแดง ดวงตาสีเขียวอ่อนลงด้วยน้ำตาใส หางคิ้วลู่ลงไปด้านข้าง เธอเม้มปากสีชมพูเอิ่มอิ่มราวกับกำลังกลั้นน้ำตาไว้
สายตาหลุกหลิกทำตัวไม่ถูกและมือที่ขยับไปมาของอาเรียในตอนนี้ ทำให้เธอดูเหมือนลูกแมวเปียกฝนที่กำลังสั่นเทาจากความเหน็บหนาว
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ปริปากพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะแตกสลายได้ในไม่ช้า
“พี่ขอโทษจริงๆ มิเอล พี่ไม่ได้อยากรบกวนเธอเลย แต่มันก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้ แน่นอนว่าน้องคงไม่อยากให้พี่ยืมชุดสินะ ในเมื่อมันเป็นของที่มีค่าของน้องนี่นา เดี๋ยวพี่จะใส่ชุดลำลองออกไปข้างนอกเอง ถ้าไปแป๊บเดียวก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก”
ช่างน่าสงสารเสียจริง
คนที่แอบมองท่าทางของอาเรียต่างผุดความคิดเช่นเดียวกันขึ้นมาในหัว เพราะท่าทางของเธอดูน่าสงสารถึงขั้นที่ทุกคนลืมข่าวลือและการกระทำที่ผ่านมาของเธอไปชั่วขณะ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น หากเห็นว่าเด็กหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังเศร้าไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นใคร ก็ต้องเกิดความเห็นอกเห็นใจกันทั้งสิ้น
หากเด็กคนนั้นคืออาเรียด้วยแล้วล่ะก็ เด็กที่เคยทำแต่เรื่องไม่ดีมาตลอดจู่ๆพอได้เห็นท่าทางอ่อนแอขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเห็นใจแน่นอน
ทั้งที่ยังเด็กแท้ๆ แต่ความใส่ใจที่มีต่อมิเอลกลับกว้างใหญ่กว่ามหาสมุทร
แน่นอนว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้มีนิสัยแบบนี้
พื้นเพนิสัยของอาเรียเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ หากอยากได้อะไรเธอจะทำเรื่องร้ายๆ เพื่อให้ได้มันมาครอบครอง และตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกสาวใช้ในคฤหาสน์ต่างได้ยินและได้เห็นถึงสิ่งที่เธอทำมาแล้วทั้งนั้น
หรือว่าเป็นเพราะมีครูสอนมารยาทคอยสั่งสอน พอได้รับการอบรมจึงเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ คิดถึงเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ
อาจเป็นเพราะเธอมาจากชนชั้นต่ำ พอได้รับการศึกษาเลยตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาตัวเองโง่และทำตัวต่ำช้าขนาดไหนก็เป็นได้
เมื่อได้คิดแบบนั้นก็รู้สึกสงสารอาเรียขึ้นมาบ้าง สายตาที่เคยมองอาเรียด้วยความเกลียดชังเสมอมา เปลี่ยนเป็นความสงสาร ความเห็นใจ และเสียใจ
ในระหว่างนั้น เคาน์ติสเฝ้ามองฝีมือการแสดงของลูกสาวตนเองอย่างพึงพอใจ ทำไมถึงเหมือนตัวเธอราวกับถอดแบบมาได้ขนาดนั้น
น่าชื่นชมเป็นอย่างมากที่อาเรียตระหนักได้ว่าการดื้อรั้นอาละวาดอย่างงี่เง่านั้นไม่ก่อประโยชน์อันใดเลย
“พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆ จ้ะ มิเอลอย่าเก็บไปใส่ใจเลย ยังไงเดิมทีพี่ก็มาจากชนชั้นสามัญชนอยู่แล้ว สำหรับพี่มันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไรหรอก”
เนื่องจากอาเรียแกล้งทำตัวน่าสงสารแบบนั้น เลยทำให้มิเอลไม่สามารถปฏิเสธไม่ให้อาเรียยืมเสื้อผ้าได้
หากมิเอลพูดปฏิเสธไปในตอนนี้แล้ว ก็จะถูกมองว่าเย็นชาไร้น้ำใจต่อผู้หญิงน่าสงสารที่ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่เพราะเสื้อผ้าถูกเผาไปหมด
แพขนตาหนายาวของมิเอลสั่นระริก มองดูเหมือนกับนกเกิดใหม่ที่กำลังดิ้นรนหัดกระพือปีก
‘งั้นก็ขอให้ทั้งชีวิตแกทำได้แค่กระพือปีกแล้วร่วงตกลงไปเถอะนะ’ หยดน้ำตาร่วงลงมาจากดวงตาของอาเรีย
ในใจของมิเอลคิดอยากจะกำจัดอาเรียไปให้พ้น เหมือนกับเสื้อผ้าของอาเรียที่ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือชิ้นดี
แต่มิเอลเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไว้ในใจและยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนหวาน การเก็บซ่อนสิ่งที่คิดไว้ในใจและกระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดคือความสามารถอย่างหนึ่งของเธอ
“พูดแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ พี่อาเรีย ยังไงน้องก็ต้องให้ยืมอยู่แล้วค่ะ ดีจังเลยที่ขนาดตัวของเราใกล้เคียงกัน”
“พี่ยืมได้จริงๆ หรือ”
“แน่นอนค่ะ พี่จะยืมไปกี่ตัวก็ได้ค่ะ”
“ขอบใจจะ ขอบใจจริงๆ มิเอล”
อาเรียพูดแล้วจับมือมิเอล รอยยิ้มสดใสของอาเรียดูมีความสุขเป็นอย่างมาก มิเอลที่ไม่ได้คิดว่าจู่ๆ อาเรียจะจับมือของตน ก็พลันตกใจจนเกือบจะปัดมือของอาเรียทิ้งไปเสียแล้ว แต่เธอจำต้องทำไปตามสถานการณ์ในตอนนี้ จึงยิ้มให้อาเรียอย่างไม่เป็นธรรมชาติพร้อมจับมืออาเรียกลับ
ผู้ฟังที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมองดูทั้งสองคนจับมือกันพร้อมกับเกิดความรู้สึกประทับใจ ภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักสองคนที่เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ช่างเป็นภาพที่ดูงดงามยิ่งนัก
สาวใช้บางคนของมิเอลยังเป็นเพียงแค่เด็ก พวกเธอเป็นเด็กที่สามารถเข้าใจอะไรได้ หากได้รับการสั่งสอน ดังนั้นพวกเธอจึงเข้าใจได้ว่าไม่ควรเกลียดอาเรียโดยใช้ต้นกำเนิดมาเป็นข้ออ้าง
ยิ่งได้เห็นว่าอาเรียเข้ากันได้ดีกับเจ้านายของตนแล้ว พวกเธอยิ่งคิดว่าจะทำแบบนั้นไม่ได้
“เลือกชุดที่อยากได้เลยนะคะ พี่อาเรีย”
อาเรียเลือกชุดจากห้องแต่งตัวของมิเอลออกมาหนึ่งชุดตามที่มิเอลบอก เธอเลือกชุดที่ถูกเก็บไว้ในกล่องซึ่งวางไว้ในมุมหนึ่งข้างหลังเสื้อผ้ามากมายที่ถูกจัดเรียงไว้ด้านหน้า
กล่องที่ซ่อนไว้ในที่ซึ่งยากจะหาเจอนั้น ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากสภาพที่สะอาดไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อยราวกับเพิ่งเช็ดไปเมื่อครู่ เมื่อเปิดกล่องดูแล้วภายในมีชุดสีขาวถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบ
ชุดสีขาวเนื้อผ้านุ่มลื่น ไม่มีการตกแต่งพิเศษอะไรนอกจากทับทิมสีแดงรูปทรงดอกกุหลาบติดอยู่ที่หน้าอกของชุดเท่านั้น
นี่เป็นชุดที่มิเอลได้เป็นของขวัญวันเกิดครั้งที่ผ่านมา จากออสการ์ทายาทของดยุกเฟรดเดอริก
เพราะมิเอลเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เธอไม่เคยลองใส่มันเลยสักครั้ง ครั้นจะลองใส่ชุดก็เล็กลงจนไม่สามารถใส่ได้ อย่างนั้นแล้วสู้ให้ตัวเธอใส่ไม่ดีกว่าหรอกหรือ อาเรียคิด
พอมิเอลเห็นชุดที่อาเรียหยิบออกมาก็หน้าซีดภายในพริบตา เธอไม่กล้าแย่งชุดกลับมาได้แต่ยกมือค้างไปในอากาศมองดูน่าขำ
อาเรียถามถึงเหตุผลด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
“หืม มีอะไรหรือจ๊ะ ”
“คือว่า ชุดนี้มัน…เอ่อ…”
ชุดที่เธออุตส่าห์เก็บไว้เป็นอย่างดีไม่ให้ใครเห็น ทำไมอาเรียถึงหามันเจอได้ และเนื่องจากมิเอลแสดงสีหน้าไม่พอใจ อาเรียจึงรีบกล่าวขอโทษและวางชุดลง
“ถึงจะบอกว่าให้เลือกชุดไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นชุดที่สวยแบบนี้น้องคงลำบากใจที่จะให้ยืมเป็นแน่ พี่คิดว่าควรเลือกชุดที่เหมาะสม พอเห็นว่าชุดนี้ไม่ค่อยมีลวดลายอะไรเลยเลือกมาน่ะ สงสัยพี่คงจะเลือกชุดราคาแพงมาสินะ พี่นี่มีตาแต่หามีแววไม่ ยังไงดีล่ะ พี่ควรจะเลือกชุดไหนดี ขอโทษนะมิเอลพี่นี่ไม่มีไหวพริบเลยจริงๆ”
“เอ่อ คือว่า…”
มิเอลเม้มปากล่างไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดให้ต่อต่อเนื่องได้ ถ้าหากว่าเธออายุมากกว่านี้อีกสักหน่อย ก็คงไม่ตกหลุมพรางที่ดูไร้ชั้นเชิงแบบนี้แน่ๆ แต่เพราะอายุแค่สิบปีเท่านั้นเลยแก้สถานการณ์ไม่ถูก
แม้ว่าภายในใจจะเกลียดและเหยียดหยามอาเรียมากเพียงใด แต่ภายนอกเธอคือบุตรสาวที่น่ารักและมีเมตตาเพียงหนึ่งเดียวของท่านเคานต์
อาเรียไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านเคานต์ เธอมาจากชนชั้นต่ำที่ไม่มีอะไรเลย มิเอลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นลูกสาวของท่านเคานต์ ไม่ใช่เพียงแค่มิเอลที่คิดเช่นนั้น แต่ทุกคนต่างก็คิดเฉกเช่นเดียวกันกับเธอ
ดังนั้นถึงแม้ว่าอาเรียจะก่อความวุ่นวาย คนอื่นๆ ก็จะไม่ถือสาอะไรมากมายเพราะกำพืดของเธอมาจากชนชั้นต่ำ ซึ่งต่างกับมิเอล
มิเอลใจดีและมีเมตตาเสมอเธอเป็นคนที่รู้จักให้ นั่นคือภาพลักษณ์ที่เธอสั่งสมมันมา
‘น่าขำสิ้นดี สุดท้ายก็ติดอยู่ในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้น’
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องแต่งตัว ยิ่งมิเอลเงียบนานเท่าไหร่ความกังขาที่อยู่ในใจของคนอื่นก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ในเมื่อเธอบอกเองว่าจะเลือกชุดไหนก็ได้ แล้วทำไมถึงยังไม่อนุญาตสักที
ชุดเดรสสีขาวอยู่ในสภาพที่ถูกพับไว้จึงมองไม่เห็นลวดลายของมัน หากชำเลืองดูด้วยหางตาแล้วก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นชุดที่มิเอลได้รับมาจากออสการ์ ซึ่งอาเรียตั้งใจวางมันไว้แบบนั้น
มิเอลที่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลได้อย่างไร ก็ยอมให้อาเรียยืมชุดไปในที่สุด
“ขอบใจมากนะ! พี่จะใส่มันอย่างดีไม่ให้มีรอยเปื้อนแล้วจะนำมาคืนให้นะจ๊ะ”
“…ค่ะ”
สีหน้าของมิเอลที่ตอบกลับมาดูหมองลง ราวกับดอกลิลลี่เล็กๆ ที่เหี่ยวเฉาลงทันควัน ทำไมถึงดูเข้ากับตราประจำตระกูลได้ขนาดนั้นกันนะ อาเรียประทับใจ
หากเปรียบมิเอลเป็นดอกลิลลี่แล้วละก็ อาเรียก็ยินดีที่เปรียบตัวเองเป็นดั่งดอกยี่โถที่มีพิษ
ดอกไม้ที่สามารถพรากชีวิตผู้คนได้ด้วยพิษรุนแรงในปริมาณเพียงเล็กน้อย หรือดอกกุหลาบที่ดูสง่างดงาม แต่ไม่มีทางให้อภัยผู้ใดก็ตามที่คิดจะแตะต้องตน
ภาพอันน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กสาวสองคนที่ซ่อนความร้ายกาจไว้ใต้การแสดงนั้น ทำเอาหัวใจของผู้ชมทุกคนเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเลยทีเดียว
……………………………………………….