พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 98
อาเรียรอคำตอบจากเบอร์รี่ที่เอาแต่พึมพำอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงถามต่อ
“ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“อึ่ก…”
ด้วยความที่ปากของเธอโดนอุดอยู่ ทำให้ไม่สามารถพูดชัดๆ ได้ เบอร์รี่จึงพยักหน้าเป็นการตอบตกลง
หลังจากนั้นอาเรียก็คลายเชือกที่รัดไว้ให้และดึงผ้าปิดปากออก เพื่อปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แล้วกล่าวบรรเลงสิ่งที่เธอจะต้องทำ
“ง่ายมาก แกแค่ต้องบอกความจริงไม่กี่คำเท่านั้นเอง”
“ค่ะ ค่ะ…!”
เธอตอบพร้อมพยักหน้าราวกับว่าหากอาเรียสั่งให้เธอลงไปเลียดินโคลนสกปรกๆ ตรงนี้ตอนนี้ เธอก็พร้อมจะทำตามเสียเดี๋ยวนั้น
อาเรียที่รู้สึกพึงพอใจก็ยิ้ม แล้วพูดต่อ
“พรุ่งนี้พอเช้าแล้วให้กลับมาที่คฤหาสน์ทันทีเลยนะ สารภาพให้หมดว่าแกทำอะไรไปบ้าง แล้วใครเป็นคนสั่งให้ทำ”
ทว่าสุดท้ายแล้ว หน้าของเบอร์รี่ก็ซีดเผือด หลังจากได้ยินเธอบอกว่าให้สารภาพ
“…คะ ตะ แต่ถ้าทำเช่นนั้น…”
ถ้าตัวเองสารภาพเรื่องที่ทำลงไป ก็จะต้องโดนเหล่าองครักษ์พาตัวออกไปทันที ดีไม่ดีอาจจะโดนตัดหัวทิ้งเสียตรงนั้นเลยก็ได้
ความเคลือบแคลงไม่เชื่อใจลอยขึ้นมาในนัยน์ตาเธอ เธอคงจะคิดว่าหากเธอสารภาพ เธอคงจะโดนส่งเข้าคุกไปพร้อมกับคนร้ายตัวจริง
โง่อะไรเช่นนี้
อาเรียหัวเราะเยาะก่อนจะตอบกลับ ราวกับสิ่งที่เบอร์รี่คิดนั้นแสดงให้เห็นออกมาอย่างชัดเจน
“เบอร์รี่ ถ้าฉันอยากฆ่าแก ฉันคงไม่มาที่นี่คนเดียวแบบนี้หรอกจริงไหม ฉันจะให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกวันเพื่ออะไร”
ทันใดนั้นเบอร์รี่ที่กังวลอยู่พักหนึ่งก็ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
“เลดี้ตั้งใจจะจับคนร้ายตัวจริงหรือคะ…”
ช่างเป็นคำตอบที่ฟังดูกล้าหาญมากสมกับเป็นหญิงสาวที่กล้าวางยาผู้อื่น
อาเรียยิ้มแล้วถามว่าทั้งที่เธอฉลาดขนาดนี้ แต่ทำไมถึงทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นกัน
“ใช่แล้ว ฉันอยากจับคนร้ายตัวจริงให้ได้นั่นแหละ แล้วก็หวังว่าคนร้ายตัวจริงจะยอมรับผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียว ถ้าเธอที่ผู้สมรู้ร่วมคิดเอาตัวรอดหนีไปคนเดียว คนร้ายตัวจริงคงรู้สึกไม่ค่อยแฟร์นัก”
นัยน์ตาของเบอร์รี่สั่นระริก ดูเหมือนจะยังคงสงสัยว่าอาเรียจะช่วยเธอจริงๆ หรือไม่
อาเรียพูดอย่างขี้เล่นพลางใช้นิ้วม้วนผมของเธอเล่น
“ถ้าไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้แหละนะ… แต่ลองคิดดูแล้วกัน ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะคลี่คลายได้ด้วยการที่แกวิ่งหนีไปทั้งที่ยังมีการตามจับแบบนี้หรอกใช่ไหมล่ะ คิดว่าจะหนีและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้สักกี่น้ำกันหรือ”
เธอเกิดกลัวขึ้นมา จึงทรยศเอ็มม่าแล้ววิ่งหนีไป
เบอร์รี่ไม่มีใครคอยช่วย หากเธอยังวิ่งหนีแบบนี้ต่อไป ไม่นานเธอก็คงโดนจับ
“เพราะอย่างนั้นแกก็ต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสสุดท้ายที่ฉันให้แกสิ”
อาเรียตัดคำว่าถ้าไม่อย่างนั้นแกก็จะไม่ปลอดภัยทิ้ง แต่เบอร์รี่กลืนน้ำลายแห้งราวกับว่าเธอรู้
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะปล่อยให้แกเป็นคนเลือกเองแล้วกัน จะพูดแก้ตัวอย่างไรก็ได้ จะขอซื้อความเห็นใจว่าครอบครัวถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะ และเหนือสิ่งอื่นใดคือฉันก็ยังไม่ตายด้วยไม่ใช่หรือ ลองคิดแล้วแต่งเรื่องขึ้นมาให้ดีล่ะ เพราะมันอาจจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายของแกก็ได้”
ในตอนที่อาเรียที่พูดเช่นนั้นแล้ววางเหรียญลงบนพื้นบอกให้เธอเอาไปหาซื้ออะไรกิน และหันกลับไปนั่นเอง
“คือ คะ เลดี้คะ…!”
อาเรียได้ยินเสียงเบอร์รี่จากทางด้านหลัง เสียงนั้นฟังดูมีแรงเหมือนกับว่าเธอตัดสินใจได้แล้ว
เร็วเหมือนกันนะ ใช่แล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว
เมื่ออาเรียหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอดสดใส เบอร์รี่ก็กลอกตาไปรอบๆ ก่อนจะเปิดปากพูด
“ดะ ดิฉันต้องไปคฤหาสน์อย่างไรหรือคะ…”
อาเรียที่ไม่ทันได้คิดถึงคำถามอันเป็นความจริงเรื่องนั้น ก็ทำตาโตพลางเอามือปิดปากตัวเอง
“ตายจริง ฉันเกือบให้เธอต้องเดินกลับเสียแล้วสินี่ เดี๋ยวตอนเช้าฉันจะส่งรถม้ามารับ ขึ้นรถคันนั้นมาแล้วกัน”
เบอร์รี่พยักหน้า แล้วตอบว่าเธอจะทำเช่นนั้น สีหน้าสงสัยจนถึงเมื่อกี้ได้หายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่เพียงสีหน้าปราศจากความสงสัยด้วยความที่เชื่อว่าอาเรียจะช่วยเธอได้
อาเรียมองดูสีหน้าที่เป็นที่น่าพึงพอใจนั้นอีกทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากโกดังไป พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารอกำหนดการสนุกๆ ของวันพรุ่งนี้
* * *
หลังจากไปหาเบอร์รี่ อาเรียก็ตั้งใจรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เธอจึงตระเตรียมรถม้าและอาหารทั้งหลายแหล่ไว้สำหรับให้เบอร์รี่อพยพออกไปนอกอาณาจักร
แอนนี่ที่ช่วยอาเรียเตรียมโดยที่ไม่รู้อะไร ก็เอียงคอถาม
“เลดี้คะ เลดี้จะไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ หรือคะ ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้น รถม้านี่มันก็ดูธรรมดาไป…”
“ใครบางคนกำลังจะไปเที่ยวที่ไกลๆ น่ะ”
ไกลมากจนไม่สามารถกลับมาได้อีกเลยล่ะ
อาเรียอ่านหนังสือกับจดหมายระหว่างรอเบอร์รี่ โดยที่ไม่ตอบคำถามของแอนนี่ว่าเธอทุ่มเทเตรียมของพวกนี้ไปเพื่อใครกันแน่
ทว่าช่วงยามเช้าและเวลาที่เบอร์รี่ควรจะมาปรากฏตัวให้เห็นได้แล้วนั้นได้ผ่านไป แต่เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเบอร์รี่ อาเรียจึงรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่าบอกนะว่าเธอเปลี่ยนใจแล้ว
“เลดี้คะ เลดี้ต้องทานอาหารเที่ยงนะคะ”
“…ก็ควรจะอย่างนั้นแหละ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
แอนนี่รบเร้าอาเรียให้ลงไปที่ห้องอาหาร เพราะเธอไม่ยอมขยับไปไหนแม้จะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว
ฉันมั่นใจว่าฉันส่งรถม้าไปให้ตอนเช้าแล้วนี่ แต่ทำไมยังมาไม่ถึงอีก
ในขณะที่อาเรียกำลังจะออกจากห้อง พลางคิดกังวลไปว่าเบอร์รี่อาจจะเกิดกลัวขึ้นมาแล้วหนีไปอีกนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่ออาเรีย
“เลดี้อาเรีย”
“…!”
พอเธอหันกลับไป ก็เห็นอะไรบางอย่างสีดำอยู่ข้างประตู อาเรียตกใจจนเกือบกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะตรวจดูใบหน้าที่เผยออกมาเล็กน้อยภายใต้เสื้อคลุมที่ปิดบังใบหน้าอยู่
คนคนนั้นก็คือเบอร์รี่ที่ไม่ยอมมาปรากฏตัวจนกระทั่งหมดช่วงเช้า
“…แกมีความสามารถที่ทำให้คนตกใจสินะ”
คงจะเพราะว่าเธอเป็นสาวใช้ที่ทำงานอยู่ในคฤหาสน์มาเป็นเวลานาน ทำให้เธอขึ้นมายังชั้น 3 ได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เบอร์รี่ที่เห็นแอนนี่หลังจากอาเรีย ก็รีบเอาผ้าคลุมคลุมหน้าตัวเอง
“ใครคะ”
“แขกฉันเอง เธอกลับห้องไปก่อน อาหารวันนี้คงต้องขอผ่านไปก่อนนะ”
“อีกแล้วหรือคะ ให้เอาข้าวต้มหรืออะไรมาให้ไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร”
เพราะไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็คงไม่มีใครได้กินข้าวกลางวันอยู่แล้ว
หลังจากส่งแอนนี่ที่ดูเป็นห่วงเธอออกไป เธอและเบอร์รี่ก็เข้าห้องไปด้วยกัน เบอร์รี่ยืนอยู่กลางห้องของอาเรียด้วยท่าทีระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ทำไมแกถึงมาห้องฉันแทนที่จะทำเรื่องที่ต้องทำล่ะ”
“…ขออภัยด้วยที่ดิฉันต้องพูดแบบนี้ แต่ดิฉันคิดว่าต้องมาตรวจเช็กให้แน่ใจว่ามีทางที่ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้จริงน่ะค่ะ”
อาเรียที่ได้คาดการณ์เรื่องนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็บอกเธอว่าไม่ต้องกังวล แล้วเปิดหน้าต่างให้เธอดู ภายนอกหน้าต่างมีรถม้าสำหรับเธอรอรับเธออยู่
“นั่นเป็นรถม้าของฉันจริงๆ หรือคะ”
“จริงสิ กระทั่งอาหารต่างๆ ฉันก็เตรียมไว้ให้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล แล้วก็ค่าเดินทางไว้ให้อีกจำนวนมากเลยล่ะ”
อาเรียนำกระเป๋าที่เธอใส่ไว้ในลิ้นชักออกมา ภายในนั้นมีเหรียญทองมากพอที่จะกินอยู่ไปได้ทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำงาน
เบอร์รี่ที่ตรวจดูของพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ถอนหายใจยาวราวกับได้ตัดสินใจแล้ว และหายไปจากห้องของอาเรีย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
“กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของใครนั้นดังก้องขึ้นมาจากคฤหาสน์ชั้น 1 ที่เคยเงียบสงบมาตลอด เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนอันน่าหนวกหูที่ดังตามมาดังขึ้นมาถึงห้องของอาเรียที่อยู่บนชั้น 3
มุมปากของอาเรียถูกยกขึ้นไปอย่างเบาๆ
‘เพลงอะไรบนโลกนี้จะเพราะไปกว่านี้อีกกัน’
อาเรียชื่นชมไปพลางขณะที่ค่อยๆ เดินลงบันไดราวกับนั่นเป็นเสียงเพลงของพรีมาดอนนา เธอพบเบอร์รี่ที่ถูกเหล่าคนรับใช้ร่างกายแข็งแกร่งจับตัว และถูกกดลงกับพื้นอย่างแรง
ใบหน้าที่ถูกกดลงกับพื้นนั้นช่างน่าสงสารจนเธอเบิกตากลมโพลงขณะที่เอามือปิดปาก
“คะ เลดี้อาเรีย!”
“เลดี้! ตรงนี้อันตรายค่ะ!”
แม้ว่าคนที่อันตรายที่สุด ณ ที่ตรงนี้ก็คืออาเรีย แต่เหล่าคนรับใช้และสาวใช้กลับเป็นห่วงเธอ แล้วเพิ่มแรงมือที่จับเบอร์รี่อยู่
อาเรียสงสัยว่าเธออาจจะตายก่อนจะสารภาพก็ได้ เธอมองใบหน้าของเธอที่ถูกบดขยี้ลงกับพื้นอย่างแรงแล้ว น้ำตาของเธอก็คลอขึ้นมาราวกับหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ท่านเคานต์ที่ออกมาจากห้องอาหารทีหลัง ก็ขึ้นเสียงถามว่าเอะอะอะไรกัน
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นถึงได้เอะอะโวยวายกันขนาดนี้!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายค่อนข้างดังมากขนาดที่มื้ออาหารต้องหยุดลงกลางคัน มิเอลกับเคนตามหลังท่านเคานต์มา และเคาน์ติสก็เดินออกมาคนเดียว ทุกคนมีสีหน้าไม่พอใจกับสถานการณ์นี้
“ทะ ท่าน”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
เมื่อเจ้าของคฤหาสน์ตัวจริงปรากฏตัวขึ้น คนรับใช้และเหล่าสาวใช้ที่มารวมตัวอัดแน่นกันอยู่ในห้องโถง ต่างก็เปิดทางให้มองเห็นเบอร์รี่ที่โดนจับตัวอยู่ได้อย่างชัดเจน
“…บะ เบอร์รี่!”
สีหน้าของมิเอลที่เห็นเบอร์รี่นั้นย้อมไปด้วยสีหน้าตกใจจนจะเป็นลม ตาที่เบิกโพลงของเธอดูราวกับจะถลนออกมา
เธอจะรู้สึกหวาดหวั่นและตกใจกลัวขนาดไหนกันนะที่เห็นคนที่ทรยศตัวเองกลับมาอีกครั้งเช่นนี้ เอ็มม่าที่ตามหลังเธอมาเองก็อ้าปากค้างและตัวแข็งทื่อ
ท่านเคานต์รู้สึกอับอายเพราะเขาไม่รู้และไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะคลานกลับมาที่คฤหาสน์ของเขาด้วยเท้าของตัวเองได้ เขารีบตะโกนให้เรียกเหล่าทหารมา ส่วนเคาน์ติสนั้นขาอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น เคนรีบวิ่งเข้าไปขวางทางด้านหน้าของอาเรียราวกับจะปกป้องเธอ
“ดิฉัน…! มะ มีเรื่อง…! อึ่ก จะ จะพูด…ค่ะ!”
เบอร์รี่พยายามเค้นเสียงออกมาได้ในท้ายที่สุดจากสภาพที่ถูกกดขี่
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เธอ และมิเอลก็ล้มพับลงพร้อมเอามือกุมหัวตัวเองแล้วบอกว่ากลัว ราวกับตั้งใจจะหยุดเธอไม่ให้พูด
“ระ เราต้องปิดปากเธอแล้วเรียกทหารมาสิคะ! เธออันตรายมากนะคะ!”
เอ็มม่าเปล่งเสียงดังมากเกินไปและทำให้วุ่นวายหนวกหู แต่อาเรียก็ไม่ยอมให้โอกาสอันน้อยนิดที่เบอร์รี่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาหลุดมือไปง่ายๆ
“…มะ เหมือนว่าเบอร์รี่…มีเรื่องสำคัญบางอย่างจะพูดนะคะ”
ในตอนนั้น อาเรียพูดพร้อมกับจับแขนเสื้อเคนที่ยืนอยู่หน้าเธอ เสียงของเธอเบาขนาดที่มีเพียงแค่เคนเท่านั้นที่ได้ยิน
เคนมองมือของอาเรียที่จับแขนเสื้อของตัวเองและใบหน้าซีดเซียวของเธออยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ยืนกรานเสียงดังว่าเราจำเป็นต้องลองฟังสิ่งเบอร์รี่จะพูดดู
“เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่แรงนะครับ และยังถูกคุมตัวอยู่ด้วย คงไม่มีอันตรายอะไรหรอกครับ กว่ากองทหารจะมาคงใช้เวลาอีกสักพัก เราต้องลองฟังดูว่าทำไมเธอถึงโผล่มาปรากฏตัวที่นี่ครับ”
ท่านเคานต์พยักหน้ากับคำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลของเขา ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปดั่งใจหวัง มีเพียงมิเอลและเอ็มม่าเท่านี้ที่เหงื่อแตกพลั่กเผยให้เห็นความหวาดกลัว
“ตะ แต่ว่า ถะ ถ้าเกิดเธอมีอาวุธอยู่ที่ตัวจะทำอย่างไรคะ ฉันกลัวเหลือเกินค่ะ…!”
ด้วยท่าทีน่าสะอิดสะเอียนนั้นทำให้อาเรียโผล่หัวของเธอมาจากทางด้านหลังของเคน และตอบกลับราวกับเข้าใจความรู้สึกของเธอ
“ก็จริงอยู่นิดหนึ่งนะคะ ถ้าอย่างนั้นมิเอล เธอขึ้นห้องไปจะไม่ดีกว่าหรือ มีบางส่วนที่ฉันเดาๆ ไป ก็เลยอยากจะลองฟังเธอดูให้ได้น่ะ…”
“ใช่แล้วค่ะ เลดี้ ขึ้นห้องไปดีกว่านะคะ”
สีหน้าของเอ็มม่าแย่ลงเมื่อแอนนี่ผู้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับทาสของอาเรียนั้นช่วยเธอ เธอจะเจ็บใจแค่ไหนกันนะที่มีสาวใช้ถึงสองคนหักหลังพวกเธอ
“มิเอล ก็อย่างที่ลูกพูดล่ะ มันอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ ลูกขึ้นไปก่อนเถอะ”
ท่านเคานต์เองก็ขอให้เธอที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องครั้งนี้ขึ้นไปก่อน สุดท้ายมิเอลก็เกาะแขนเอ็มม่าไม่ปล่อย แล้วบอกว่าคงไม่เป็นไรเพราะมีคนอยู่ด้วยเยอะขนาดนี้ อาเรียแอบมองมิเอลที่ทำเช่นนั้นแล้วก็กลั้นขำอยู่ด้านหลังเคน
ในตอนที่ได้เปิดโอกาสให้เบอร์รี่พูดนั้น แรงที่คุมตัวเธอไว้แน่นก็คลายลงเล็กน้อย
เบอร์รี่มองดูนัยน์ตาส่องประกายของอาเรีย เธอสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อที่จะได้พูดออกมาได้อย่างไม่อยากเย็น ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากพูด
“…คะ ความจริงแล้วดิฉันถูกขู่ค่ะ ว่าถ้าไม่วางยาในน้ำชาของอาเรีย จะฆ่าครอบครัวดิฉันให้หมดทุกคนน่ะค่ะ”
เอ็มม่าที่ได้ยินคำโกหกนั้นกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ พอมองไปที่ดวงตาคู่โตราวกับจะถลนออกมา เธอดูอย่างกับว่าอยากจะตะโกนถามว่าพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่
เสียงของเบอร์รี่ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางห้องโถงที่รายล้อมไปด้วยความเงียบสงัด
“ดิฉันก็เลยไม่มีทางเลือก… รับยาพิษมา… แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจใส่ยาพิษลงในชาของเลดี้ไม่ได้ ดิฉันลังเลและคิดอยู่หลายครั้ง และเลดี้อาเรียก็สังเกตเห็นดิฉันมีท่าทีกังวลใจ แล้วถามหาเหตุผลอยู่หลายครั้งค่ะ”
คำพูดนี้ทำให้ความสนใจโดนดึงไปหาอาเรีย พร้อมกับสายตาของเบอร์รี่ที่เต็มไปด้วยความกังวล
น้ำตาเอ่อขึ้นมาบนใบหน้าอันซีดเซียวของเธอ ก่อนจึงตอบกลับไปในขณะที่ใบหน้าอยู่ด้านหลังเคน
“ฉะ ฉันจำได้ค่ะ… ท่าทีของเบอร์รี่แปลกไปอย่างเห็นได้ชัดค่ะ… ฉันก็เลยบอกไปว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นให้บอกฉันมาเถอะ แต่ว่า… ฮึก”
เมื่อน้ำตาของอาเรียซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตตัวบาง เคนก็ยืดตัวแข็งขึ้น
ด้วยความที่ยังพูดไม่จบ อาเรียเปิดปากจะพูดอีกครั้งหลังจากบีบน้ำตาอยู่พักหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ จู่ๆ พอนึกถึงเรื่องในตอนนั้นแล้ว ก็รู้สึกสงสารเบอร์รี่มากๆ เลยค่ะ… อย่างไรก็ตาม ฉันได้แนะนำให้เบอร์รี่เลือกทางที่ตัวเธอเองจะมีความสุขค่ะ ดังนั้นฉันก็เลยบอกว่าไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร ฉันก็จะยกโทษให้ค่ะ ฉันไม่รู้รายละเอียด แต่… ฉันคิดว่าเธอคงถูกเรื่องไม่ดีอะไรบางอย่างรบกวนใจอยู่น่ะค่ะ เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนั้นเบอร์รี่ก็เลยใส่มันลงไปในชา…! ดังนั้นแล้วเธออาจจะไม่ผิดก็ได้ค่ะ เพราะฉันเป็นคนกระตุ้นให้เธอทำเองค่ะ ฮึก…”
อาเรียที่อารมณ์เริ่มอ่อนไหวอีกครั้งก็บีบน้ำตาออกมา เนื่องจากมีข่าวลือก่อนหน้านี้แล้วว่าคนร้ายตัวจริงเป็นคนอื่น ทำให้ผู้คนที่มารวมตัวกันในห้องโถงต่างก็เข้าใจโดยไม่นึกสงสัยอาเรีย และรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับความเศร้าโศกของเธอ มีแค่แอนนี่และเจสซี่ซึ่งจำสถานการณ์ทั้งหมดได้นั้น ทำได้เพียงเอียงคอไปมาด้วยความสงสัย
และแล้ว
“…ถ้าอย่างนั้นคนร้ายตัวจริงคือใครกันล่ะ”
เสียงอึมครึมของท่านเคานต์ดังก้องไปทั่วห้องโถง
ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทุกคนสงสัย เธอเป็นคนที่ดูสมเหตุสมผลและเหมาะเจาะอย่างมาก
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เอ็มม่า!
………………………………………………………….