พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 159 ความเข้าใจผิดของนวิยา
เวลานี้ ในใจวารุณีพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร สรุปคือไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก ละสายตาลง หลังจากปกปิดความเศร้าในดวงตา ก็กดรับโทรศัพท์
ก็แค่ไม่ทันรอให้เธอพูดก่อน ในสายก็มีเสียงผู้หญิงของนวิยาที่อ่อนโยนเข้ามา“นัทธี คุณไม่ได้บอกเหรอว่าวันนี้จะมาอยู่กับฉันที่โรงพยาบาล นานแล้วนะยังไม่มาอีกเหรอ?”
“เอ่อ……คุณนวิยา ฉันไม่ใช่ประธานนัทธีค่ะ”วารุณีเอาผมทัดที่ข้างหู พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย
ที่ปลายสาย นวิยาได้ยินว่าไม่ใช่นัทธี แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้านั้น ก็เย็นชาในทันที แต่น้ำเสียงที่พูด กลับยังอบอุ่นอยู่“งั้นขอโทษนะคะคุณคือ……”
“พวกเราเคยเจอกันแล้วค่ะ ฉันคือวารุณี”วารุณีนั่งลงข้างเตียงแล้วตอบ
มือนวิยาที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็กำแน่น การแสดงออกบนใบหน้านอกจากจะเย็นชาแล้ว ก็ยังดูเหยเกเล็กน้อย“ที่แท้ก็คุณวารุณีนี่เอง แต่ว่าทำไมคุณถึงอยู่กับนัทธีล่ะคะ แล้วยังรับโทรศัพท์ของนัทธี?”
ฟังคำถามเบาๆในน้ำเสียงของเธอออก วารุณีจึงหัวเราะอย่างขมขื่น อธิบายไปว่า“คือแบบนี้ค่ะคุณนวิยา เพราะว่าประธานนัทธีมีไข้ขึ้นมาเพราะฉัน ก็เลย ……”
“ดังนั้นคุณเลยไปดูแลนัทธี?”นวิยาหรี่ตาลงตัดบทวารุณี
“ก็ไม่ใช่ค่ะ คือ……”
“โอเค คุณไม่ต้องพูดแล้วค่ะ!”นวิยาตัดบทวารุณีอีกครั้ง มือที่วางไว้บนผ้าห่ม ก็กำแน่นขึ้นมา
วารุณีเดาได้ว่าเธอจะต้องเข้าใจผิดอะไรแน่ กำลังจะอธิบายใหม่ กลับพบว่าเธอวางสายไปแล้ว
“แย่แล้ว!”วารุณีตบหน้าผาก ในใจเสียใจอย่างมาก
ถ้ารู้อย่างนี้ เธอก็คงไม่ช่วยนัทธีรับสายนี้หรอก
นวิยาติดต่อนัทธีไม่ได้ อย่างมากก็แค่กังวลครู่หนึ่ง ว่าจะไม่เข้าใจผิดอะไร ตอนนี้พอเธอรับสาย กลับเป็นทำเรื่องแย่ๆทั้งที่มีเจตนาดี
วารุณีถอนหายใจอย่างปวดหัว จากนั้นตัดสินใจไปหาป้าส้มข้างล่าง ให้ป้าส้มไปอธิบายกับนวิยา เชื่อว่าคำพูดของป้าส้ม นวิยาน่าจะฟังหรอกนะ?
คิดแบบนี้ วารุณีจึงวางโทรศัพท์ลง มองนัทธีแวบหนึ่ง แล้วออกจากห้องลงไปข้างล่าง
ป้าส้มกำลังดูโทรทัศน์กับอารัณ เห็นวารุณีลงมา จึงรีบลุกขึ้น“คุณวารุณี เช็ดตัวให้คุณผู้ชายเสร็จแล้วเหรอคะ?”
วารุณีพยักหน้า“เช็ดเสร็จแล้วค่ะ อาการของประธานนัทธีดีขึ้นเยอะเลย ลมหายใจก็ไม่เร็วมากขนาดนั้นแล้ว”
กระทั่งว่ายังมีแรงกอดเธอ
“งั้นก็ดีค่ะ”ป้าส้มตบอกอย่างโล่งอก หัวเราะ
วารุณีกัดริมฝีปาก
ป้าส้มมองความลังเลของเธอออก จึงถามด้วยความเมตตาว่า“ทำไมเหรอคะคุณวารุณี?”
“ฉันทำพลาดไปเรื่องหนึ่งค่ะ”วารุณีบีบกำมือไว้ พูดเรื่องที่โทรศัพท์กับนวิยาเมื่อครู่ออกมา
ป้าส้มฟังจบ ก็ถอนหายใจ ส่ายมืออย่างไม่แคร์“ป้าก็คิดว่าอะไรเสียอีก ไม่ต้องสนเธอหรอกค่ะ”
“ไม่ต้องสนเหรอคะ?”วารุณีอ้าปากอย่างตกใจ“แต่ว่าเธอต้องเข้าใจผิดว่าฉันกับประธานนัทธี……”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณผู้ชายของพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ เข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไปค่ะ”ป้าส้มไม่เห็นด้วย
วารุณีได้ยินคำนี้ ก็อ้าปากอย่างแปลกใจ“ประธานนัทธีไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนวิยา?”
“ใช่ค่ะ”ป้าส้มพยักหน้า
“แต่ว่า……”วารุณียังไม่ทันพูดตบ ก็ถูกเสียงกริ่งประตูตัดบท
“คุณวารุณี มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยนะคะ ป้าไปเปิดประตูก่อน”ป้าส้มพูดกับเธอ แล้วเดินไปที่ปากทางเข้าบ้าน
วารุณีมองแผ่นหลังของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
ดูเหมือนป้าส้มจะพึ่งไม่ได้ ช่างเถอะ งั้นเดี๋ยวตัวเองค่อยหาโอกาส ไปอธิบายกับนวิยาเองละกัน
แต่ว่าป้าส้มเพิ่งพูดว่านวิยาไม่ได้เป็นอะไรกับนัทธี หรือเพราะว่านัทธีเพิ่งยกเลิกการหมั้นกับพิชญาไป เลยยังไม่ทันคบกับนวิยา?
กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆวารุณีก็รู้สึกว่ามีอะไรดึงที่มุมเสื้อของเธอ ก้มหน้าลงมอง ก็เป็นอารัณ
“หม่ามี๊ ผมอยากไปเข้าห้องน้ำครับ”อารัณมองไปที่เธอแล้วพูด
วารุณีอุ้มเขาลงมาจากโซฟา“หม่ามี๊พาหนูไปเอง”
พูดจบ เธอก็จูงมือของเด็กชายไปที่ห้องน้ำ
เข้าห้องน้ำเสร็จ วารุณีจึงพาอารัณกลับไปที่ห้องรับแขก
ไปถึงทางเข้าที่ห้องรับแขก จึงได้ยินเสียงโมโหของป้าส้มดังออกมา“คุณขงเบ้ง ฉันบอกแล้วไง คุณผู้ชายของพวกเราป่วย ตอนนี้ลุกไม่ขึ้น มีอะไรรอคุณผู้ชายของพวกเราตื่นก่อนค่อยว่ากัน”
“หึ รอเขาตื่นแล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่ เรื่องนี้ด่วนมาก คุณยังไม่รีบไปเรียกเขาลุกขึ้นอีก!”เสียงผู้ชายวัยกลางคนที่หยาบคายดังขึ้นมาอีก
ทั้งสองกำลังทะเลาะกันเพราะเรื่องเรียกนัทธีตื่น
วารุณีจูงอารัณไปยืนที่ทางเข้า ไม่รู้ว่าควรเข้าไปหรือไม่ รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยในเวลานั้น
ยังไงก็อยู่ในบ้านคนอื่น เจอเรื่องครอบครัวของคนอื่นเข้า ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ตอนที่วารุณีกำลังคิดว่าต้องกลับไปที่ห้องน้ำใหม่ แล้วรอคนๆนี้ไปค่อยออกไปอีกทีดีหรือไม่นั้นเอง จู่ๆบนบันไดก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆเข้ามา จากนั้น เสียงแหบทุ้มของผู้ชายก็ดังขึ้นมา“เอะอะอะไรอีก?”
“คุณผู้ชาย ตื่นแล้วเหรอคะ?”ป้าส้มมองชายหนุ่มที่บันไดอย่างแปลกใจ
วารุณีก็เช่นกัน แต่แป๊บเดียว ความแปลกใจในสายตาก็กลายเป็นไม่เห็นด้วย
นายคนนี้นี่ ไข้ยังไม่หายเลย ลุกขึ้นมาทำอะไร?
“หม่ามี๊ คุณอานัทธีลงมาแล้ว”อารัณชี้ไปที่นัทธี พูดกับวารุณี
วารุณีกดมือของเขาลง“หม่ามี๊รู้แล้ว อย่าชี้ซี้ซั้วสิ”
“อ้อ”อารัณตอบรับไป พยักหน้าไม่พูด
นัทธีมองมาทางสองคนแม่ลูกนี้ หลังจากพยักหน้าให้สองคนแม่ลูกแล้ว ก็จับราวค่อยๆลงไป จากนั้นก็มาที่หน้าของชายวันกลางคน ภายใต้การประคองของป้าส้ม
ชายหนุ่มวัยกลางคนก็ไม่ได้มีความเย่อหยิ่งต่อหน้าป้าส้ม ในตอนที่นัทธีปรากฏตัวแล้ว กลับดูขี้ขลาดตาขาวเล็กน้อย
มองออกว่า เขากลัวนัทธี
“นัทธี ในที่สุดหลานก็ลงมา”ชายหนุ่มวัยกลางคนลูบมือ ยิ้มทักทายนัทธี
นัทธีมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย“คุณลุง มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ลุง?
วารุณีได้ยินคำเรียกนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น มองสำรวจชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านัทธีอย่างแปลกใจ ตัวเตี้ย พุงยื่นและหัวล้าน ถ้าไม่ใช่ว่าหน้าตามีความคล้ายกับนิรุตติ์เล็กน้อย
เธอคงไม่กล้าจะเชื่อจริงๆว่า นี่จะเป็นพ่อของนิรุตติ์
“คือแบบนี้นัทธี ลุงได้ยินว่าหลานมีที่ดินที่ชานเมือง……”
“ลุงอยากได้ที่ดินผืนนั้น?”นัทธีหรี่ตาลง
ขงเบ้งพยักหน้าไปมา“ใช่ สุสานของนายท่านหลานไม่ให้ลุงแตะต้อง ลุงก็ไม่แตะ แต่ผืนนี้อยู่ที่นั่นและก็ไม่ได้ใช้อะไร ไม่อย่างนั้นขายให้ลุงโอเคไหม?”
“นิรุตติ์ให้ลุงมาเหรอครับ?”สายตาคมกริบของนัทธีมองสำรวจที่ใบหน้าเขา เหมือนกำลังอยากเห็นอะไรบางอย่าง
ขงเบ้งไอเบาๆสองที“ก็ไม่อย่างนั้นหรอก ลุงมาเอง นิรุตติ์ค่บอกลุง ว่าในมือหลานมีที่ดินผืนนั้น หลานก็รู้ว่าช่วงนี้ลุงลงทุนโครงการรีสอร์ตอยู่ จึงขาดที่ดินมาสร้าง”
รีสอร์ต?
วารุณีส่ายหน้า ในใจรู้สึกสงสัย
ไม่ใช่ว่าตระกูลไชยรัตน์ทำแค่ธุรกิจหรูหราเหรอ ทำไมบ้านลูกชายคนโตของตระกูลไชยรัตน์ถึงยังเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์?
“งั้นลุงคิดว่าจะจ่ายเท่าไหร่?”นัทธีไม่สนใจรีสอร์ตที่เขาพูดถึง เอามือกอดอกเหลือบมองเขา
ขงเบ้งยกมาสามนิ้ว“ตัวเลขนี้เป็นไง?”
นัทธีหัวเราะอย่างเย็นชา“คุณลุงไปเถอะครับ ตอนนั้นที่ผมรับซื้อที่ดินผืนนั้นมา จ่ายไปห้าร้อยล้าน ลุงจะมาสามร้อยล้านซื้อไปแบบนี้ จะเป็นไปได้ไงล่ะครับ?”
พูดจบ เขาก็ไม่สนใจขงเบ้ง ก้าวเท้าเดินไปที่สองคนแม่ลูกวารุณี
แต่เดินไปได้ก้าวเดียว ก็ถูกขงเบ้งจับแขนไว้“นัทธี พวกเราค่อยปรึกษากันดีๆอีกโอเคไหม ถ้าไม่ได้จริงๆ ห้าร้อยล้าน ลุงซื้อราคาเดิมโอเคไหม?”