พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 121 คนที่ไว้ใจ
“พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะไม่เป็นอะไรแล้ว”วารุณีตอบกลับแล้วดึงผ้าห่มคลุมให้กับอารัณ
“งั้นก็ดีแล้ว”วรยาพูดอย่างโล่งอก จากนั้นก็ถามต่อว่า “แล้วอารัณเกิดอุบัติเหตุได้ยังไง ?”
วารุณีปล่อยมือออกจากผ้าห่ม แล้วจับไปที่ราวกั้นขอบเตียงผู้ป่วย มือบีบมันแน่น ไม่คิดที่จะปิดบัง บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมด
เมื่อวรยาฟังจบ ก็แทบลมจับ“เป็นนายนัทธีนั่นอีกแล้ว !”
“แม่ค่ะ นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของหนู จะใช่ฝีมือของสามคนนั้นหรือเปล่า ก็ยังชี้ชัดไม่ได้ ”วารุณีขมวดคิ้วแล้วพูดออกไป
วรยายิ้มเยาะ “หึ ต้องเป็นพวกเขาแน่ๆ ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ลูกเคยเจอเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน แล้วอารัณก็ไม่เคยถูกลักพาตัวด้วย ตั้งแต่รู้จักกับนายนัทธีอะไรนั่นก็มีแต่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น หากไม่ใช่ฝีมือของสามคนนั้น จะเป็นฝีมือใครไปได้อีก ?”
วารุณีอ้าปากค้าง จู่ๆก็ไม่รู้จะตอบโต้กลับยังไง
วรยาสงบสติอารมณ์ แล้วถอนหายใจยาว “วารุณี แม่จะขอเตือนลูกอีกครั้ง อยู่ให้ห่างนายนัทธีนั้นไว้ หากเป็นไปได้ก็อย่าไปมาหาสู่กันอีก แม่ไม่อยากจะได้ยินข่าวอะไรที่เกี่ยวกับหนูหรืออารัณกับไอริณอีก”
“หนูรู้แล้วค่ะ หนูจะทำตามนั้นค่ะ”วารุณียิ้มรับอย่างขมขื่น
ครั้งนี้ เธอก็หวาดกลัวมันแล้วจริงๆ
ตัวเธอเองน่ะตายได้ แต่อารัณกับไอริณจะเสี่ยงตกอยู่ในอันตรายไม่ได้เด็ดขาด
“รู้ก็ดีแล้ว”วรยาตบไปที่ไหล่ของวารุณี
วารุณีเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรตอบ
ผ่านไปสักพัก ไอริณที่ร้องไห้จนเหนื่อยก็ผล็อยหลับไป
วารุณีอุ้มเธอไปที่โซฟา หยิบเอาผ้าห่มสำรองที่ทางโรงพยาบาลให้ห่มไปที่ร่างของเธอ
วรยาที่กำลังรินน้ำ มองดูวารุณีที่นั่งอยู่ข้างๆไอริณ ตบหลังไอริณเบาๆไปพลาง ด้วยท่าทีคิ้วขมวดมุ่น อย่างหมดหนทาง
วรยาวางแก้วน้ำในมือลงแล้วเดินเข้าไปหา พยักหน้าให้กับวารุณี“พอแล้ว เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้ อารัณ พ้นขีดอันตรายแล้ว ทีหลังก็ดูแลกันให้ดีๆ เราเองก็ทำใจให้สบายเถอะ หากฝืนจนล้มป่วยไปอีกคน แล้วจะดูแลอารัณยังไง ”
“แต่หนูฝืนทำใจให้สบายไม่ได้นี่คะ”วารุณีนวดคลึงไปที่ขมับ
วรยาเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงข้างเตียงคนป่วย “ เอาอย่างนี้แล้วกัน แม่จะเล่าเรื่องตลกให้ฟังเรื่องหนึ่ง งานเลี้ยงในคืนนี้ ลูกรู้ไหนว่านางขยานีทำเรื่องน่าขายหน้าแค่ไหน?”
วารุณีส่ายหัว “เพราะกระเป๋าใบนั้นหรือเปล่าคะ ?”
“ก็ใช่นะสิ งานการกุศลของคืนนี้ เดิมทีมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอนุรักษ์สัตว์ป่า กระเป๋าของเหล่าคุณหญิงคุณนายก็จะเป็นพวกงานเย็บปัก หรือไม่ก็เป็นพวกหนังเทียม มีแต่เธอที่ถือกระเป๋าหนังจระเข้ และถูกจับได้ คุณสมศักดิ์โกรธมากจนไล่เธอออกจากงาน” วรยามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาดวงตาเต็มไปด้วยความขบขันในความโชคร้ายของผู้อื่น
วารุณีก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “ งานการกุศลแบบนี้ การถือกระเป๋าแบบนี้ไป ก็เหมือนกับจงใจไม่ไว้หน้าคุณสมศักดิ์ เขาจะไม่อารมณ์เสียได้ยังไงละคะ”
“ก็ใช่นะสิ หลังจากที่นางขยานีถูกไล่ออกจากงาน นายสุภัทรก็ต้องเผชิญหน้ากับการถูกหัวเราะเยาะ จนหน้าแทบไม่เหลือ เชื่อว่าคืนนี้ทั้งสองคนคงน่าจะมีละครงิ้วแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็น”วรยาโบกมือให้อย่างรู้สึกเสียดาย
วารุณีอ้าปากหาว “จะอะไรได้อีกนอกจากทะเลาะกันแล้วขว้างปาข้าวของ ไม่มีอะไรน่าดูสักหน่อย แม่ค่ะ หนูของีบสักหน่อย แม่ช่วยเฝ้าแทนให้หนูหน่อยนะคะ”
หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยมาก
ตั้งแต่ที่รู้ข่าวอารัณหายตัวไป เธอก็มีแต่ความตึงเครียด ตอนนี้พอจะผ่อนคลายลงได้ ความเหนื่อยล้าที่มีก็ปะทุออกมา จนเธอแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
วรยามองดูลูกสาวอย่างปวดใจ “ได้ นอนเถอะ หากมีอะไรแม่จะปลุกเอง”
“ค่ะ”วารุณีพยักหน้ารับ จากนั้นก็หลับตาล้มตัวลงนอนข้างๆไอริณ แล้วผล็อยหลับไป
นัทธีที่อยู่นอกห้องผู้ป่วย มองผ่านกระจกของประตู เห็นทุกอย่างภายในห้องอย่างชัดเจน เห็นวารุณีที่เหนื่อยจนหลับไป และเห็นวรยาถืออ่างใบหนึ่งเช็ดหน้าให้เธอ
ในขณะเดียวกัน เขาก็เห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย ไม่ได้สติ มันทำให้ภายในใจของเขา ราวกับถูกอะไรบางอย่างคว้านเข้าไป ช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“ท่านประธานครับ เราไม่เข้าไปข้างในกันเหรอครับ?”มารุตที่ยืนอยู่ข้างหลัง ชำเลืองมองไปแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามออกไป รู้สึกได้ถึงความหดหู่ที่แผ่ออกมาจากร่างของนัทธี
นัทธีส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ยังจับตัวคนที่ซุ่มโจมตีฉันไม่ได้ เข้าไปพบพวกเขา ก็ยิ่งจะทำให้มือมืดที่อยู่เบื้องหลังพุ่งเป้าไปที่พวกเขาก็เท่านั้น มองดูอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว ”
เขากลับมาที่โรงพยาบาล เพราะได้ยินนิรุตติ์บอกว่าช่วยอารัณเอาไว้ไม่ได้ แต่หลังจากที่มาถึง ก็ตรงเข้าไปถามยังประชาสัมพันธ์ ถึงรู้ว่านิรุตติ์จงใจหลอกเขา เอาเขามาล้อเล่น !
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่นิรุตติ์บริจาคเลือดให้อารัณ เขาไม่ปล่อยนิรุตติ์ไว้แน่
“อีกเรื่อง เดี๋ยวนายไปติดต่อนางพยาบาลวิชาชีพมาคนหนึ่ง จากนั้นก็ให้ทางโรงพยาบาลแนะนำให้กับวารุณี ”นัทธีมองไปที่วารุณีที่กำลังหลับอยู่ ริมฝีปากบางก็เอ่ยพูดขึ้น
“เพราะอะไรครับ?”มารุตไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจ พานางพยาบาลมาให้กับคุณวารุณีก็จบแล้วไหม
ทำไมต้องมากพิธีทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วย
นัทธีหลุบตาลงพูดเสียงทุ้มต่ำไปว่า“ ตอนนี้ฉันกับเธอต่างก็คิดว่า เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามคนนั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ และตอนนี้เธอก็ไม่พอใจฉันอยู่ หากเธอรู้ว่านางพยาบาลคนนั้นเป็นคนที่ฉันหามาให้ เธอไม่ให้ไปช่วยดูแลแน่นอน ”
“อย่างนี้นี่เอง”มารุตพยักหน้ารับทันที “ผมทราบแล้วครับ ผมจะจัดการให้อย่างแนบเนียนเลยครับ”
นัทธีตอบรับอืมกลับมาคำหนึ่ง จากนั้นก็มองอารัณอีกแวบหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไป มุ่งตรงไปยังทางออก ระหว่างทางก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำไปว่า“อุบัติเหตุของอารัณ นายตรวจเจออะไรแล้วบ้าง ?”
มารุตมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้นครับ”
“พูดมา!”นัทธีกดไปที่ลิฟต์
มารุตดันไปที่กรอบแว่น “คุณกับคุณวารุณีต่างก็คิดว่าเป็นฝีมือของคุณพิชญากับคุณขยานี หรือจะเป็นคนที่ลงมือกับคุณวารุณีเมื่อสองครั้งก่อนหน้า เพราะฉะนั้นผมจึงพุ่งเป้าไปในสามทิศทางนี้ แต่ว่า ผมไม่พบร่องรอยอะไรของคนสามคนนั้นเลย”
รูม่านตาของนัทธีหดเกร็ง หันกลับมาจ้องเขาเขม็ง “นายหมายความว่า อุบัติเหตุของอารัณ บางทีอาจจะไม่ใช่ฝีมือของสามคนนั้นงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ พยานที่น่าจะชี้ตัวบุคคลได้ดีที่สุด ก็คือคุณอารัณครับ !” มารุตมองไปที่นัทธีแวบหนึ่ง “ ท่านประธานหลังจากที่พวกคุณออกจากร้านอาหารไปแล้ว ผมก็ไปถามพนักงานต้อนรับของร้าน และได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางร้านด้วย ผมเห็นคุณอารัณเดินไปกับผู้ชายคนนั้นเพียงลำพัง ”
เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ นัทธีจะยังไม่เข้าใจได้ยังไง
เด็กน้อยอารัณ แม้จะยังเด็ก แต่ก็ฉลาดมาก การรู้จักระมัดระวังตัวนั้นก็มีอยู่มากเช่นกัน
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ คนที่ปรากฏตัวในร้านอาหารตอนนั้น เป็นคนที่อารัณเองก็รู้จัก และยังไว้ใจมากอีกด้วย ไม่อย่างนั้นอารัณคงไม่ไปกับเขาอย่างไม่ระแวงสงสัยอะไรเลย ”
“เช็ก เช็กทุกคนที่อยู่รอบๆตัววารุณี เช็กให้ละเอียดอีกรอบ !”นัทธีกำหมัดแน่น แล้วสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
มารุตตอบรับทันที จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงได้ถามไปอีกว่า “ท่านประธานครับ จะบอกเรื่องที่เราสงสัยนี้ให้กับคุณวารุณีได้ทราบไหมครับ?”
นัทธีโบกมือให้ “ตอนนี้ยังไม่ต้อง เธอคงจะยังรับอะไรไม่ได้ในตอนนี้ บอกเรื่องนี้กับเธอไป ก็ยิ่งจะไปสะกิดแผลเธอเท่านั้น รอให้อารัณฟื้นตัวให้มากกว่านี้ก็ยังไม่สาย”
“ครับ”มารุตไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ติ๊ง ลิฟต์มาถึงแล้ว
หลังจากที่ประตูเปิดออก ก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อกาวน์สีขาวของโรงพยาบาลอื่นเดินออกไป
เมื่อเห็นคนคนนี้ นัทธีก็หรี่ตาลง
มารุตก็อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “คุณหมอพงศกร?”
เมื่อพงศกรได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง ก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วยกยิ้ม“ผู้ช่วยมารุตนี่เองประธานนัทธีก็อยู่ด้วย !”
มารุตยกยิ้มเก้อเขิน มองไปยังนัทธีที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่ได้ต่อบทสนทนาต่อ แต่ในใจกลับตำหนิ อะไรคือประธานนัทธีก็อยู่ด้วย
เห็นชัดว่าท่านประธานยืนอยู่ตรงหน้าเขา หนำซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกตั้งหลายเซนติเมตร แต่คนคนนี้กลับแกล้งทำเป็นเห็นประธานนัทธีทีหลัง เห็นได้ชัดว่าจงใจชัดๆ
นัทธีเองก็รู้ในสิ่งที่พงศกรจงใจทำ แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไร ก้าวเท้าเดินเข้าลิฟต์ไป
แต่ในจังหวะที่เดินสวนเฉียดไหล่กันนั้น พงศกรก็ทักเขาไปว่า “ ประธานนัทธีก็มาเยี่ยมอารัณเหมือนกันเหรอครับ?”