พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 9
อาเรียสวมชุดเดรสเรียบหรูที่ยืมมาจากมิเอล จากนั้นก็ขึ้นรถม้าเข้าเมืองพร้อมกับผู้คุ้มกันสองนายและเจสซี่สาวใช้ประจำตัวของเธอ การที่บุตรธิดาของขุนนางชั้นสูงออกไปข้างนอกโดยไม่มีบุพการีไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ผิดแผกไปจากปกติ แต่สำหรับอาเรียนั้นต่างออกไป
เธอเดินเตร็ดเตร่บนถนนคนเดียวตั้งแต่ตอนที่เธอยังอายุน้อยกว่ามิเอลด้วยซ้ำ และมารดาของเธอก็ไม่รู้สึกว่าการที่เด็กตัวเล็กๆ ทำอะไรด้วยตัวคนเดียวจะเป็นอันตรายมากมายนัก
เพราะคงไม่มีโจรลักพาตัวที่ไหนโง่ถึงขนาดลักพาตัวเด็กผู้หญิงชนชั้นล่างไปนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อาเรียก็ได้เลื่อนชนชั้นแล้ว เธอมีทั้งสาวใช้และผู้คุ้มกันถึงสองนายติดตามไปด้วยยิ่งไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ตรงข้ามกับมิเอล เพราะเธอจะไม่ออกไปข้างนอกคนเดียวเด็ดขาด หากจะไปก็จะต้องมีท่านเคานต์ไปด้วยทุกครั้ง ในอดีตเมื่อครั้งที่มารดาของเธอยังอยู่ก็มักจะเป็นท่านที่พาเธอออกไปไหนมาไหน
แม้ว่าจะมีบ้างนานๆ ครั้งที่เธอออกไปข้างนอกกับเคนสองคนแต่ก็มักจะมีสถานที่หรือจุดหมายการไปที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ไปคฤหาสน์ของขุนนางท่านอื่น หรือไม่ก็ไปร่วมงานสังคมที่มีแต่คนที่รู้จักและสนิทสนมด้วยอยู่ก่อนแล้ว
เธอจะไม่ไปในสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก หรือมีแขกเหรื่อที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความกังวลและความห่วงใยของคนรอบข้างต่อความปลอดภัยของมิเอล
อาเรียนึกขำกับการที่ท่านเคานต์มองว่ามิเอลเป็นเด็กที่มีค่าและน่าทะนุถนอม เธอหัวเราะคิกคักออกมา
และเพราะเสียงหัวเราะที่ดังออกมา ทำให้เจสซี่ที่นั่งกระวนกระวายทำตัวไม่ถูกอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบตาขึ้นมามอง อาเรียที่เห็นก็แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง
ต้นหญ้าที่ดูมีชีวิตชีวา ต้นไม้ ดอกไม้ และผู้คนขวักไขว่วุ่นวาย
ทิวทัศน์ที่ลับหายไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่างรถม้ามองดูแทบไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน นั่นทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
บางครั้งเธอเองก็ยังคงกรีดร้องอย่างไร้เสียงอยู่ในความฝันที่เห็นตัวเองถูกตัดคอ นั่นทำให้เธอไม่สามารถนอนหลับในตอนกลางคืนได้อยู่เลย แต่โลกใบนี้ ณ ปัจจุบันกลับดูสงบสุขมากจนเกินไป
อาเรียคลำคอที่เรียบเนียนไร้รอยแผลของเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าความตายยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ลำคอระหงของเธออยู่เลย
เหมือนกับว่ามันจะร่วงตกลงไปกลิ้งกับฝุ่นบนพื้นได้อย่างง่ายดาย
‘ไม่เป็นไรหรอกน่า จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน’
มือที่สั่นอย่างแปลกประหลาดคลำไปตามลำคอ ในขณะนั้นสายตาก็พลันไปเห็นใบไม้สีเหลืองแก่ร่วงตกลงสู่พื้นดิน
มันเหมือนกับคอของเธอที่กลิ้งไปอย่างน่าเวทนาท่ามกลางคนดูมากมายเหล่านั้น จู่ๆ อาเรียรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
‘ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่ คอที่จะหลุดจากบ่าจะต้องเป็นคอของสองพี่น้องนั่น’
ปาฏิหาริย์ของนาฬิกาคงจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ และสองพี่น้องนั่นจะต้องพบกับความตายอันเป็นนิรันดร์ อาเรียนึกถึงจุดจบของสองพี่น้องที่กำลังดิ้นรนต่อความตายเฮือกสุดท้าย จากนั้นก็กล่อมให้ใจและกายสงบลง
เวลาผ่านไป รถม้าก็มาจอดเทียบร้านบูติกขายเสื้อผ้าราคาย่อมเยาซึ่งเป็นร้านที่คนธรรมดามักจะแวะมาบ่อยๆ แต่หากพอจะมีงบประมาณที่มากขึ้นอีกสักหน่อย ร้านนี้ก็จะไม่อยู่ในตัวเลือกของคนพวกนั้นแล้ว
ตอนอาเรียบอกจุดหมายปลายทางที่เธอต้องการไปให้ทราบนั้น ทำเอาคนขับรถม้าและเจสซี่ต่างก็กะพริบตาเพราะเกรงว่าตนจะได้ยินอะไรผิดไป
แต่ที่หมายที่อาเรียตั้งใจจะไปคือที่นี่ไม่ผิดแน่ คือร้านบูติกที่ขายเสื้อผ้าธรรมดาไม่ได้ดูโดดเด่นร้านนี้นี่แหละ
หากจะสลัดคราบของนางมารร้ายออกแล้ว เธอจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้ กลับกันการแสดงภาพลักษณ์ที่ดูสุขุมรอบคอบและเรียบง่ายไปสักระยะน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เผาเสื้อผ้าไหม้หมดแล้วยังไม่พอ ถ้าขืนเที่ยวใช้จ่ายสุรุ่ยสร่ายอีกละก็ คงจะเกิดข่าวลือไปทั่วจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้แน่ๆ
เป้าหมายของเธอคือการทำให้ข่าวลือนั้นเงียบไป จึงจำเป็นต้องลองใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่มีราคาในสายตาของชนชั้นสูงบ้าง ไม่แน่ว่าหากพวกเขาได้มาเห็นสภาพนั้นของอาเรียแล้ว อาจจะเอาพัดป้องปากและกระซิบกระซาบวิจารณ์การแต่งตัวของเธอเป็นแน่
‘อุ๊ยตาย นี่มันต่างจากข่าวลือที่ได้ยินมาเลยนี่นา คนที่น่าสงสารไม่ใช่มิเอลแต่เป็นอาเรียต่างหาก ดูสภาพที่ซอมซ่อนั่นสิคะ’
หากได้เห็นว่าอาเรียที่เลื่อนชนชั้นขึ้นมาแล้ว ยังใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้ดูหรูหราอยู่นั้น ก็จะทำให้ผู้คนที่เคยนินทาว่าร้ายเธอตระหนักได้ว่าข่าวลือต่างๆ นั้นไม่เป็นความจริงเสียสักนิด
แน่นอนว่ามันอาจจะเกิดข่าวลือทำนองว่าท่านเคานต์ไม่แยแสเธอขึ้นมาก็เป็นได้ แต่เพื่อทิ้งภาพลักษณ์นางมารร้ายแล้ว นั่นเป็นหนทางเดียวที่ทำได้ เทียบกับการแก้ตัวเป็นร้อยรอบแล้วสู้ทำให้เห็นไปเลยจะได้ผลดีกว่า
ถึงยังไงเธอก็คิดที่จะทำแบบนี้ไปเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นค่อยกลับไปใส่เสื้อผ้าหรูหราอีกครั้งก็ไม่เสียหายอะไร
อย่างเช่นการไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงฉลองบรรลุนิติภาวะอย่างสวยงามโอ่อ่าจนทุกคนตกใจหงายหลังอะไรทำนองนั้น และเพื่อความสุขในอนาคตแล้ว ในตอนนี้เธอจึงจำเป็นต้องอดทน
และมันก็เป็นการดีที่จะให้ท่านเคานต์ได้เห็นด้วย แน่นอนว่าหากท่านเคานต์ค้าขายได้กำไรอย่างงามจากการแนะนำของเธอ แต่ดันมาเห็นสภาพการแต่งกายอันซอมซ่อของผู้มีพระคุณเข้าแล้วล่ะก็ คงจะโมโหไม่พอใจเป็นแน่
ยิ่งถ้าเธอร้องไห้ขอโทษที่ตัวเองเผลอเล่นอะไรอันตรายจนเสื้อผ้าไหม้ไปหมด ไม่แน่ว่าท่านเคานต์ที่ได้มาเห็นสภาพน่าสงสารของผู้มีบุญคุณของตนอาจจะร้องไห้ออกมาก็ได้
พอนึกถึงภาพนั้นแล้วริมฝีปากก็แห้งผากขึ้นมา อาเรียเลียริมฝีปากให้ชุ่มขึ้นด้วยลิ้นสีแดงของเธอ แล้วเดินผ่านทางเข้าที่ค่อนข้างเก่าเข้าไปข้างในร้านบูติก
“เชิญเข้ามาข้างในก่อน…ครับ”
เจ้าของร้านที่ทักทายลูกค้าผู้ทรงเกียรติอย่างขอไปทีทำขนมปังที่กำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยร่วงออกจากปาก สาวน้อยที่ปรากฏตัวพร้อมด้วยคนติดตามที่ไม่ใช่แค่หนึ่งคนแต่มีถึงสามคนนั้น ดูยังไงก็บอกได้ว่าเป็นชนชั้นสูงไม่ผิดแน่
เจ้าของร้านรีบเช็ดมือที่เปื้อนน้ำมันจากตัวขนมปังกับเสื้อตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วต้อนรับอาเรียด้วยใบหน้าอ่อนโยน หากเขาทำอะไรผิดพลาดต่อบุคคลชนชั้นสูงแล้วล่ะก็ ได้ลำบากไปตลอดชีวิตเป็นอย่างแน่ ท่าทางของเธอบ่งบอกแบบนั้นอย่างชัดเจน
อาเรียตอบรับการทักทายจากเจ้าของร้านอย่างส่งๆ แล้วหันไปมองรอบๆ ร้าน เริ่มจากเสื้อผ้าที่ดูเก่าปอนไปจนถึงชุดเดรสที่ยังพอดูได้และชุดที่มีเครื่องประดับหลายๆ อย่างแต่งเติมเข้าไป
อาเรียเลือกชุดจำนวนหนึ่งที่พอใช้ได้ในบรรดาชุดเหล่านั้น และบอกทางร้านให้ห่อชุดพวกนั้นให้เธอ ก่อนที่เธอจะเข้ามาอยู่ในบ้านของท่านเคานต์ต่อให้เธออดข้าวเก็บเงินเป็นเวลาสามเดือน ก็ยังไม่สามารถซื้อชุดที่ถูกที่สุดในร้านนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
‘ฉันเคยเดินผ่านร้านนี้ทุกวัน และก็อยากได้เสื้อผ้าที่แขวนโชว์อยู่หน้าตู้โชว์’
แต่ในตอนนี้ต่อให้เธอเหมาทุกอย่างที่อยู่ในร้านนี้ทั้งหมด แน่นอนว่าก็ยังมีเงินเหลืออยู่ แม้มันจะเป็นอดีตที่ผ่านมานานแล้ว แต่ถ้าคิดตามอายุที่แท้จริงของเธอในตอนนี้มันผ่านมาแค่ปีเดียวเท่านั้น
การแต่งงานเพียงครั้งเดียวของแม่เธอ ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จู่ๆ อาเรียก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ของว่างราคาถูกกับน้ำชาที่มีไอร้อนฟุ้งกระจายถูกเตรียมไว้บนโต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เจ้าของร้านนำทางอาเรียไปที่โต๊ะพร้อมเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ชั้นบนของร้านเรายังมีเสื้อผ้าคุณภาพดีเตรียมไว้อยู่นะครับ เลดี้ไม่ขึ้นไปชมสักหน่อยจะดีหรือครับ ”
“ไม่เป็นไร ช่วยคิดเงินของที่เลือกไปก็พอแล้ว”
“ได้ครับผม จะทำตามที่สั่งเดี๋ยวนี้เลยครับ อย่างนั้นแล้วกรุณาเพลิดเพลินไปกับอาหารว่างระหว่างรอสักครู่นะครับ”
รสชาติของเนยราคาถูกที่คลุ้งอยู่เต็มปาก กลับให้ความรู้สึกคิดถึงมากกว่าไม่ชอบใจ
แล้วเธอก็คิดกับตัวเองว่าบางทีเมื่อก่อนตอนที่เธอยังต้องอดๆ อยากๆ และไม่รู้จักอะไรนั้น อาจจะดีเสียกว่าตอนนี้ที่ฟุ่มเฟือยทำทุกอย่างได้ตามต้องการก็เป็นได้
ผู้คุ้มกันรับหีบห่อเสื้อผ้าทั้งสิบชุดไปถือและเจสซี่เป็นคนจ่ายเงิน ปลายทางที่เธอจะไปต่อจากนี้ก็คือร้านสารพัดสิ่งที่นาฬิกาทรายถูกรับไปซ่อมไว้นั่นเอง ถ้าไปรับนาฬิกาทรายแล้วกลับคฤหาสน์ก็ถือว่าเสร็จสิ้นสิ่งที่เธอต้องทำในวันนี้แล้ว
‘ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเสียดายขึ้นมานิดหน่อย’
เมื่อลองมองดูรอบๆ แล้วอาเรียก็นึกขึ้นได้ว่าในอดีตเธอไม่เคยที่จะหันไปมองรอบตัวก่อนออกจากร้านเลย จำได้เพียงแค่ว่าเธอเอาแต่บ้าคิดที่จะซื้อของ จนไม่เคยหันมองรอบข้างเลยสักครั้ง
ก่อนที่ผู้คุ้มกันจะช่วยพยุงเธอขึ้นรถม้า อาเรียหันไปมองดูผู้คนที่ผ่านไปมาหน้าร้านบูติก
เนื่องจากเป็นละแวกที่คนธรรมดามักจะสัญจรไปมาบ่อยๆ เธอเห็นเด็กๆ ที่แต่งตัวปอนๆ หน้าตามอมแมมวิ่งไปมาเอะอะโวยวาย
พ่อค้าแม่ขายที่วางสิ่งของเต็มอยู่แผง ตะเบ็งเสียงดังจนคอแทบแตกเพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจของลูกค้าให้ได้สักนิด และนักท่องเที่ยวบางคนที่เกิดความสนใจก็จะชำเลืองมองสินค้า
เมื่อก่อนเธอมักจะมาวิ่งเล่นอยู่แถวบริเวณนี้ เพราะตัวคนเดียวเลยไม่สามารถไปไหนไกลได้ จึงได้แต่เล่นอยู่บริเวณใกล้ๆ นี้
แม้ความทรงจำส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทะเลาะกับเด็กที่มักจะดูถูกแม่ของเธอว่าเป็นโสเภณีก็ตาม แต่ก็ยังมีความทรงจำดีๆ ที่เธอเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานอยู่
แต่ในตอนนี้จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตรงใจกลางของสนามรบที่ไม่มีวันสิ้นสุดกับผู้คนที่แสร้งทำตัวหรูหราภายนอกเพื่อซ่อนรูปลักษณ์อันน่าเกลียดไว้ภายใน โดยที่มีลมหายใจเป็นเครื่องค้ำประกัน
ตัวเธอในอดีตรู้สึกมีความสุขตรงไหนกันแน่ ในเมื่อมันเป็นเพียงสนามรบที่มีแต่ความทรมานและน่าขนลุกเท่านั้น
อาเรียมองดูผู้คนอยู่หน้ารถม้าและไม่เคลื่อนไหวสักพัก จนผู้คุ้มกันค่อยๆ ถามเธอขึ้นมา
“เลดี้มีที่อื่นที่อยากจะแวะหรือครับ ”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น”
ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะหวนคิดถึงอดีตอันห่างไกลที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ขณะที่อาเรียหันหลังกลับเพื่อที่จะขึ้นรถม้านั้น เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากดังขึ้นมา
“บริการเช่าหนังสือพิมพ์ครับ! 5 ชิลลิ่งต่อ 10 นาทีครับ! มีข่าวสำคัญตีพิมพ์อยู่ด้วยนะครับ! เพียงแค่ 5 ชิลลิ่งเท่านั้นครับ! ”
อาเรียชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าไว้ แล้วหันไปยังทิศทางของเสียง เธอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเรียกลูกค้าพร้อมกับถือกระดาษหนึ่งแผ่นไว้ในมือข้างหนึ่ง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่อาเรียรู้จักเป็นอย่างดี และยังเป็นเด็กที่เคยเล่นด้วยกันในบางครั้งอีกด้วย
เด็กคนนั้นมีชื่อว่าฮันส์เขามีอาชีพให้เช่าหนังสือพิมพ์ เด็กหนุ่มที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยหนังสือพิมพ์เพียงหนึ่งแผ่น เขาหาเศษเงินด้วยการให้เช่าหนังสือพิมพ์หนึ่งแผ่นที่เขาหาได้ในวันแรกของเดือนจนถึงเที่ยงคืน
เขายุ่งกับการเดินไปโน่นมานี่ตลอดเวลาจนเท้าแตกแห้งและมีแผลพุพอง อยู่เสมอ ในภายหลังเธอได้ยินข่าวลือว่าเขาถูกรถม้าชนในขณะที่ออกมาทำงานทั้งที่ป่วยอยู่
‘หนังสือพิมพ์งั้นเหรอ’
จะว่าไปแล้วเธอก็ต้องการข้อมูลอยู่พอดี แม้ที่บ้านของท่านเคานต์จะมีหนังสือพิมพ์ส่งมาทุกวันก็ตาม แต่นั่นเป็นหนังสือพิมพ์ที่จัดทำสำหรับเหล่าขุนนางชนชั้นสูงซึ่งต่างไปจากหนังสือพิมพ์ที่คนทั่วไปอ่านกัน
เมื่อเทียบกับหนังสือพิมพ์ของพวกชนชั้นสูงที่มีข้อมูลข่าวสารถูกเรียบเรียงไว้อย่างเรียบง่ายแล้วนั้น หนังสือพิมพ์ของคนทั่วไปจะมีข่าวลือต่างๆ ถูกรวมเอาไว้
แม้ว่าเกินครึ่งจะเป็นเพียงเศษกระดาษที่เต็มไปด้วยเรื่องโกหกก็ตาม แต่ในบางครั้งก็มีเรื่องจริงอยู่ด้วย อ่านไปก็ไม่ได้เสียหายอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็รู้เรื่องในอนาคตแน่ชัดอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะหวั่นไหวไปตามข่าวลือแน่นอน
“เจสซี่ ไปซื้อหนังสือพิมพ์ให้หน่อยสิ บอกไปว่าจะจ่ายให้เท่ากับเงินที่หาได้ทั้งเดือนเพราะฉะนั้นขายให้เราซะ และทุกครั้งที่มีหนังสือพิมพ์ออกมาใหม่ก็ซื้อเข้ามาให้ด้วยนะ”
“คะ อ๋อค่ะ เลดี้”
คำพูดของอาเรียที่บอกให้ไปซื้อเศษกระดาษที่ไม่ต่างจากขยะนั้น ทำให้คนที่ติดตามเธอมาเกิดความคิดในแง่ลบขึ้นมาในหัว ‘จะอ่านหนังสือพิมพ์ที่สกปรกและเนื้อหาล่อตาแบบนั้นน่ะนะ กำพืดเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นสินะ’
อาเรียอ่านหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาอย่างช้าๆ เธอไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดเช่นไร เนื่องจากระยะทางจากร้านบูติกถึงร้านสารพัดสิ่งไม่ได้ไกลกันมากนัก เธอเลยอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดไม่ได้มากนัก เพียงแค่เช็กดูพาดหัวข่าวคดีใหญ่ๆ อย่างคร่าวๆเท่านั้น
[ผู้คนเหล่านั้นหายตัวไปอยู่ที่ใด]
หลังจากอ่านหัวข่าวที่เขียนด้วยลายมือขนาดใหญ่แล้ว เธอก็รู้ในทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร
นี่เป็นคดีค้ามนุษย์ในราชอาณาจักรที่ไม่มีระบบทาส มันเป็นเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นอย่างลับๆ ในคาสิโนอันหรูหรา
ผู้คนที่ถูกลักพาตัวไปขังในคุกชั้นใต้ดินของคาสิโนเมาสารเสพติดจนหนีออกมาไม่ได้ พวกผู้หญิงถูกทำร้ายและถูกขายให้เป็นทาสค้าประเวณี ส่วนผู้ชายถูกขายแรงงานให้กับต่างประเทศ และต้องทำงานหนักจนกว่าจะตาย
เหตุผลที่อาเรียจำเรื่องนี้ได้แจ่มชัดขนาดนี้ก็เพราะมันเป็นคดีที่เจ้าชายเป็นคนเปิดเผยนั่นเอง เพราะมันถูกประกาศอย่างเป็นทางการจึงทำให้ผู้คนพูดถึงคดีนี้กันอย่างเซ็งแซ่และลือกันไปพักใหญ่
‘คดีที่เจ้าชายเป็นคนเปิดเผยงั้นเหรอ…’
อาเรียรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีความเชื่อมโยงบางอย่าง เธออ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์และพยายามทบทวนความจำแต่นึกอะไรที่เกี่ยวข้องไม่ออก
ในตอนนั้นเธอยังเด็กจึงไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ เพียงแค่ได้ยินคนพูดลือกันและเธอรู้เพียงว่ามันเป็นคดีแบบไหนแค่นั้น
ถึงจะบอกว่าเธอรู้เรื่องในอนาคตมากแค่ไหน แต่การจะเข้าไปใกล้ชิดสนิทกับเจ้าชายนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกินกำลัง
ถึงในอดีตจะมีผู้ชายหลายคนในอาณาจักรหลงใหลไปกับหน้าตาที่มีเสน่ห์ของเธอก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยได้เห็นแม้แต่เงาของเจ้าชายเลย นั่นเพราะเขาอยู่ในสังคมที่ต่างไปจากเธอ จึงไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกัน
แค่เธอมีซาร่าที่จะกลายเป็นภริยาท่านมาควิสในภายหลังมาเป็นพวกก็เพียงพอแล้ว อนาคตอันมั่นคงที่จะช่วยปกป้องเธอได้ แล้วไหนจะยังมีออสก้าที่จะได้เจอกันในเร็วๆ นี้อีก
โอกาสที่เธอจะได้เลือกเดินไปในเส้นทางที่ต่างจากอดีตอาจจะบังเอิญเกิดขึ้นมาในสักวันหนึ่งก็ได้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้แน่นอน ร่างกายที่ยังเด็กนี้ทำอะไรได้ไม่มากนัก เพียงแค่เธอไปเดินเตร่ใกล้ๆ คาสิโนก็อาจจะทำให้มีทหารตรวจตราความสงบออกมาก็เป็นได้
อาเรียปัดเรื่องคดีค้าทาสของคาสิโนออกไปจากความคิด
……………………………………………………